บทที่ 372 วาดภาพคลายความกังวล
บทที่ 372 วาดภาพคลายความกังวล
สิ่งที่กู้เสี่ยวหวานกล่าวนั้นไม่ใช่การข่มขู่ แต่นางต้องการปกป้องสิทธิ์และผลประโยชน์ที่ถูกต้องตามกฎหมายของนาง
ที่ดินและเงินทั้งหมดหามาได้ด้วยทั้งสองมือที่ขยันขันแข็งของนางเอง จึงไม่มีความจำเป็นต้องมอบมันให้ผู้อื่น และคนอื่นก็อย่าคิดแย่งมันไปจากนาง อย่าพยายามอย่างไร้ประโยชน์เลย
ไม่มีของดีขนาดนั้นในโลก และนางกู้เสี่ยวหวานก็ไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาจนถึงขนาดไม่เข้าใจอะไรเลยและปล่อยให้ตนเองถูกคนอื่นเหยียบย่ำ
คำพูดของกู้เสี่ยวหวานเป็นคำเตือนและย้ำเตือนให้พวกเขาเกรงกลัว
หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงเป็นคนแรกที่สั่นคลอน กู้เสี่ยวหวานพูดถูก นางต้องปกป้องสิ่งต่าง ๆ ด้วยชีวิต เด็กตัวแค่นี้แต่กลับกล่าวได้ดีเสียจริง
หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงตบหน้าอกด้วยความกลัว บทเรียนของซุนซีเอ๋อร์ก็มีให้เห็นแล้ว หลังจากติดคุกเป็นเวลาหนึ่งเดือน นางก็เสียหน้าและเสียอะไรหลาย ๆ อย่างไป
หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงเปิดปากออกมาในเวลานี้ “เฉาซื่อ เจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่ เหตุใดยังไม่รีบลุกขึ้นอีก กลับไปซะ! ถ้าในอนาคต เจ้ามีความคิดคดโกงเช่นนี้อีก ไม่ต้องพูดถึงสาวน้อยเสี่ยวหวานเลย จะเป็นข้านี่แหละที่จะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงเข้าใจสถานการณ์ สิ่งที่เฉาซื่อกล่าวในวันนี้ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ใครถูกใครผิด และหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงก็อยู่ข้างกู้เสี่ยวหวานมากกว่า
เมื่อเฉาซื่อเห็นว่าทุกคนไม่ได้อยู่ข้างนางเลย นางจึงรีบลุกขึ้นจากพื้นและไม่สนใจที่จะปัดฝุ่นบนร่างกายของนาง นางจ้องไปที่กู้เสี่ยวหวานราวกับจะกินนาง
กู้เสี่ยวหวานจะกลัวนางได้อย่างไร นางจ้องกลับมาโดยไม่แสดงอาการอ่อนแอ
เฉาซื่อรู้สึกกลัวเล็กน้อย ร่างกายของนางสั่นสะท้าน แล้วหันหลังกลับไปในทันที มือกุมที่เอวและเดินกะเผลกออกไป ดูเหมือนว่าอาการบาดเจ็บจะรุนแรงไม่น้อย!
นางไม่สนใจกู้ถิงถิงและกู้ซุ่นสีที่วิ่งตามไปข้างหลังเลย
ครั้นเห็นว่าในที่สุดเฉาซื่อก็จากไป หน้าบ้านของกู้เสี่ยวหวานก็เงียบสงบลง หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงไล่ฝูงชนและกล่าวกับกู้เสี่ยวหวานอย่างประจบสอพลอว่า “สาวน้อยเสี่ยวหวาน เฉาซื่อผู้นี้ไม่ใช่คนดีจริง ๆ ในอนาคตเจ้าต้องระวังไว้นะ!”
หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงหวังดี แม้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะไม่ชอบชายผู้นี้ แต่เขาก็เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน คราวนี้เขาช่วยเหลือตนเองและเตือนเฉาซื่อแทนตนเองอีก ไม่รู้ว่าการข่มขู่นี้จะได้ผลมากแค่ไหน แต่ในช่วงนี้ เฉาซื่อคงจะไม่กล้าแตะต้องนางอย่างแน่นอน
กู้เสี่ยวหวานโค้งคำนับ และยิ้มขอบคุณ “หัวหน้าหมู่บ้านเหลียง ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ”
หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงไม่ค่อยเห็นกู้เสี่ยวหวานยิ้มให้เขา และเขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย แต่ก็กลับมารู้สึกตัวทันที โบกมือและกล่าวอย่างถ่อมตัวว่า “ที่ไหนกัน ที่ไหนกัน มันเป็นเรื่องที่ควรทำ!”
กู้เสี่ยวหวานกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ในอนาคต หากเฉาซื่อมีความคิดที่แปลกประหลาดเช่นนี้อีก ข้าคงต้องรบกวบหัวหน้าหมู่บ้านให้จัดการเรื่องนี้”
“มันควรจะเป็นเช่นนั้น เจ้าและครอบครัวจางทำให้คนในหมู่บ้านมีรายได้ มันสายเกินไปแล้วสำหรับข้าที่จะขอขอบคุณ แต่ถ้ามีคนมาวุ่นวายกับเจ้าอีก ข้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ปล่อยมันไป!” หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวพลางหัวเราะ จนร่องรอยความเหี่ยวย่นปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ข้าโล่งใจที่ได้ยินหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงพูดเช่นนี้!” หลังจากกล่าวจบ นางก็กระซิบบางอย่างกับหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงลึกลับ หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงจึงยิ้มแย้มจนหุบปากไม่ได้ และกล่าวคำว่าเยี่ยมสามคำติดต่อกัน “เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยม!”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็คุยกับกู้เสี่ยวหวานอีกสองสามคำแล้วเดินจากไป
เมื่อเดินไปไกลแล้ว แต่ก็ยังได้ยินเสียงหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงฮัมเพลงอยู่
กู้เสี่ยวหวานหัวเราะ และหลังจากปิดประตู นางเห็นหนิงอันและคนอื่น ๆ ยืนอยู่ข้างหลังและมองดูตนเองอย่างกังวล “พวกเจ้าทำอะไรอยู่? ไป ไป ไป พวกเรายังกินข้าวไม่เสร็จเลย กลับไปกินข้าวกันเถอะ!”
การสู้รบกับเฉาซื่อในครั้งนี้ กู้เสี่ยวหวานต้องต่อสู้เพียงลำพังอีกครั้ง นี่จึงทำให้เด็กหลายคนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าตนเองจะโตพอเมื่อไรที่จะได้ปกป้องไม่ให้พี่สาวถูกรังแกอีก
หลังจากกลับมาที่ห้อง ฉินเย่จือก็วางพู่กันในมือลงแล้วเป่าหมึกบนกระดาษ เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานเข้ามา เขาจึงเลิกคิ้วพลางคลี่ยิ้ม และกล่าวว่า “เสี่ยวหวาน มานี่สิ!”
น้ำเสียงนั้นช่างอบอุ่นราวกับว่าฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว ลมฤดูใบไม้ผลิพัดมา ทำให้ผู้คนอบอุ่นหัวใจ
เสียงของฉินเย่จือราวกับว่ามีพลังวิเศษ กวาดล้างความไม่พอใจที่นางมีในตอนนี้ออกไป
กู้เสี่ยวหวานวิ่งไปด้านข้างของฉินเย่จืออย่างรวดเร็วและเพื่อมองดู
หลังจากอ่านแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเผยออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ และก็หัวเราะออกมาในตอนท้าย
ฉินเย่จือมองนางด้วยใบหน้าหลงใหล
เมื่อกู้หนิงผิงและกู้เสี่ยวอี้เห็นพี่สาวของพวกเขายิ้มอย่างมีความสุข และพวกเขาทั้งหมดก็เข้ามาดูว่าฉินเย่จือเขียนว่าอย่างไร
กู้หนิงอันยืนอยู่ที่นั่น มองดูพี่น้องของเขาหัวเราาะ ดวงตาของเขาหันไปหาฉินเย่จือซึ่งยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้
สายตาของฉินเย่จือมักจะมองมาที่พี่สาวของเขาเสมอ ในขณะนั้น กู้หนิงอันยังคงไม่รู้เรื่องความรักและไม่เข้าใจเรื่องของมนุษย์ เขาจึงไม่รู้ว่าดวงตาของฉินเย่จือหมายถึงอะไร เขารู้สึกเพียงว่าสายตาของฉินเย่จืออ่อนโยนมากเมื่อมองไปที่พี่สาวของเขา มันอ่อนโยนมากจริง ๆ
กู้หนิงอันสบายใจ ฉินเย่จือเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้พี่สาวของเขามีความสุขได้เช่นนี้
ดังนั้นเขาก็เริ่มสงสัยเช่นกัน ไม่รู้ว่าฉินเย่จือเขียนอะไร ดังนั้นเขาจึงรีบไปดูด้วยเช่นกัน
แค่เห็นเพียงแวบเดียวก็ทำให้ยิ้มออกมาแล้ว
มันเป็นภาพวาดของเฉาซื่อและลูกทั้งสองของนางกำลังคุกเข่าลงบนพื้น มองไปยังผู้หญิงที่ดูแข็งแกร่งและเย่อหยิ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยท่าทางหวาดกลัว
ภาพนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกเมื่อสักครู่
กู้หนิงผิงกล่าวอย่างชื่นชมว่า “อาจารย์ ไม่คิดว่าท่านจะวาดรูปได้!”
ฉินเย่จือไม่ได้กล่าวอะไร และทำเพียงแค่ยิ้มเท่านั้น
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกซาบซึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง เพราะฉินเย่จือพยายามทำให้ตนเองอารมณ์ดีขึ้นมา
ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ผุดขึ้นในใจ เป็นเพราะเขา ครอบครัวนี้จึงมีความสุขมากขึ้น
ใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย เมื่อคิดถึงในตอนนั้นที่นางพยายามอย่างเต็มที่เพื่อขับไล่ฉินเย่จือออกไป
โชคดีที่ชายคนนี้มีหน้าหนาพอที่จะอยู่ต่อ
เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง และจ้องมองตนเองอย่างกังวลอีกครู่หนึ่ง ฉินเย่จือก็เลิกคิ้วและจ้องไปที่กู้เสี่ยวหวาน
เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นว่าเขามองมาที่นางอย่างตั้งใจ ใบหน้าของนางจึงขึ้นสีแดงเล็กน้อย นางอายุเกือบสามสิบปี แต่ไม่เคยมีความรักมาก่อน ท้ายที่สุด นางชื่นชมผู้ชายที่หล่อเหลา เมื่อเห็นฉินเย่จือผู้ที่เป็นชายรูปงามจ้องมองมา กู้เสี่ยวหวานก็เขินอายเล็กน้อย
ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันใด ฉินเย่จือมองนางไม่นาน หน้าของนางก็แดงเสียแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ว้าว เสี่ยวหวานของเราเริ่มมีความรู้สึกดี ๆ ให้ฉินเย่จือแล้วหรือเปล่าคะเนี่ย
ไหหม่า (海馬)