บทที่ 397 ให้เวลานางอีกสองสามวัน
บทที่ 397 ให้เวลานางอีกสองสามวัน
ถ้วยน้ำชาในมือของเขาถูกเหวี่ยงลงพื้นอย่างรุนแรง และแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
ท่าทางของกู้จือเหวินในขณะนี้เป็นเหมือนสิงโตที่กำลังโกรธเคือง และร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความหนาวเย็น
คืนนี้ เขาไม่เคยได้รับความอัปยศอดสูขนาดนี้มาก่อน
สวีเฉิงเจ๋อบอกว่าเขาถูกไล่ออกจากสำนักศึกษา และกลุ่มคนชั้นต่ำเหล่านั้นบอกว่าเขาเป็นผู้ชายไร้ยางอายและไม่ยอมรักษาสัญญา
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ กู้จือเหวินก็ตะโกนขึ้น ยืนขึ้นและเตะเก้าอี้ให้กลิ้งออกไปจนมันเกือบพัง
เมื่อเห็นความโกรธของกู้จือเหวิน ซุนซือกลัวว่าเขาอาจจะทำอะไรขึ้นมา ดังนั้นนางจึงก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบโยนเขา “เหวินเอ๋อร์ ใจเย็นก่อน ใจเย็นลงหน่อย!”
“ท่านแม่ ข้าจะใจเย็นลงได้อย่างไร? กู้เสี่ยวหวานรังแกข้ามากเกินไป!” กู้จือเหวินคำรามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
ซุนซื่อไม่เคยเห็นกู้จือเหวินดุร้ายขนาดนี้มาก่อน หัวใจของนางพลันตกตะลึง แต่นางเรียกสติกลับมาทันทีและกล่าวว่า “เหวินเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าคืนนี้เจ้าคับแค้นใจมาก ไม่ต้องกังวล ข้าและพ่อของเจ้าจะไม่ยอมให้เจ้าคับแค้นใจอย่างเปล่าประโยชน์!”
“ท่านแม่ พวกท่านจะทำอย่างไร? เมื่อข้านึกถึงกู้เสี่ยวหวาน ตอนนี้ข้าแทบรอที่จะฆ่านางไม่ไหวแล้ว!” กู้จือเหวินกัดฟันและคำรามออกมา
“เหวินเอ๋อร์ ไม่ต้องกังวล ข้าและพ่อของเจ้าจะไม่ทำให้กู้เสี่ยวหวานพอใจนานเกินไป เจ้าต้องใจเย็นลงก่อน และระวังอย่าทำร้ายตัวเอง ไปพักผ่อนก่อนก่อนเถิด พรุ่งนี้จะได้ไปเรียน!” ซุนซื่อปลอบโยน “ข้าสองคนได้คิดหาวิธีที่ดีได้แล้ว และพวกเราจะทำให้กู้เสี่ยวหวานชดใช้อย่างสาสม เจ้าไม่ต้องกังวล คราวนี้ถ้านางไม่ตายก็คงจะถูกปอกลอก”
กู้จือเหวินรีบถามว่าวิธีแก้ปัญหาคืออะไร ซุนซื่อกลัวว่ากู้จือเหวินจะตกใจเมื่อเขารู้ นางจึงกล่าวว่า “เหวินเอ๋อร์ ไม่ต้องกังวล อีกไม่นานเจ้าจะเห็นมัน เมื่อถึงเวลานั้น กู้เสี่ยวหวานจะต้องชดใช้ จากนั้นทุกคนต้องฟังเรา!” ดวงตาของซุนซื่อไม่อาจปกปิดเจตนาฆ่า นางแทบรอไม่ไหวที่จะให้กู้เสี่ยวหวานชดใช้การกระทำนี้
กู้จือเหวินเองก็เหนื่อยเล็กน้อย ในตอนนี้ความโกรธของเขาถูกซุนซื่อดับลง ตอนนั้นเองเขาก็รู้สึกว่าตนเองแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว จึงกลับไปพักผ่อน
ซุนซื่อเก็บกวาดเศษของที่แตกและถอนหายใจ
ในคืนที่เงียบสงัด หัวใจของซุนซื่อรู้สึกว้าวุ่นและไม่มีอาการง่วงนอนเลย ดังนั้นนางจึงอยู่ในห้องเพื่อรอให้กู้ฉวนลู่กลับมา
ในที่สุดหลังจากที่เขากลับมา ซุนซื่อก็รีบเอ่ยถามเกี่ยวกับกู้เสี่ยวหวานอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าของกู้ฉวนลู่เย็นชาและกล่าวอย่างไม่พอใจ “ตอนแรกข้าวางแผนที่จะให้พวกเขายื่นเรื่องร้องเรียนในวันพรุ่งนี้ แต่ดูเหมือนว่าต้องเลื่อนเวลาออกไปอีกหน่อย”
“สามี ทำไมล่ะ? วันนี้เจ้าเด็กเวรกู้เสี่ยวหวานทำให้เหวินเอ๋อร์ต้องทนทุกข์กับความอัปยศครั้งใหญ่ในคืนนี้ เราจะปล่อยให้นางเอาเปรียบเขาได้อย่างไร!” ซุนซื่อพูดอย่างกังวลเมื่อนางได้ยินว่าจะต้องรอ
“เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ เราจึงต้องรอ!” กู้ฉวนลู่กล่าวอย่างโกรธจัดและพึมพำกับตัวเองว่า ผู้หญิงผมยาวมีความรู้สั้นจริง ๆ คืนนี้กู้จือเหวินและกู้เสี่ยวหวานมีความขัดแย้งในที่สาธารณะ หากมีคนจากทางการไปหากู้เสี่ยวหวานในวันพรุ่งนี้ คนที่ฉลาดก็สามารถคาดเดาได้อย่างรวดเร็วว่าเป็นเพราะอะไร
นอกจากนี้ เขาและเหมียวเอ้อร์ต่างก็เป็นคนทำบัญชีและมีการติดต่อกันอยู่บ่อย ๆ เมื่อถึงเวลานั้น แน่นอนว่าจะต้องมีคนที่พูดถึงเรื่องนี้ และบอกว่านี่คือการแก้แค้นส่วนตัวของกู้ฉวนลู่
คืนนี้ในตอนที่เขากำลังยุ่ง เพราะกู้ฉวนลู่ก็คิดเรื่องนี้ตลอด
เขาเกลียดกู้เสี่ยวหวาน เกลียดจนแทบจะไปที่ที่ว่าการอำเภอเพื่อรายงานสิ่งเลวร้ายที่กู้เสี่ยวหวานได้ทำในตอนนี้ แต่เพื่อประโยชน์ของสถานการณ์โดยรวม กู้ฉวนลู่ทำได้เพียงทนต่อความความรู้สึกนี้เอาไว้เพื่อที่คนจะได้ไม่สงสัยพวกเขา
กู้ฉวนลู่เล่าเกี่ยวกับสถานการณ์ให้ซุนซื่อฟัง เมื่อซุนซื่อได้ยิน นางก็ตระหนักได้ทันทีและร้องออกมาว่า “เจ้าคือคนที่รับผิดชอบครอบครัว เจ้าพูดถูก เราต้องอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เรื่องนี้พวกเราต้องอดทนไว้ รอให้ลมพัดไปก่อน เมื่อถึงเวลานั้นก็ยังไม่สาย อย่างไรก็ตาม กู้เสี่ยวหวานผู้นี้จะต้องตาย!”
ซุนซื่อกล่าวอย่างดุดันเมื่อคิดว่าจะได้ฆ่ากู้เสี่ยวหวานเพื่อล้างแค้นให้เหวินเอ๋อร์ได้ ไม่ต้องพูดถึงว่านางพึงพอใจแค่ไหน
ในเวลานั้น ถ้ากู้เสี่ยวหวานตาย ทรัพย์สินทั้งหมดในครอบครัวของนาง…
เมื่อกู้ฉวนลู่คิดเรื่องนี้ หัวใจของเขาก็ไม่ได้เจ็บปวดมากขนาดนั้นแล้ว คืนนี้กู้เสี่ยวหวานทำให้พวกเขาสูญเสียเงินไปเกือบร้อยตำลึงเงินด้วยคำเดียว สำหรับเงินนี้ เขาจะจ่ายไปก่อน แล้ววันหนึ่งกู้เสี่ยวหวานจะต้องคืนเงินกลับมาเป็นสองเท่า
“เหวินเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง?” กู้ฉวนลู่เอ่ยถามเสียงต่ำ
“ในตอนที่กลับมา เขาโกรธและปาถ้วยจนแตก แต่อย่างอื่นยังดีอยู่” ซุนซื่อตอบอย่างเร่งรีบ “ในใจของเหวินเอ๋อร์ยังคงโกรธเคือง!”
“หึ กู้เสี่ยวหวานรังแกคนอื่นเกินไป!” กู้ฉวนลู่กลอกตา “ให้เหวินเอ๋อร์ขอโทษนางในที่สาธารณะโดยบอกว่าเหวินเอ๋อร์ของเราไม่เก่งเท่านาง!”
เมื่อซุนซวื่อได้ยินสิ่งนี้ นางก็อุทานว่า “ว่าอย่างไรนะ? ให้เหวินเอ๋อร์บอกว่าเขาไม่เก่งเท่ากู้เสี่ยวหวานหรือ?”
กู้ฉวนลู่พยักหน้าและอธิบายสั้น ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่กู้จือเหวินบอกเขาระหว่างทาง ไม่มีอะไรมากไปกว่ากู้เสี่ยวหวานทายปริศนาสองข้อที่ไม่มีใครทายได้เป็นเวลาห้าปีและยังเขียนด้วยลายมือที่สวยงามด้วยมือซ้ายของนาง นั่นทำให้กู้จือเหวินไม่สามารถเงยหน้าขึ้นในที่สาธารณะได้
“สามี มันเป็นไปได้อย่างไร?” ซุนซื่ออุทาน “กู้เสี่ยวหวานไม่เคยไปสำนักศึกษาแม้แต่วันเดียว นางจะรู้จักตัวอักษรได้อย่างไร? แล้วยังทายปริศนาและเขียนอักษรด้วยมือซ้ายของนางอีก?”
“ในตอนที่เหวินเอ๋อร์บอกข้า ข้าก็ประหลาดใจพอ ๆ กับเจ้านั่นแหละ!” กู้ฉวนลู่กล่าว “เหวินเอ๋อร์ก็บอกข้าด้วยว่า กู้เสี่ยวหวานกล่าวว่าสิ่งเหล่านี้ถูกสอนโดยกู้ฉวนฟู่!”
“นางโกหก! กู้ฉวนฟู่ทำอะไรได้บ้าง? นอกจากทำไร่ทำสวนบนพื้นดินแล้ว เขายังจะทำอะไรได้อีก!” ซุนซื่อกล่าวอย่างดูถูก
นางไม่รู้ว่ากู้ฉวนฟู่เคยเรียนหนังสือมาเป็นเวลาสองปี แต่แล้วสถานการณ์ของตระกูลกู้ก็แย่ลงเรื่อย ๆ ครอบครัวไม่มีเงิน และไม่สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนของกู้ฉวนลู่และกู้ฉวนฟู่ได้ คนใดคนหนึ่งในพวกเขาต้องยอมเสียสละ นั่นจึงทำให้กู้ฉวนฟู่ต้องออกจากสำนักศึกษาและกลับมาอยู่บ้าน
และเพียงเพื่อให้ได้ดั่งใจเช่นนั้น กู้ฉวนลู่ต้องยอมกอดขาพ่อเฒ่ากู้กับแม่เฒ่ากู้และร้องไห้ออกมา พ่อเฒ่ากู้กับแม่เฒ่ากู้จึงยอมใจอ่อน นอกจากนี้ กู้ฉวนลู่เป็นลูกชายคนแรกของพวกเขา ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ให้ลูกชายคนโตเรียนหนังสือ เมื่อเห็นว่ากู้ฉวนลู่อยากเรียน พวกเขาจึงทำได้เพียงกัดฟันและขอให้กู้ฉวนฟู่ผู้ซึ่งเรียนเก่งกว่าเลิกเรียนแล้วกลับมาอยู่บ้าน