บทที่ 407 หนีตามไปกันจริง ๆ
บทที่ 407 หนีตามไปกันจริง ๆ
ฉินเย่จือแสร้งทำเป็นไม่สนใจและพูดว่า “ข้าเป็นบุรุษ ร่างกายของข้าจึงย่อมแข็งแรงกว่า เจ้าเป็นสตรีอ่อนแอ หากเจ้าป่วย มันจะกลายเป็นปัญหาเอาได้” หลังจากกล่าวจบ เขาก็นำเสื้อคลุมที่กู้เสี่ยวหวานมอบให้ตัวนั้นมาสวมด้วยตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ
เสื้อคลุมมีอุณหภูมิร่างกายของกู้เสี่ยวหวานอยู่ ทั้งปลายจมูกของเขายังคล้ายสัมผัสได้ถึงกลิ่นกายหอมจาง ๆ ที่ตกค้างของอีกฝ่าย
ฉินเย่จือกระชับเสื้อคลุมโดยไม่รู้ตัวแล้วพูดว่า “มาเถอะ ไปขึ้นฝั่งกัน!”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า ฉินเย่จือกระโดดขึ้นไปบนฝั่งก่อน จากนั้นหันกลับมาอุ้มกู้เสี่ยวหวานขึ้นจากเรืออย่างระมัดระวัง ร่างกายที่อ่อนนุ่มของนางอิงอยู่ในอ้อมแขนของฉินเย่จือ ฉินเย่จืออุ้มกู้เสี่ยวหวานในอ้อมแขนไปยังชายฝั่ง ขณะเดียวกันก็ไม่อยากแยกจากสัมผัสนุ่มนิ่มนี้ไป แต่ตอนนั้นเองที่เขาพบว่าตัวเองเสียการควบคุม ฉินเย่จือรีบวางกู้เสี่ยวหวานลงทันที ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดงเล็กน้อย แต่โชคดีที่กู้เสี่ยวหวานรีบไปคุยกับคนพายเรือจึงไม่ได้สังเกตเห็นความแปลกประหลาดของฉินเย่จือ
“คนพายเรือ ท่านเคยเห็นคู่พี่ชายน้องสาวเข้าไปเมื่อตอนเช้านี้ไหม?” กู้เสี่ยวหวานจงใจถาม ถามจบก็หันไปด้านข้าง แล้วพูดด้วยความโกรธกับคู่สามีภรรยากุ้ยว่า “ท่านป้า ในอนาคตอย่าได้ทะเลาะกับท่านลุงอีกเลย ถ้าเด็กพวกนี้เกิดเจอเรื่องร้ายถูกลักพาตัวไปโดยพวกค้ามนุษย์ที่ไร้มนุษยธรรม ถึงเวลานั้นพวกท่านต้องมานั่งร้องไห้เสียใจเป็นแน่”
กุ้ยสวิ้นเหอพลันเข้าใจเจตนาของกู้เสี่ยวหวานจึงพยักหน้าอย่างเร่งรีบ “ใช่ ๆ คู่พี่น้องสองคนกลัวชอกช้ำใจจึงหนีออกจากบ้านไป ยายเฒ่าเอ๊ย พวกเรามาใช้ชีวิตในบ้านหลังนี้ให้ดีกันเถอะ ในอนาคตพวกเราต้องไม่เอาความโกรธไปลงกับพวกลูก ๆ ของพวกเรา”
กุ้ยซื่อเป็นคนฉลาด นางกล่าวอย่างเศร้าโศกด้วยใบหน้าคลอน้ำตา “สามี ข้าจะไม่ทะเลาะกับท่านอีกแล้ว ลูก ๆ ที่น่าสงสารของข้า พวกเจ้าอยู่ที่ไหน!”
ในช่วงแรก กู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ อยู่ที่หัวเรือ และคนพายเรือกำลังพายเรืออยู่ที่ท้ายเรือ ซึ่งมันมีระยะห่างระหว่างพวกเขาเล็กน้อย กู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ พยายามลดเสียงของพวกเขาลง แม้ว่าคนพายเรือจะสงสัย แต่เขาก็ได้ยินไม่ชัดนัก
บนฝั่งมีถนนอยู่สองเส้น ซึ่งพวกเขาก็ไม่รู้ว่าพวกกุ้ยชุนเจียวกำลังจะไปที่ไหน
ยามเห็นท่าทางกังวลใจของคู่สามีภรรยากำลังขึ้นจากเรือ คนพายเรือคอยถามว่าเด็กสาวไปไหน แอบคิดว่าเด็กสาวต้องหนีตามไปพร้อมกับใครแน่ ครั้นเมื่อได้ยินกู้เสี่ยวหวานพูดเช่นนี้ เขาก็ยังนึกสงสัยในใจ พวกเขาต่างกล่าวกันเองว่าเป็นสามีภรรยาที่ทะเลาะกัน แล้วไปลงความโกรธกับลูกทั้งสอง ทำให้ลูกทั้งสองทนไม่ไหวจึงหนีออกจากบ้านมา ถึงแม้คนพายเรือจะยังคงสงสัย แต่เขาก็เชื่อเช่นนั้น
เขาชี้ไปที่ถนนสายหนึ่ง พลางพูดว่า “ข้าเห็นสองพี่น้องเดินไปตามถนนสายนี้”
กู้เสี่ยวหวานมองไปที่ถนนสายหนึ่ง และเอ่ยขอบคุณคนพายเรือ “ขอบคุณเจ้าค่ะ เรือของท่านดีมาก ขอบคุณท่าน ข้าคิดว่าจะต้องมาถึงตอนดึก แต่ไม่คิดเลยว่าจะมาถึงเร็วขนาดนี้ วันนี้รบกวนท่านแล้ว”
กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว แต่เมื่อคิดดูแล้ว การชมเชยฝีมือและความเร็วของผู้อื่นไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
เมื่อคนพายเรือเห็นกู้เสี่ยวหวานชมฝีมือเขาก็ยิ้มออกมา ก่อนพูดอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวว่า “ข้าทำสิ่งนี้มานานกว่าสิบปีแล้ว และข้าก็ผ่านคลื่นลมแรงมามาก อากาศดีเช่นนี้ย่อมเป็นมาถึงเร็วเป็นธรรมดา”
ฉินเย่จือหัวเราะ สตรีผู้นี้ ช่างโกหกได้ไม่กะพริบตาจริง ๆ นางหลับมาตลอดทาง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเรือเร็วหรือช้า
แต่ว่าเมื่อเห็นคนพายเรือเหล่ยิ้มตาหยี ฉินเย่จือก็เหลือบไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างนับถือ
ในใจกุ้ยซื่อและกุ้ยสวิ้นเหอรู้สึกขอบคุณกู้เสี่ยวหวานมากกว่าเดิม หากไม่ใช่เพราะกู้เสี่ยวหวาน เกรงว่าวันนี้พวกเขาคงไม่รู้จริง ๆ ว่ากุ้ยชุนเจียวกับคนอื่น ๆ มาที่หมู่บ้านเหมย
หลังจากขอบคุณคนพายเรือ กู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ ก็รีบมุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านเหมยโดยไม่หยุดพัก
กุ้ยสวิ้นเหอเป็นช่างไม้ และเขาเคยมาที่หมู่บ้านเหมยแห่งนี้เพื่อผลิตงานไม้ให้กับผู้อื่น แต่เขาเคยมาที่นี่แค่เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น จึงไม่คุ้นเคยกับหมู่บ้านเหมยเลย ขนาดกุ้ยสวิ้นเหอยังไม่คุ้นเคย กู้เสี่ยวหวานก็ยิ่งไม่คุ้นเคยเข้าไปใหญ่
แต่เพื่อที่จะตามหากุ้ยชุนเจียว พวกเขาได้แต่ทำหน้าหนาถามคนอื่น ๆ ไปทั่ว
ทว่าสภาพแวดล้อมของหมู่บ้านเหมยนี้ก็ดีมากเช่นกัน เดินเรียบถนนไปจนสุดทางก็จะเจอกับตลาดของหมู่บ้านเหมย
ครั้นเห็นป้ายร้านค้าในเมืองแกว่งไกวยามราตรี กู้เสี่ยวหวานเดาว่าพวกกุ้ยชุนเจียวอาจอยู่ที่นี่
แต่ถึงอย่างนั้น เมืองนี้ก็ใหญ่กว่าเมืองหลิวเจียนัก ตลาดก็กว้าง มีร้านค้า บ้านเรือน และผู้คนมากมาย
เมื่อเผชิญหน้ากับหมู่บ้านเหมยที่ใหญ่โตนี้ หัวใจของกุ้ยซื่อก็เป็นกังวลอีกครั้ง “ที่นี่กว้างใหญ่มาก พวกเราจะหาพวกนางเจอได้อย่างไร?”
“อย่ากังวลไป!” กู้เสี่ยวหวานปลอบ ก่อนถามอย่างใจเย็น “พ่อค้าคนนั้นเป็นคนที่มาจากไหนกัน? เขามีครอบครัวอยู่หรือไม่?”
กุ้ยซื่อระงับความเศร้าของนางอย่างรวดเร็ว คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าเคยได้ยินมาว่าไม่ได้มาจากเมืองรุ่ยเสียน แต่มาจากไหนข้าก็จำไม่ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็มาจากหมู่บ้านเล็ก ๆ เขายังบอกอีกว่าเขาเป็นเด็กกำพร้า ตั้งแต่ยังเด็กเขาอยู่เพียงลำพัง ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีพี่น้อง แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่!” กุ้ยคร่ำครวญ
ฉินเย่จือมองดูจากด้านข้าง ดวงตากลมโตสีดำของกู้เสี่ยวหวานดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างอยู่ หน้าตาเอาจริงเอาจังและเต็มไปด้วความรับผิดชอบช่างดูน่ามองจริง ๆ
กู้เสี่ยวหวานวิเคราะห์คำพูดของกุ้ยซื่ออย่างระมัดระวัง
ถ้าเขาอยู่คนเดียวก็หมายความว่าเขาไม่มีครอบครัวหรือมิตรสหายในหมู่บ้านเหมยนี้ หมู่บ้านเหมยนี้อาจเป็นสถานที่ที่เขาเคยมาเร่ขายของมาก่อน ซึ่งเขาก็คุ้นเคยกับที่นี่มาก
สถานที่แห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านอู๋ซีมากนัก พวกเขารีบหนีมา ดังนั้นกุ้ยชุนเจียวจึงนำแค่เครื่องประดับทั้งหมดของนางติดตัวไปด้วย
“กุ้ยชุนเจียวมีเงินอยู่ที่ตัวหรือไม่?” กู้เสี่ยวหวานถามด้วยน้ำเสียงที่ลึกล้ำ
ทันทีที่กู้เสี่ยวหวานถาม กุ้ยซื่อก็แค่นเสียงเย็น “เหตุใดจะไม่เอาอะไรติดตัวไปเล่า? เจ้าเด็กนั่น ก่อนไปดูโคมไฟ นางบอกว่าต้องการแต่งตัวให้งาม นางหยิบปิ่นทองคำกับต่างหูหยกของข้าไปคู่หนึ่ง ต่อมาเมื่อข้าแยกทางกับนางเพื่อตามหาตงเหมย เด็กนั่นบอกว่ากลัวข้าจะเหนื่อย นางจึงบอกว่าให้ฝากสิ่งของไว้กับนาง ข้าก็เชื่อนาง จึงฝากถุงเงินไว้กับนาง เงินทั้งหมดของข้าล้วนอยู่ในถุงเงินใบนั้น!”
กุ้ยซื่อกล่าวอย่างโกรธแค้นชิงชัง “ต้องเป็นพ่อค้านั่นบงการกุ้ยชุนเจียวของครอบครัวของข้า ทั้งหมดเป็นเขา ต้องเป็นเพราะเขา!”
ถึงตอนนี้ทุกคนจึงรู้ว่านี่เป็นการจงใจ…
หนีตาม!
เด็กหญิงอายุสิบกว่าปีหนีตามไปกับพ่อค้าอายุสิบแปดปี!