บทที่ 409 ยอมให้พวกเจ้าอยู่ด้วยกัน
บทที่ 409 ยอมให้พวกเจ้าอยู่ด้วยกัน
บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยต้นหนาทึบ ดวงจันทร์ส่องสว่างราวกับแผ่นเงิน และมีแสงจันทร์เพียงเล็กน้อยเล็ดลอดออกมาจากรอยแยกของใบไม้และกิ่งก้าน
กุ้ยซื่อเริ่มสับสนมากขึ้นเรื่อย ๆ และเอ่ยถามอย่างหวาดกลัวว่า “สาวน้อยเสี่ยวหวาน เรากำลังจะไปที่ใดกัน ที่นี่จะมีโรงเตี๊ยมอยู่จริงอย่างนั้นหรือ?”
ที่นี่ไม่เห็นแม้แต่เส้นผม หากใครเดินมาที่นี่เพียงลำพังก็เกรงว่าจะหวาดกลัวจนตาย
หัวใจของกุ้ยซื่อเต็มไปด้วยความกังวล นางกังวลเกี่ยวกับกุ้ยชุนเจียวมากขึ้น กุ้ยชุนเจียวจะมาที่นี่ได้อย่างไร
กู้เสี่ยวหวานพูดซ้ำสิ่งที่นางเพิ่งได้ยินกับกุ้ยซื่อ และกุ้ยซื่อก็ชะงักทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เจ้าคนโกหกนั่นพาลูกสาวของข้าไปที่บ้า ๆ เช่นนั้นได้อย่างไร หากข้าจับเขาได้ ข้าจะฆ่ามัน!”
เมื่อกุ้ยซื่อนึกถึงลูกสาวที่ต้องอาศัยอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยชายฉกรรจ์ นางก็รู้สึกว้าวุ่น และรีบสาวเท้าให้เร็วขึ้นราวกับจะบินไปหากุ้ยชุนเจียว
ในที่สุดทุกคนก็มาถึงที่โล่งกว้าง
มันเป็นพื้นที่เปิดโล่งขนาดใหญ่ มีเพิงไม้ธรรมดา ๆ กระจัดกระจายไปทั่ว เพิงไม้เล็ก ๆ เหล่านั้นเป็นเหมือนคอกวัว เมื่อจะเข้าไปก็ต้องก้มตัวเข้าไป
ข้างนอกมีชายฉกรรจ์ร่างใหญ่สามคนหัวเราะกันเสียงดังอยู่ด้านนอก และผู้หญิงสองสามคนกำลังพูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะพลางตากเสื้อผ้าไปด้วย
ที่ด้านหน้ามีเพิงไม้เล็ก ๆ ที่มีหน้าต่างบานเล็กติดอยู่ เหมือนกับช่องขายตั๋วของสวนสาธารณะเมื่อก่อน มีแผ่นไม้เขียนบางอย่างประดับไว้ มันบิดเบี้ยวและมองไม่ชัด น่าจะเป็นชื่อโรงเตี๊ยมแห่งนี้
เมื่อกู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ กำลังจะเข้าไป น้ำเสียงขี้เกียจก็มาจากหน้าต่างบานเล็ก “เฮ้ เฮ้ เฮ้ จ่ายเงิน จ่ายเงิน!”
กู้เสี่ยวหวานเห็นชายคนนั้นยื่นคอออกมาจากหน้าต่างบานเล็ก มองไปที่กู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ อย่างดูถูก
เขามองไปที่กู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ ครั้นเห็นว่าเสื้อผ้าของกู้เสี่ยวหวานสะอาดสะอ้านและมีใบหน้าที่งดงาม ใบหน้าของเขาจึงปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ และเอ่ยวาจามุ่งร้าย “โอ้ ลมอะไรพัดมาที่นี่กัน เหตุใดวันเดียวถึงมีสาวสวยสองคนมาที่นี่!”
กู้เสี่ยวหวานจ้องมองเขาอย่างดุดัน ชายผู้นั้นไม่สนใจและหัวเราะ “โอ้ แม่นางช่างมีอารมณ์รุนแรงเสียจริง…”
ก่อนที่เขาจะกล่าวจบ นางก็ได้ยินเสียงชายผู้นั้นกรีดร้องไม่หยุด ปรากฏว่าฉินเย่จือได้ก้าวไปข้างหน้าแล้วบิดหูของชายผู้นั้นด้วยมือข้างเดียว เขาใช้แรงเพียงเล็กน้อย แต่ชายผู้นั้นรู้สึกราวกับว่าหูจะหลุดออกมา “โอ๊ย ๆ เบาหน่อย ๆ เจ็บ ๆ…”
ฉินเย่จือเพิกเฉยต่ออีกฝ่าย แรงมือของเขาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ และดูเหมือนว่าเขาจะต้องการพาชายผู้นี้ออกไปจากเพิงไม้
เดิมทีชายผู้นั้นยื่นศีรษะออกไปทางหน้าต่างบานเล็ก ฉินเย่จือดึงหูของเขา ชายผู้นั้นกลัวเจ็บ จึงพยายามดึงศีรษะกลับไป แต่แรงของเขาจะมาเปรียบเทียบกับแรงของฉินเย่จือได้อย่างไร มันเจ็บจนเขาต้องร้องออกมา
ครั้นเห็นว่าชายผู้นั้นได้รับการสั่งสอน กู้เสี่ยวหวานก็ก้าวไปข้างหน้าและถามว่า “สาวน้อยที่ท่านพูดถึงเมื่อครู่ นางอาศัยอยู่ในกระท่อมใด!”
“ยกโทษให้ข้า ยกโทษให้ข้าเถอะ เจ้าปล่อยมือก่อน ปล่อยมือก่อนแล้วข้าจะบอก!” ชายผู้นั้นอ้อนวอนขอความเมตตา
กู้เสี่ยวหวานไม่สนใจ “ท่านพูดก่อนแล้วจะปล่อย”
ชายผู้นั้นรู้สึกว่าที่หูมีแรงบิดที่มีมากขึ้นราวกับว่าหูของเขาจะหลุดออกมาและตะโกนว่า “อยู่ห้องที่แปด มีป้ายไม้อยู่บนเพิงไม้ พวกเจ้าไปหาเถอะ พวกเจ้าเดินไปก็รู้แล้ว” ชายผู้นั้นกัดฟันกล่าวออกมา
ในที่สุดเมื่อได้ยินว่าชายผู้นั้นกล่าวออกมา ฉินเย่จือก็ปล่อยมือของเขา และชายผู้นั้นก็ถอยกลับด้วยความเจ็บปวด อาจเป็นเพราะการบีบนั้นรุนแรงเกินไป ไม่นึกเลยว่าหน้าต่างไม้เล็ก ๆ จะใหญ่พอให้ชายผู้นั้นถอยหลังกลับ ทันทีที่หดตัวกลับเข้าไป เขาก็ชนเข้ากับเพิงไม้ และกัดฟันด้วยความเจ็บปวด
เมื่อกุ้ยซื่อเห็นสถานที่ทรุดโทรมนี้ในครั้งแรก ในใจของนางก็มีความคิดว่าลูกสาวของนางจะไม่อยู่ที่นี่ แต่เมื่อนางได้ยินเลขห้องจากชายผู้นั้น นางรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก นางสบถและพุ่งตัวออกไปในทันที
ในที่สุดหลังจากพบเพิงไม้หมายเลขแปด กุ้ยซื่อก็วิ่งไปข้างหน้าและเคาะประตู พลางตะโกนอย่างเศร้าสร้อย “ลูกสาว ลูกสาวข้า!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงอะไรบางอย่างกระทบพื้นทำให้เกิดเสียงดังมาจากในห้อง
มีคนอยู่ข้างใน
เสียงของกุ้ยซื่อดังมากพอที่จะทำให้คนรอบข้างได้ยิน และรีบออกมาดู เมื่อกุ้ยสวิ้นเหอเห็นว่าคนมากมายให้ความสนใจก็กลัวว่าเรื่องจะเลวร้ายลง เขาจึงรีบปิดปากของกุ้ยซื่อและกระซิบ “ภรรยา เจ้าเบาเสียงหน่อยเถอะ เจ้ากลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้หรืออย่างไร!”
ทันใดนั้น กุ้ยซื่อจำได้และพยักหน้าอย่างรวดเร็ว กุ้ยซื่อเคาะประตูอีกครั้งและกล่าวด้วยเสียงที่เบาลง “ลูกสาว ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ข้างใน มาเปิดประตูเร็ว ๆ เข้า ข้าตามหาเจ้าจนจะขาดใจอยู่แล้ว”
มีเพียงเสียงของบางอย่างตกลงมาในตอนแรก หากแต่ไม่มีผู้ใดมาเปิดประตู
“ลูกสาว เปิดประตูเร็ว! เจ้าอยากให้ข้าขาดใจตายหรืออย่างไร!” กุ้ยซื่อลดเสียงลง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยน้ำตา ใบหน้านั้นโศกเศร้า
“ลูกสาว ลูกสาว…”
เมื่อเห็นว่าคนมากันมากมาย ผู้ที่อาศัยอยู่ในเพิงไม้ก็ออกมามองดูด้วยความสงสัย และบางคนก็เดินผ่านไป
กู้เสี่ยวหวานเห็นผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้ายังไม่พากุ้ยชุนเจียวออกไปอย่างรวดเร็ว ถ้าคนกลุ่มนี้รวมตัวกัน ยิ่งคนรู้มากขึ้นเรื่อย ๆ ชื่อเสียงของกุ้ยชุนเจียวจะถูกทำลายมากขึ้นเท่านั้น
กู้เสี่ยวหวานวิเคราะห์เรื่องนี้ให้กับกุ้ยสวิ้นเหอและกุ้ยซื่อฟัง กุ้ยซือร้องไห้คร้ำครวญหลังจากฟังนางก็พยักหน้า และรีบทำตามที่กู้เสี่ยวหวานบอก พลางกว่าว่า “ลูกสาว เจ้าอยู่ในนั้นหรือไม่? ถ้าอยู่ข้างในก็ฟังที่ข้าบอก ข้ายอมให้พวกเจ้าอยู่ด้วยกันแล้ว ไม่ต้องการร้านเป็นสินสอดทองหมั้นแล้วด้วย แค่พวกเจ้ามีความสุขก็พอ! ข้าเห็นด้วย!”
ขณะที่กุ้ยซื่อกล่าวตามคำพูดของกู้เสี่ยววานจบ นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอันรวดเร็วมาจากข้างใน ประตูเพิงไม้บานเล็กถูกเปิดออก กุ้ยชุนเจียวปรากฏตัวขึ้นหลังประตูด้วยท่าทางประหลาดใจ “ท่านแม่ เรื่องที่ท่านพูดเมื่อครู่นี้จริงหรือไม่? ท่านเห็นด้วยที่จะให้ข้ากับพี่หมิ่นแต่งงานกันแล้วใช่หรือไม่?”
กุ้ยซื่อรีบมองเข้าไป ภายในห้องนั้นสุดจะพรรณนา มีเพียงเตียงที่ทรุดโทรมและโต๊ะเล็ก ๆ เท่านั้น ไม่มีสิ่งของอื่นอีกแล้ว
นี่…คนจะอยู่ที่นี่ได้จริงหรือ? กุ้ยซื่อรู้สึกปวดใจอย่างยิ่งเมื่อคิดว่าลูกสาวของนางต้องอาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนี้