บทที่ 413 จับได้คาหนังคาเขา
บทที่ 413 จับได้คาหนังคาเขา
ฉินเย่จือที่อยู่ด้านข้างเห็นท่าทางที่เศร้าสร้อยของกู้เสี่ยวหวาน จึงคิดว่านางคงคิดถึงพ่อแม่ที่เสียชีวิตไปแล้ว ครั้นเห็นความโศกเศร้าของอีกฝ่าย ความจริงเมื่อมองเด็กที่อายุเท่ากันกับนาง เด็กเหล่านั้นสามารถทำรังอยู่ใต้ปีกของพ่อแม่ได้ และมีพ่อแม่คอยปกป้องจากลมและฝน แต่แล้วนางล่ะ? นางกลับต้องใช้ไหล่ที่อ่อนแอของนางเพื่อค้ำจุนบ้านที่ทรุดโทรมนี้เท่านั้น
ไม่ว่านางจะแข็งแกร่งและเก่งกาจแค่ไหน นางก็เป็นเพียงเด็กอายุสิบขวบเท่านั้น
ในช่วงเวลาที่อายุสิบขวบก็ควรได้เพลิดเพลินไปกับทุกสิ่งที่พ่อแม่เตรียมไว้ให้
บนถนนที่มีแสงจันทร์เพียงเล็กน้อย ร่างของกู้เสี่ยวหวานดูโดดเดี่ยวและอ้างว้าง
หัวใจของฉินเย่จือก็เจ็บปวดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เขาก้าวไปข้างหน้าช้า ๆ และประคองไหล่ทั้งสองของกู้เสี่ยวหวานเบา ๆ
สีหน้าของกู้เสี่ยวหวานเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความอิจฉา ครั้นหันกลับมามองก็พบฉินเย่จือ นางพยายามอย่างเต็มที่ที่จะแสดงรอยยิ้มที่ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นรอยยิ้มออกมา
เมื่อกุ้ยชุนเจียวและคนอื่น ๆ สงบลง กู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ ก็ออกเดินทางมาที่หมู่บ้านเหมยอีกครั้ง
ตอนนี้มันดึกมากแล้ว และดึกเกินไปที่จะกลับไปที่เมืองหลิวเจีย ดังนั้นจึงต้องรอจนถึงเช้าพรุ่งนี้จึงจะออกเดินทางได้
ในขณะที่กู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ อยู่ระหว่างทางที่กำลังหาโรงเตี๊ยมอยู่นั้น ทันใดนั้นก็มีเสียงมาจากตรอกมืดและกล่าวอย่างโกรธเคือง “ไอ้เด็กเวร เจ้าเสียเงินอีกแล้ว เจ้าบอกมาสิว่าเมื่อไรจะคืนเงิน?”
“ข้าจะคืน ข้าจะคืน ข้าจะคืนในทันที!” น้ำเสียงนั้นกระตือรือร้น
เมื่อได้ยินเสียงของบุคคลนั้น กุ้ยชุนเจียวราวกับจะถูกฟ้าผ่า ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นทันที และมองไปยังตรอกมืดโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ
กู้เสี่ยวหวานมองนางอย่างสงสัย และมองไปที่ตรอกมืด ในใจก็เหมือนจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้
“ถูหมิ่นเอ๋ยถูหมิ่น ไม่ว่ากี่ครั้งที่เจ้าเล่นเสีย เจ้าก็บอกว่าจะรีบคืนเงิน ข้าเกรงว่าจะต้องรอปีใหม่อีกครั้ง เจ้าถึงจะจ่ายคืนใช่หรือไม่? พ่อค้าที่ยากจนเช่นเจ้าจะหาเงินมาได้เท่าไรกันเชียว! ข้าจะบอกเจ้าไว้อย่างหนึ่งนะ ข้าจะไม่รอเจ้าอีกต่อไปแล้ว หากไม่คืนเงินก็ทิ้งแขนข้างหนึ่งของเจ้าเสีย ข้าจะไม่ยอมนิ่งเฉยอีกต่อไปแล้ว” ชายผู้นั้นกล่าวอย่างดุดัน
ไม่น่าแปลกใจที่กุ้ยชุนเจียวจะตกตะลึง ปรากฏว่าคนที่อยู่ข้างในตรอกนั้นคือพ่อค้าถูหมิ่น
ภายในตรอกมืดสลัว พวกเขายืนอยู่ที่อีกมุมหนึ่งของตรอก ดังนั้นจึงไม่สังเกตเห็นพวกนาง แต่บนถนนสายหลัก กู้เสี่ยวหวานได้ยินอย่างชัดเจน
ทันทีที่เขาได้ยินว่าคนผู้นั้นจะตัดมือตัวเอง ชายที่ชื่อถูหมิ่นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มทันทีว่า “อย่าเลย อย่าเลย ไม่ต้องกังวล ข้าจะเอาเงินมาคืนภายในสองวัน!”
“โอ้?” เมื่อได้ยินว่าถูหมิ่นตั้งใจแน่วแน่ ชายผู้นั้นจึงถามด้วยความสงสัย “ถูหมิ่น เจ้าคงจะไม่ได้หลอกเอาเงินจากผู้หญิงที่ร่ำรวยมาอีกแล้วใช่หรือไม่?”
“ฮ่า ๆ…” ถูหมิ่นหัวเราะ “ไม่ คราวนี้ไม่ใช่ผู้หญิงจากครอบครัวที่ร่ำรวย แต่ครอบครัวของนางก็ไม่แย่เท่าไร อย่างน้อยก็ไม่อดอยากและคงจะมีเงินอยู่บ้าง ไม่ต้องห่วง ข้าพาลูกสาวเขามาแล้ว และตอนนี้นางอยู่ในมือของข้า นางเชื่อฟังทุกอย่างที่ข้าพูด ไม่ต้องกังวล ภายในสองวัน เมื่อพ่อแม่ของนางมาที่นี่ ข้าจะคืนเงินให้แน่นอน! เจ้ารออีกแค่ไม่กี่วัน!”
ถูหมิ่นยิ้มอย่างประจบสอพลอ แม้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะไม่เคยเห็นบุคคลนี้มาก่อน แต่เมื่อได้ยินวาทศิลป์ของเขา นางก็เดาได้ว่าคนผู้นี้ช่างน่าสงสัย
“ฮ่า ๆ ดี ข้าจะรอ ถูหมิ่น…” ชายผู้นั้นชะงักอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวอย่างอิจฉา “เจ้าเด็กนี่โชคดีจริง ๆ โตมาหน้าตาดี เจ้าไปหลอกเด็กสาวที่ไหนมาอีกล่ะ? คงไม่ใช่จากหมู่บ้านเหมยใช่หรือไม่?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร! นางมาจากหมู่บ้านอู๋ซี ข้าคบหากับนางมาเกือบปีแล้ว นางจึงยินดีที่จะหนีออกมากับข้า” ถูหมิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม ราวกับว่าการที่เขาลักพาตัวกุ้ยชุนเจียวมาง่ายเหมือนซื้อชิ้นเนื้อมาจากตลาด
กู้เสี่ยวหวานมองไปที่กุ้ยชุนเจียวอย่างทุกข์ใจ และพบว่าใบหน้าของกุ้ยชุนเจียวซีดเซียวไม่ต่างจากคนตาย
กุ้ยชุนเจียวตัวแข็งทื่อ จ้องมองเข้าไปในตรอกโดยไม่กะพริบตา ในใจของนางมีทั้งความเจ็บปวด ความโกรธ และความสิ้นหวัง
เมื่อสักครู่ที่ชายผู้นั้นกล่าวกับสามีภรรยากุ้ย แม้ว่ากุ้ยชุนเจียวจะได้ยิน แต่นางก็ไม่ได้สนใจ และยังคิดว่าพ่อแม่ของนางหลอกลวงนาง เพราะพ่อและแม่ไม่ชอบถูหมิ่น พ่อและแม่จึงขัดขวางไม่ให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันและขัดขวางความรักของพวกเขาทั้งคู่
แต่ถูหมิ่นกลับกล่าวความเป็นจริงอันน่าหวาดกลัวออกมา กุ้ยชุนเจียวจึงรู้สึกหมดหวัง
ในเวลานี้ คำพูดของถูหมิ่นราวกับการฉีกอกและขยี้หัวใจของนางจนบอบช้ำ ร่างทั้งร่างราวกับสูญเสียหัวใจ สูญเสียเลือด สูญเสียวิญญาณ ราวกับเป็นหุ่นเชิดที่ไร้วิญญาณยืนอยู่อย่างว่างเปล่า
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นกุ้ยชุนเจียวเป็นเช่นนั้น
ยิ่งไปกว่านั้นคือความแค้นต่อพ่อค้าเร่ที่ชื่อถูหมิ่น
กุ้ยชุนเจียวอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านอู๋ซีตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และเพราะนางได้ออกจากหมู่บ้านอู๋ซีเพียงไม่กี่ครั้ง ทั้งหมู่บ้านก็มีแต่สหายที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เล็กจนโต บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก จึงไม่มีความรู้สึกของผู้ชายผู้หญิงเลย
ยิ่งไปกว่านั้น เด็กที่อายุเท่านางนั้นยังเติบโตไม่เต็มที่ จึงไม่เข้าใจในความรักระหว่างผู้ชายผู้หญิงเลย
แต่ถูหมิ่นผู้นี้ต่างออกไป เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องความรักมาช้านาน และสามารถดึงดูดหัวใจของหญิงสาวได้ เขาเอ่ยคำหวานสองสามคำและใช้ของราคาถูกมาหลอกล่อกุ้ยชุนเจียว ในที่สุดนางก็มอบหัวใจให้เขาและหนีตามเขามา
เดิมทีคิดว่านี่เป็นเรื่องความรักของคนสองคน แต่ไม่ได้คาดคิดว่านี่จะเป็นการลักพาตัวที่มีการวางแผนมายาวนานเลย
ไม่รู้ว่ามีผู้หญิงที่ถูหมิ่นเคยหลอกมาแล้วกี่คนแล้ว และไม่รู้ว่ากุ้ยชุนเจียวเป็นคนที่เท่าไร…
ผู้คนในตรอกหัวเราะด้วยเจตนาร้าย แล้วจากไปพร้อมรอยยิ้ม
กระทั่งผ่านไปสักพักก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในตรอก น้ำเสียงนั้นเย็นยะเยือก “นี่มันบ้าอะไรกัน!”
จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้า และมีเงาที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
เป็นถูหมิ่นที่กำลังเดินมา
กู้เสี่ยวหวานเหลือบไปที่กุ้ยชุนเจียว ไฟที่คุกรุ่นในดวงตาของกุ้ยชุนเจียวหายไปแล้ว และแทนที่ด้วยความสิ้นหวัง
ถูหมิ่นสบถและถ่มน้ำลายที่เต็มไปด้วยเลือดออกมา