บทที่ 419 ถูหมิ่นขอความเมตตา
บทที่ 419 ถูหมิ่นขอความเมตตา
ครั้นเห็นถูหมิ่นมีท่าทีไม่เชื่อ กู้เสี่ยวหวานก็กล่าวต่อว่า “เจ้าว่าถ้าข้าตัดลิ้นเจ้าออกมา หลังจากนั้นก็ไปฟ้องร้องที่ที่ว่าการอำเภอว่าเจ้าขโมยของของข้าไป เจ้าว่าพวกเขาจะเชื่อใครระหว่างคนที่พูดได้กับคนที่พูดไม่ได้! การจะทำให้เจ้าหุบปาก ความจริงแล้วมันง่ายดายเสียเหลือเกิน” คำพูดของกู้เสี่ยวหวานแผงด้วยความหมายบางอย่าง เมื่อฉินเย่จือได้ฟังก็พยักหน้าเห็นด้วย “ไม่เลว!”
เมื่อกุ้ยชุนเจียวได้ยินคำพูดของกู้เสี่ยวหวาน นางก็ก้มหน้าด้วยความอับอายทันที ไม่ผิด นางไม่มีภูมิต้านทานต่อคำบอกรักที่ถูหมิ่นพูด ตอนแรกก็รู้สึกอับอายเล็กน้อย จากนั้นก็รู้สึกรักใคร่ และในที่สุดก็รู้สึกเหมือนเป็นเสียงที่ไพเราะที่สุดในโลก
ในโลกนี้จะมีเสียงอันอบอุ่นหัวใจเช่นนี้ได้อย่างไร? อย่างไรก็ตามปรากฏว่าทั้งหมดนี้เป็นการออกแบบของคนอื่น
กู้เสี่ยวหวานยังคงกระตุ้นเขาต่อไป “คนอย่างเจ้า เจ้าจะทำอะไรได้อีกนอกจากเล่นลิ้น? สิ่งที่เจ้าพูดไพเราะกว่าการร้องเพลงเสียอีก หากตัดลิ้นของเจ้าเพื่อให้คนอื่นไม่ได้ยิน มาดูกันสิว่าเจ้าจะยังไปทำเช่นนี้กับผู้หญิงคนอื่นได้อีกหรือไม่”
หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานกล่าวจบ เจตนาฆ่าที่รุนแรงในสายตาของนางก็ปรากฏออกมา ถูหมิ่นก็หวาดกลัวเมื่อเห็นมัน
เมื่อถูหมิ่นเผชิญหน้ากับกู้เสี่ยวหวาน เขาหวาดกลัวจนกล่าวอะไรไม่ได้สักคำ ถูหมิ่นมองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยความสยดสยอง พยายามดูว่ามีการล้อเล่นบนใบหน้าหรือนัยน์ตาของเด็กสาวผู้นี้หรือไม่ เขากลับเห็นแต่ใบหน้าที่เย็นชาของกู้เสี่ยวหวาน ทันใดนั้น ถูหมิ่นก็รู้สึกว่าตนเองเป็น ‘เนื้อที่อยู่บนเขียง’*[1]
ตอนนี้เขาเป็นเหมือนชิ้นเนื้อบนเขียง ซึ่งกู้เสี่ยวหวานจะลงมีดสับให้เขากลายเป็นเนื้อสับได้ทุกเมื่อ
หลังจากตกตะลึง เขาก็หวาดกลัวเป็นอย่างมาก จนสุดท้ายต้องอ้อนวอนขอความเมตตา “ได้โปรด ได้โปรด ถ้าเจ้าตัดลิ้นข้า ในอนาคตข้าจะทำอย่างไร?” ถูหมิ่นรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย และมองดูกู้เสี่ยวหวานที่ไม่เคลื่อนไหวจากการขอความเมตตาของเขาเลย
ถูหมิ่นกลัวตาย เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานไม่หวั่นไหว เขาจึงรีบอ้อนวอนขอความเมตตาจากคู่สามีภรรยากุ้ย “ท่านลุง ท่านป้า ได้โปรด พวกท่านได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ ข้าไม่ต้องการเงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินอะไรนั่นแล้ว ข้าไม่ต้องการมันแล้ว เพียงแค่พวกท่านไม่ตัดลิ้นข้า ข้าสัญญา! ข้าสาบานต่อสวรรค์ ข้าจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น หากข้าพูดไปก็ขอให้ฟ้าผ่า ได้โปรด ปล่อยข้าไปเถอะ” ถูหมิ่นตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
คู่สามีภรรยากุ้ยมองหน้ากัน พวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดถูหมิ่นถึงกลัวคำพูดของกู้เสี่ยวหวานจนเป็นเช่นนี้
คำพูดของกู้เสี่ยวหวานในมุมมองของพวกเขา คำพูดนั้นค่อนข้างจริงจัง แต่พวกเขาไม่เห็นความดุร้ายในดวงตาของกู้เสี่ยวหวานที่ทำให้ผู้คนสั่นสะท้าน
คู่สามีภรรยากุ้ยมองหน้ากัน แต่พวกเขาก็เห็นความหวาดกลัวในดวงตาของกันและกัน
เมื่อเห็นว่าคู่สามีภรรยากุ้ยไม่พูดอะไร ถูหมิ่นจึงรีบมองไปที่กุ้ยชุนเจียวอย่างรวดเร็ว และร้องขออย่างขมขื่น “เจียวเอ๋อร์ ช่วยข้า ช่วยข้าด้วย! เจ้ายังรักข้าอยู่ใช่หรือไม่ ข้ายังรักเจ้าอยู่! เจ้าคงไม่อยากให้ข้ากลายเป็นใบ้ใช่หรือไม่ ตราบใดที่เจ้าขอให้นางปล่อยข้า ในอนาคตข้าจะจริงใจต่อเจ้ามากขึ้น!”
หลังจากถูหมิ่นกล่าวจบ ดวงตาของเขาฉายแววสิ้นหวัง “เจียวเอ๋อร์ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาขวางทางเรา ตอนนี้พวกเราคงรักกันดี พวกนั้นต่างหากที่ขัดขวางเราไม่ให้อยู่ด้วยกัน หากข้าไม่ได้กลัวว่าเจ้าจะทิ้งข้าไป ข้าคงจะไม่เป็นเช่นนี้!”
หลังจากกล่าวจบ น้ำตาก็ไหลอาบแก้มและร้องไห้อย่างขมขื่น “เจียวเอ๋อร์ ในอดีตข้าเคยทำสิ่งผิดมามาก แต่ตอนนี้ข้ารักเจ้า ในชีวิตนี้ ข้าจะไม่มีทางไปรักหญิงอื่น เจ้าคือทั้งหมดของข้า เจ้าคือชีวิตของข้า! ถ้าไม่มีเจ้า ข้าจะทำอย่างไร!”
แววตาของกุ้ยชุนเจียวนั้นว่างเปล่า นางมองไปที่ใบหน้าของถูหมิ่นที่เปลี่ยนจากความหลงใหลเป็นความขุ่นเคืองและความสิ้นหวัง
การที่ผู้ชายเฮงซวยผู้นี้ไม่ไปแสดงละคร ช่างน่าเสียดายจริง ๆ กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเสียดายอยู่ในใจ
กุ้ยชุนเจียวยังคงตกตะลึง สงสัยว่าตนเองได้ฟัง ‘คำสารภาพความจริง’ ของถูหมิ่นแล้วหรือยัง ในหัวใจของกุ้ยชุนเจียว นางไม่สามารถบอกได้ว่ามันน่ารังเกียจหรือน่าสงสาร แต่นางรู้สึกว่าชายที่กำลังเผชิญความยากลำบากต่อหน้านางเป็นเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง
เมื่อปราศจากความเสน่หาเช่นในอดีต ตอนนี้นางแค่คิดว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องน่าขันฉากใหญ่ และนางก็เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี ก่อนหน้านี้ที่นางทำผิดพลาดครั้งใหญ่และทำให้เกิดปัญหาใหญ่หลวง มีคนดึงตัวนางออกมาจากวังวนสกปรกของถูหมิ่นด้วย
อย่างไรก็ตาม ชายที่อยู่ตรงหน้านางคือคนแรกที่ตนเองตกหลุมรัก
กุ้ยชุนเจียวเหลือบมองที่ถูหมิ่นอย่างซับซ้อน หลับตาลง และแสดงสีหน้าลังเล
ถูหมิ่นคิดว่าตัวเขากล่าวให้กุ้ยชุนเจียวรู้สึกสงสารได้แล้ว และหัวใจของเขาก็แอบดีใจ จึงรีบกล่าวอย่างอ่อนหวาน “เจียวเอ๋อร์ เจ้ารักข้า เจ้ายังตัดใจจากข้าไม่ลงใช่หรือไม่! เจ้ายังรักข้าอยู่!”
กู้เสี่ยวหวานมองไปที่ถูหมิ่นอย่างเย็นชาและมองไปที่กุ้ยชุนเจียวด้วยสายตาที่ซับซ้อน
ในเวลานี้ กุ้ยชุนเจียวกล่าวออกมาว่า “เสี่ยวหวาน ตราบใดที่เขาไม่พูดเรื่องของข้าออกไป และเขาก็สัญญาแล้ว ข้าไม่ต้องการลิ้นของเขา!”
คู่สามีภรรยากุ้ยยังกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ใช่แล้ว สาวน้อยเสี่ยวหวาน อย่าทำแบบนี้เลย ถึงเงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินนี้จะทำให้ข้าสิ้นเนื้อประดาตัว ข้าก็จะหายืมมาให้ได้! ถึงเวลานั้น ถ้าเจ้าทำร้ายเขาจริง แล้วเขาเอาไปฟ้องร้อง นั่นจะเป็นการทำร้ายตัวเจ้าเอง!” กุ้ยสวิ้นเหอมีจิตใจดี เขาไม่ต้องการให้เรื่องนี้ตกเป็นความผิดของกู้เสี่ยวหวานและเขาไม่ต้องการให้กู้เสี่ยวหวานท่องไปในน้ำโคลน*[2]
การกระทำของกู้เสี่ยวหวานในวันนี้ ทำให้คู่สามีภรรยากุ้ยรู้สึกขอบคุณ กุ้ยซื่อพยักหน้าเมื่อได้ยินสิ่งที่กุ้ยสวิ้นเหอกล่าว
แม้จะอึดอัดเล็กน้อย แต่ก็กล่าวอย่างจริงใจว่า “สาวน้อยเสี่ยวหวาน เมื่อก่อนข้าเคยตาบอด ขออภัยเจ้าจริง ๆ ข้าไม่รู้จักดูทิศทางลมและมักจะนำเจ้ามาล้อเลียนอยู่เสมอ ข้ารู้สึกละอายใจ เจ้าช่วยเหลือเรามาหลายสิ่งหลายอย่างแล้ว หากเจ้าทำร้ายเขาจริง ๆ เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้น เขาจะเข้ามาพัวพันอีกครั้งและฟ้องร้องเจ้าต่อทางการ ถึงเจ้ากระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็คงล้างไม่ได้*[3]!” กุ้ยกล่าวและถอนหายใจยาว
“สาวน้อยเสี่ยวหวาน มันไม่คุ้มเลย เจ้าจะทำร้ายตนเองเพราะคนเช่นนี้ และเงินเพียงหนึ่งร้อยตำลึงเงินเองหรือ? ข้าตกลงกับหัวหน้าครอบครัวแล้ว ถึงจะต้องทุบหม้อขายเหล็ก ข้าต้องหาเงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินมาให้ได้ ข้าไม่สามารถทำร้ายชุนเจียวของข้าและเจ้าได้” กุ้ยซื่อกล่าวอย่างน่าประทับใจ
“ถูกต้อง ตราบใดที่เจ้าไม่ตัดลิ้นข้า ข้าก็ไม่ต้องการเงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินนั่น ตราบใดที่เจ้าปล่อยข้า ข้าสัญญาว่าข้าจะจากไปทันที และจะไม่กลับไปที่หมู่บ้านอู๋ซีอีก พวกเจ้าวางใจได้ ข้าจะปล่อยให้เรื่องนี้เน่าอยู่ในท้องข้า ข้าจะไม่พูดอะไรออกไปแน่นอน!” ถูหมิ่นรีบยืนยัน
*[1] หมายถึง อำนาจแห่งชีวิตและความตายอยู่ในมือของผู้อื่น และตนเองอยู่ในตำแหน่งที่จะถูกสังหาร
*[2] หมายถึง การทำสิ่งเลวร้ายกับผู้อื่น
*[3] หมายถึง เรื่องยากที่จะกำจัดและหลีกเลี่ยงความสงสัย