พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 2199 ประกาศตนเป็นราชัน

บทที่ 2199 ประกาศตนเป็นราชัน
จู่ๆ เขาก็เรียกตัวเองว่า ‘ข้าน้อย’ อย่างสบายอกสบายใจขนาดนี้ กลับทำให้เหมียวอี้รู้สึกไม่ค่อยคุ้นชิน เหมียวอี้ขานรับแล้วบอกว่า “คาดว่าท่านอ๋องเถิงคงจะมีความเห็นอันเหนือชั้น ข้ายินดีฟังรายละเอียด”
หยางชิ่งที่อยู่ข้างๆ พอได้ยินแล้วก็เอียงหน้ามองมาเช่นกัน รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ตอนนี้ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าการปราบก่วงลิ่งกง ประมุขชิงกับประมุขพุทธะอีกหรือ?
เถิงเฟยกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องสงครามมาถึงขั้นนี้แล้ว ทำให้ทำให้คนทั้งใต้หล้าโน้มน้อมสวามิภักดิ์ต่างหากคือเรื่องที่สำคัญที่สุด!”
“…” เหมียวอี้อึ้งไปครู่หนึ่ง ยังไม่ทันรู้ตัวว่าหมายความว่าอะไร
หยางชิ่งก็อึ้งเช่นกัน แต่จากนั้นก็เผยสีหน้าเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว ตอนนี้กำลังครุ่นคิดเงียบๆ
เฉิงไท่เจ๋อกุมหมัดคารวะ “ท่านอ๋องได้โปรดขึ้นสู่ตำแหน่งราชัน เพื่อซื้อใจคนทั้งใต้หล้า!”
เถิงเฟยกุมหมัดคารวะเช่นกัน “ท่านอ๋องได้โปรดขึ้นสู่ตำแหน่งราชัน นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด!”
“หา…” เหมียวอี้งงเป็นไก่ตาแตก ในเมื่อเขาก็เรื่องใหญ่โตขนาดนี้แล้ว ไม่เสียดายที่จะเสี่ยงอันตรายช่วงชิงชัยชนะกับวีรบุรุษในใต้หล้า ก็ย่อมเคยมีแผนการนี้ แต่ไม่เคยคิดว่าจะต้องทำตอนนี้ ทำเอาพูดอะไรไม่ถูก เพราะไม่ได้เตรียมใจเอาไว้
ความรู้สึกทุกข์ใจของอวิ๋นจือชิวก็หายไปแล้วเช่นกัน นางค่อยๆ หันตัวมา สิ่งนี้ทำให้นางตกใจแล้วเช่นกัน
เหมียวอี้กลืนน้ำลาย แล้วหันไปมองหยางชิ่งที่อยู่ข้างๆ
หยางชิ่งชำเลืองมองเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อแวบหนึ่งด้วยแววตาที่แฝงความหมายล้ำลึก พอจะเข้าใจความคิดของทั้งสองแล้ว ทั้งสองอยากจะสร้างผลงานในการสนับสนุนให้เหมียวอี้ขึ้นเป็นราชัน! เมื่อทำอย่างนี้แล้ว ก็ทั้งได้สร้างผลงาน ทั้งได้แสดงให้เห็นถึงหัวใจที่สวามิภักดิ์โดยสมบูรณ์ สามารถหลีกเลี่ยงภัยอันตรายจากการถูกฆ่าที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ด้วย
เมื่อมองออกแล้วว่าเหมียวอี้ต้องการจะฟังความเห็นของตน หยางชิ่งก็กล่าวช้าๆ ว่า “ข้าน้อยรู้สึกว่าท่านอ๋องทั้งสองกล่าวได้ถูกต้อง”
เหมียวอี้กระแอมแล้วถามว่า “ตอนนี้เลยเหรอ? ศึกใหญ่ยังไม่สงบ จะเหมาะสมเหรอ?”
หยางชิ่งบอกว่า “ประมุขชิงและประมุขพุทธะปกครองใต้หล้ามาหลายปีขนาดนี้ ในหัวใจของคนทั้งใต้หล้า มองทั้งสองว่าเป็นผู้ปกครองโดยชอบธรรมแน่นอนอยู่แล้ว เช่นนั้นในหัวใจของคนในใต้หล้า พวกเราก็จะกลายเป็นทัพกบฏที่ก่อกบฏ ได้ชื่อว่าเป็นทัพกบฏที่กำลังต่อสู้กับประมุขชิงและประมุขพุทธะ ใจคนเรานั้นยังมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ใจคนจะเอนเอียงไปทางฝั่งผู้ปกครองโดยชอบธรรมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในสายตาของคนทั้งใต้หล้า ประมุขชิงกับประมุขพุทธะสั่งสมอำนาจบารมีไว้เยอะมาก ทัพกบฏอาจจะก่อกบฏไม่สำเร็จ แต่หากท่านอ๋องประกาศตนเป็นราชัน เช่นนั้นในสายตาและหัวใจของคนทางใต้หล้า ลักษณะก็จะแตกต่างกันแล้ว ไม่ใช่การก่อกบฏอีกต่อไป แต่เป็นการช่วงชิงตำแหน่งราชัน คนในโลกนี้จะไปรู้หรือว่ารายละเอียดของสงครามเป็นยังไง ถ้าจะบอกว่าใครชนะใครแพ้ในเวลานี้ เกรงว่าคนในสังคมก็จะคิดว่าเป็นข่าวลือตามท้องถนน อาจจะไม่เชื่อก็ได้ ถ้าท่านอ๋องประกาศตนเป็นราชันเมื่อไหร่ เช่นนั้นชาวโลกก็จะคิดว่าท่านอ๋องมีศักยภาพที่จะต่อต้านประมุขชิงกับประมุขพุทธะทันที สามารถทำให้ชาวโลกพยายามรักษาจุดยืนที่เป็นกลางไว้ ลดโอกาสที่ประมุขชิงกับประมุขพุทธะจะมาขอทรัพยากรในภายหลัง
นอกจากนี้ กำลังพลใต้บังคับบัญชาของท่านอ๋องมาจากทัพใต้ ทัพตะวันออกและทัพเหนือ ตอนนี้กำลังพลของท่านอ๋องควรจะเรียกตัวเองว่าอะไรล่ะ? เกรงว่าคงเลี่ยงไม่ได้ที่ทัพใต้จะคิดว่าตัวเองต่างหากที่เป็นสายตรงของท่านอ๋อง มองอีกสองทัพเป็นเพียงกองทัพที่ยอมสวามิภักดิ์ แต่ละทัพคงคิดว่าตัวเองมาจากทัพใต้ ทัพตะวันออกหรือไม่ก็ทัพเหนือ ตอนนี้ความคิดใจแคบต่างๆ ก็ทิ้งไว้ก่อนได้ หากท่านอ๋องประกาศตนเป็นราชัน ก็จะถือว่ากระโดดออกจากทัพใต้ ทีนี้ไม่ว่าจะเป็นทัพใต้ ทัพตะวันออกหรือทัพเหนือก็ล้วนเป็นกำลังพลของท่านอ๋องแล้ว จะทำให้ทหารของสามทัพเห็นเป้าหมายในการต่อสู้ของตัวเองแจ่มแจ้งชัดเจน ดังนั้นการที่ท่านอ๋องประกาศตนเป็นราชัน ก็เท่ากับทำให้คน โน้มน้อมสวามิภักดิ์!”
“ใช่แล้วๆ”
“ไม่ผิด ท่านบุรุษหยางพูดมีเหตุผล”
เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อกล่าวเห็นด้วยไม่ขาดปาก
มาจนป่านนี้แล้ว เหมียวอี้กลับกระบิดกระบวนเล็กน้อย “เหมือนจะมีเหตุผลอยู่บ้าง เพียงแต่…” เขาดูลังเล
เฉิงไท่เจ๋อวางมือไว้ข้างหลังแล้วโบกให้ลูกน้อง
เห็นได้ชัดว่าคบคิดกันไว้เรียบร้อยแล้ว แม่ทัพชุดหนึ่งกรูเข้ามาทันที กุมหมัดคารวะพร้อมกัน “ท่านอ๋องได้โปรดขึ้นสู่ตำแหน่งราชัน!”
เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ในทัพใหญ่ก็มีคนทยอยกันตะโกนเสียงดังเช่นกัน “ท่านอ๋องได้โปรดขึ้นสู่ตำแหน่งราชัน! ท่านอ๋องได้โปรดขึ้นสู่ตำแหน่งราชัน!”
คนที่ตะโกนเสียงดังตามเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นลูกน้องเก่าของเฉิงไท่เจ๋อกับเถิงเฟย ไม่ได้สมคบคิดกันล่วงหน้าก็แปลกแล้ว
“ท่านอ๋องได้โปรดขึ้นสู่ตำแหน่งราชัน!”
“ท่านอ๋องได้โปรดขึ้นสู่ตำแหน่งราชัน!”
คนอื่นที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ตะโกนตามเสียงดังเช่นกัน ยิ่งตะโกนก็ยิ่งรู้สึกฮึกเหิม สุดท้ายเสียงตะโกนก็เป็นเอกฉันท์ ร่วมกันตะโกนเสียงดังไม่หยุด
ท่ามกลางเสียงตะโกนที่ดังราวกับคลื่นโหมสาดซัดเช่นนี้ บอกไม่ถูกว่าอวิ๋นจือชิวมีสีหน้าดีใจหรือว่าอย่างไร วันนี้เหมือนจะกะทันหันเกินไปหน่อย เมื่อหนิวเอ้อร์ประกาศตนเป็นราชัน นางจะกลายเป็นอะไรก็ไม่ต้องพูดมากแล้ว
เถิงเฟยโบกมือสั่งให้กำลังพลที่ตะโกนอยู่ข้างหลังเงียบ แล้วกล่าวเหมือนฮึกเหิมว่า “ท่านอ๋อง ได้รับความไว้วางใจจากทุกคนแล้วนะ! เจตจำนงร่วมของฝูงชน จะทำหล่าพี่น้องที่ปรารถนาดีผิดหวังได้ยังไง!”
เหมียวอี้รู้สึกฮึกเหิมตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกาย มีฝูงชนสนับสนุนก็ยังดีกว่าให้เขาสิ้นเปลืองความคิดวางแผนช่วงชิงมาเอง จะได้ไม่ดูละโมบเกินไปจนน่าเกลียดด้วย สิ่งใดที่เรียกว่าเหมาะสมชอบธรรมล่ะ นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าเหมาะสมชอบธรรม! เขาเองก็ไม่ใช่คนที่อิดออดเหมือนผู้หญิง ตะโกนเสียงดังทันทีว่า “ได้ ยากจะปฏิเสธน้ำใจไมตรีอันเปี่ยมล้น ข้าไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังแน่นอน!”
พวกเฉิงไท่เจ๋อยืนเรียงแถวหน้ากระดานตรงหน้าแม่ทัพคนสำคัญทันที หลังจากจัดท่าทางเรียบร้อยแล้ว ก็กล่าวอย่างพร้อมเพียงว่า “คารวะฝ่าบาท!”
บรรดาแม่ทัพกล่าวทำความเคารพพร้อมกันทันที “คารวะฝ่าบาท!”
“คารวะฝ่าบาท!” ทหารทั้งกองทัพตะโกนเสียงดังเช่นกัน
ท่ามกลางเสียงสนับสนุนของทุกคน เหมียวอี้ที่ตื่นเต้นราวกับมีคลื่นโหมซัดในใจก็ไม่ลืมอีกคนที่ได้ร่วมเสพสุขเกียรติยศนี้กับเขา เขาหันกลับมา แล้วยื่นมือให้อวิ๋นจือชิวที่ไม่ค่อยเผยสีหน้าอึดอัดไม่เป็นธรรมชาติบ่อยนัก เขาคว้ามือเรียวสวย แล้วจูงมายืนข้างกายตัวเอง
หยางชิ่งแอบรู้สึกสะท้อนใจ ไม่ว่าจะมีเรื่องดีอะไรก็ไม่ลืมที่จะแบ่งปันกับผู้หญิงคนนี้จริงๆ ถ้าเปลี่ยนเป็นเวยเวยจะดีขนาดไหนกัน เขาทำความเคารพตามพวกเฉิงไท่เจ๋อด้วยความจนใจ “คำนับราชินีสวรรค์!”
“คำนับราชินีสวรรค์!” บรรดาแม่ทัพทำความเคารพตาม
“คำนับราชินีสวรรค์!” ทุกคนในกองทัพกล่าวเสียงดังอย่างพร้อมเพรียง
อวิ๋นจือชิวมองไปที่เหมียวอี้อย่างเก้อเขินเล็กน้อย ไม่น่าเชื่อว่าในดวงตาจะฉายแววเขินอาย เป็นเพราะกะทันหันเกินไปจริงๆ จู่ๆ ก็ได้สวมมงกุฎของสตรีที่เป็นใหญ่ในใต้หล้า ด้รับการคำนับจากทัพใหญ่นับพันล้าน นางไม่ได้เตรียมใจสักนิดเลยจริงๆ เป็นความรู้สึกที่ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึง
เป็นความรู้สึกที่อัศจรรย์เช่นกัน รู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น อยู่ดีๆ ก็ได้เป็นมารดาแห่งใต้หล้าแล้ว!
ในครั้งนี้ เหมียวอี้ทำให้นางตื่นเต้นประหลาดใจที่สุดจริงๆ!
โดยเฉพาะเมื่อเพิ่งอยู่ภายใต้สถานการณ์เมื่อครู่นี้ เหมียวอี้ก็ยังไม่ลืมที่จะดึงนางออกมาประกาศสถานะ ทั้งยังนึกถึงที่จะแบ่งปันเกียรติยศกับนางภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ ทำให้ในใจนางรู้สึกหวานชื่นที่เปรียบจริงๆ แม้จะได้รับความไม่เป็นธรรมมามากมาย แต่ตอนนี้ก็รู้สึกว่าคุ้มแล้ว
กลับเป็นเหมียวอี้ที่ใจกว้าง โบกมือตะโกนเสียงดังว่า “ยืนขึ้น!”
อวิ๋นจือชิวก็ไม่ใช่คนที่เก้อเขินยามเข้าสังคมเช่นกัน รีบจัดท่าทางให้สง่าผ่าเผย ในดวงตางามเป็นระลอกคลื่นเปล่งประกาย หลังจากสังเกตปฏิกิริยาของเหมียวอี้แล้ว ก็โบกมือพร้อมกับเหมียวอี้เพื่อให้ทุกคนยืนตัวตรงทันที…
ทำกลางทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล บนยอดเขาโดดเดี่ยวลูกหนึ่ง
“ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนของประมุขไป๋! ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ไม่มีความเคลื่อนไหวเลยสักนิด ยังนึกว่าเขาไร้ความสามารถที่จะเอาคืน นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายก็ยังกลับมา ทั้งยังกลับมาอย่างดุดันห้าวหาญขนาดนี้ ไม่รู้ว่าสองท่านนั้นจะคิดยังไง…” ก่วงลิ่งกงพลันเงยหน้าหัวเราะลั่น หัวเราะจนแทบน้ำตาไหล
แม่ทัพกลุ่มหนึ่งที่เดินไปเดินมาอยู่ไม่ไกลหันกลับมามองพร้อมกัน ไม่ค่อยเข้าใจที่เขาทำ
เสียงหัวเราะเบาลงทีละนิด ก่วงลิ่งกงถอนหายใจยังจนใจอีก ส่ายหน้าเบาๆ พร้อมบอกว่า “พวกเราจะไร้ความผิดได้ยังไง อิ๋งจิ่วกวง ฮ่าวเต๋อฟาง โค่วหลิงซวี ตอนนี้ก็เหลือแค่ข้าแล้ว…ถ้ารู้ว่าเป็นคนของประมุขไป๋ ถ้ารู้ว่าต้องยอมสวามิภักดิ์ต่อประมุขไป๋ ก็ไม่รู้ว่าโค่วหลิงซวียังจะโหดร้ายกับตัวเองอย่างนั้นอยู่หรือเปล่า ตาเฒ่าโค่วปล่อยวางตำแหน่งที่มีเกียรติไม่ได้! มีหรือที่จะยอมคุกเข่าสวามิภักดิ์ให้เจ้าเด็กรุ่นหลังนั่น!”
โกวเยว่ถอนหายใจเบาๆ เช่นกัน “ยังนึกว่าหนิวโหย่วเต๋อมีความสามารถมากขนาดไหนกันเชียว ที่แท้ทุกอย่างล้วนเป็นประมุขไป๋ผลักดันอยู่เบื้องหลัง ไม่แปลกใจ วิธีการพลิกเมฆคว่ำฝนที่ต่อเนื่องของหนิวโหย่วเต๋อคงมาจากประมุขไป๋ทั้งหมด!”
ก่วงลิ่งกงหยิบระฆังดาราที่สั่นไหวอันหนึ่งขึ้นมา แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เป็นประมุขชิง ในปีนั้นประมุขไป๋พูดทิ้งท้ายเอาไว้ บอกว่าจะกลับมาคิดบัญชีกับเขา ตอนนี้กลับมาแล้วจริงๆ คาดว่าเขาเองก็คงกลัวแล้ว!” พูดจบก็เขย่าระฆังดาราติดต่อกัน
ผ่านไปครู่เดียว พอเขาวางระฆังดาราลงแล้ว โกวเยว่ก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้างขอรับ?”
ก่วงลิ่งกงแสยะยิ้ม “เรื่องยอมสวามิภักดิ์นั้นไม่ต้องพูดถึงแล้ว เขาต้องการให้ข้าร่วมมือกับเขา สัญญาว่าหลังจากกำจัดหนิวโหย่วเต๋อแล้ว เขา ข้าและประมุขพุทธะก็จะแบ่งใต้หล้ากันสามส่วน!”
“กลัวก็แต่ว่าพอกำจัดหนิวโหย่วเต๋อแล้ว เขาก็จะลงมือกับท่านอ๋องทันที” โกวเยว่กล่าว
ก่วงลิ่งกงบอกว่า “ดังนั้นข้าถึงได้บอกไง ได้ยินว่าจ้านหรูอี้ตั้งครรภ์แล้ว จะร่วมมือกับข้าก็ได้ แต่ต้องส่งจ้านหรูอี้มาเป็นตัวประกันในมือข้าก่อน”
“ตอบตกลงแล้ว?” โกวเยว่ถาม
“เขาถามข้าว่าอยากตายเหรอ! จนป่านนี้แล้วก็ยังปกป้องผู้หญิงคนนั้น มองออกเลยว่าประมุขชิงชอบนางจริงๆ!” ก่วงลิ่งกงกล่าว
“ราชันสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผย กลายเป็นแบบนี้ไปได้เพราะผู้หญิงคนเดียว พวกเดียวกันมักคบกันจริงๆ ต่างอะไรกับประมุขไป๋” โกวเยว่ส่ายหน้า หยิบระฆังดาราออกมาแล้วเช่นกัน ไม่รู้ว่าติดต่ออยู่กับใคร เขาเงยหน้ามองก่วงลิ่งกงอย่างตะลึงงัน
“เป็นอะไรไป?” ก่วงลิ่งกงถาม
โกวเยว่ตอบอย่างตกตะลึงเล็กน้อย “หนิวโหย่วเต๋อประกาศตนเป็นราชันแล้ว!”
“ประกาศตนเป็นราชัน?” ก่วงลิ่งกงอึ้งทันที กล้ามเนื้อบนใบหน้าเริ่มเป็นตะคริว “อวดดีบ้าระห่ำ!”
โกวเยว่กลับแปลกใจ “ถ้าเขาเป็นคนของประมุขไป๋ แล้วเขาประกาศตนเป็นราชัน เช่นนั้นประมุขไป๋นับเป็นอะไรล่ะ?”
ก่วงลิ่งกงขมวดคิ้ว รู้สึกแปลกใจเช่นกัน พอระฆังดาราในมือขยับ เขาก็มองโกวเยว่แวบหนึ่ง แล้วถือระฆังดาราขึ้นมา หลังจากติดต่อเสร็จแล้วก็ทำหน้านิ่งตึง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “ไอ้หนิวจัญไรน่ารังเกียจ! ขนาดประมุขชิงยังบอกแค่ว่าต้องการร่วมมือกับข้า แต่เขากลับประกาศออกมาว่าต้องการให้ข้ายอมสวามิภักดิ์ ไม่อย่างนั้นจะกวาดล้างทัพตะวันตกของข้า!”
โมโหก็ส่วนโมโห หลังจากโมโหเสร็จแล้วก็ทำสีหน้าจนใจ เอามือไขว้หลังมองไปยังทะเลหมอกกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ถ้าโค่วหลิงซวียังอยู่ ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือกันต่อต้าน แต่ตอนนี้กลับไม่มีความหวังแล้ว ไม่ว่าเขาจะไปเข้าข้างฝ่ายไหน ก็ล้วนเลี่ยงไม่ได้ที่จะโดนกลืน ถ้าจะเอาจ้านหรูอี้มาเป็นตัวประกันก็เป็นเรื่องโกหก เพราะถ้าประมุขชิงตัดใจทิ้งจ้านหรูอี้ได้จริงๆ ยังจะแยแสความเป็นความตายของจ้านหรูอี้อยู่อีกหรือ? เขาก็แค่หาข้ออ้างมาปฏิเสธเท่านั้นเอง
หนิวโหย่วเต๋อกำจัดโค่วหลิงซวีแล้ว เท่ากับตัดทางถอยทางอื่นๆ ของเขาแล้ว
“ไม่มีทางถอยแล้ว ได้แต่หวังว่าพวกเขาสองฝ่ายจะสู้กันเอาเป็นเอาตาย รอให้กำลังของพวกเขาลดลงเยอะแล้ว ใต้หล้านี้จะได้มีที่ยืนให้พวกเรา!” ก่วงลิ่งกงถอนหายใจ สั่งอีกว่า “ออกคำสั่งระดมพล ให้หนีเข้าไปในอาณาเขตดาวนิรนาม ปล่อยให้พื้นที่ว่าง ให้พวกเขาสู้กันให้รู้ดำรู้แดงไปเลยเถอะ!”
โกวเยว่พยักหน้า แล้วหันตัวไปสั่งแม่ทัพเหล่านั้น…
“ก่วงลิ่งกงว่ายังไงบ้าง?”
ในรถมังกร เมื่อเห็นประมุขชิงวางระฆังดาราแล้ว ประมุขพุทธะก็เอ่ยถาม
ประมุขชิงทำหน้านิ่ง ไม่ได้เอ่ยเรื่องที่ก่วงลิ่งกงต้องการจะขอจ้านหรูอี้ไปเป็นตัวประกัน ถ้าพูดออกมาจะต้องถูกประมุขพุทธะพูดฉีกหน้าว่ากลายเป็นแบบนี้เพราะผู้หญิงคนเดียว ถ้าเป็นคนอื่นเขาก็ยังด่ากลับไปได้ แต่ถ้าประมุขพุทธะตำหนิเขา เกรงว่าเขาก็คงต้องอดทนไว้ “เห็นได้ชัดว่าเขาอยากเห็นข้ากับหนิวโหย่วเต๋อสู้กันให้เจ็บหนักทั้งสองฝ่าย จะได้ออกมาชุบมือเปิบได้สะดวก เขาไม่ตอบตกลง”
ประมุขพุทธะขยับดึงลูกประคำในมือ กล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ฝันกลางวันไปเถอะ ต่อให้กำลังพลตายหมดแล้ว อาตมาก็สามารถเด็ดหัวก่วงลิ่งกงทำกลางหมื่นทัพได้!”
“ท่านอาจารย์ หนิวโหย่วเต๋อประกาศตนเป็นราชันแล้ว…” จู่ๆ ลูกศิษย์ที่อยู่ข้างกายก็รายงานข่าว
“โจรกบฎ!”
ในรถมังกรมีเสียงคำรามเกรี้ยวกราดดังลั่น หลังจากได้ยินข่าวแล้ว ประมุขชิงก็เดือดดาลสุดขีด ข่าวนี้ทำให้เขาไม่มีทางยอมรับได้
พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท