ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 516 เข้าไปในถ้ำ

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 516 เข้าไปในถ้ำ

บทที่ 516 เข้าไปในถ้ำ

กู้เสี่ยวหวานมีอาการไข้ขึ้นสูง วินาทีที่เปลือกปิดตาลงพลันเห็นงูตัวนั้นเลื้อยวนเวียนอยู่รอบร่างกาย นับตั้งแต่นั้นมา ความรู้สึกหวาดกลัวต่อสัตว์เลื้อยคลานเหล่านี้ของกู้เสี่ยวหวานทะยานขึ้นสูง

“อย่าได้หวาดกลัว มีข้าอยู่กับเจ้า อย่าได้กลัวไปเลย” ฉินเย่จือโอบกอดกู้เสี่ยวหวานพลางเอ่ยกระซิบแผ่วเบา

ดวงตาของกู้เสี่ยวหวานแดงก่ำ หยาดน้ำตาหลั่งรินอาบแก้มนวล เพียงแค่ว่าน้ำตาเมื่อครู่คือหยาดน้ำตาแห่งความหวาดกลัว แต่ตอนนี้คือน้ำตาแห่งความโล่งใจ

แผ่นหลังตึงเกร็งยามพบเจองูตัวนั้นค่อย ๆ ผ่อนคลายลง

ฉินเย่จือโอบกู้เสี่ยวหวานเพื่อพานางเดินผ่านงูตัวนั้นไป เพียงแต่ว่าเท้าของนางหนักอึ้งจนก้าวขาไม่ออก ยืนลังเลอยู่ที่เดิมปล่อยให้ห่าฝนตกกระทบร่างกายที่สั่นเทา

กู้เสี่ยวหวานกอดเอวสอบของฉินเย่จือแน่น ซุกหน้าลงบนอกแกร่ง ไหล่บอบบางสั่นสะท้าน ขาทั้งสองข้างไม่แม้แต่จะขยับได้

ฉินเย่จือโอบกอดกู้เสี่ยวหวานอย่างอ่อนโยนด้วยหัวใจที่เจ็บปวด เขารู้ว่านางกลัวงู หลังจากนั้นเขาจึงตัดสินใจแบกกู้เสี่ยวหวานขึ้นหลัง

“เสี่ยวหวาน อย่ากลัวเลย หากมีข้าอยู่ ไม่ว่าตรงหน้าจะมีภยันตรายใด ๆ เจ้าจงอย่าได้หวาดกลัว ข้าจะปกป้องเจ้าเอง!” ฉินเย่จือแบกกู้เสี่ยวหวานไว้บนหลัง ถ้อยคำที่พูดกับนางล้วนหนักแน่น

ฉินเย่จือแบกกู้เสี่ยวหวานข้ามผ่านงูที่ไม่ขยันเขยื้อนตัวนั้นมุ่งหน้าไปทางปากถ้ำ

กู้เสี่ยวหวานซบอยู่บนแผ่นหลังกว้างของฉินเย่จือ

ถ้อยคำของฉินเย่จือเมื่อครู่ราวกับแสงแดดอบอุ่นในวสันตฤดูที่ปลอบประโลมหัวใจอันหนาวเหน็บของนาง

ราวกับยามบ่ายอันแสนเลวร้ายถูกปลอบประโลม

มิใช่ว่านางไม่มีคนเป็นห่วง มิใช่ว่าไม่มีคนดูแล มิใช่ว่าไม่มีคนปกป้อง

ไร้พ่อขาดแม่ก็ยังมีคนที่พร้อมจะยืนมองนางจะด้านหลัง ปกป้องนางจากสายลมและหยาดฝน เพื่อช่วยสร้างฝันให้นาง

กู้เสี่ยวหวานลูบใบหน้าตนเองหนักหน่วง ไม่รู้ว่าหยาดน้ำบนใบหน้าคือน้ำตาหรือน้ำฝน แม้ว่าดวงตาจะแดงก่ำ ทว่าเต็มไปด้วยความแน่วแน่ สายตามองไปยังถ้ำด้านหน้าราวกับส่องแสงสว่างให้ตน

ไม่ง่ายเลยที่จะฝ่าสายฝนออกจากป่าหนาทึบ ในที่สุดฉินเย่จือก็แบกกู้เสี่ยวหวานมาถึงที่หมาย สถานที่แห่งนี้อากาศถ่ายเทและสามารถกำบังสายฝนได้ แต่ยังมีลมพัดผ่าน จึงไม่มีทางที่จะก่อไฟเพื่อทำให้เสื้อผ้าแห้งได้

ฉินเย่จือสำรวจรอบตีนเขาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอันตรายใด ๆ ดังนั้นจึงมองหาหินก้อนใหญ่ตรงที่สายฝนสาดไม่ถึง และวางกู้เสี่ยวหวานลง

กู้เสี่ยวหวานเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่จือ

กู้เสี่ยวหวานเปียกโชกไปทั้งตัว หยดน้ำหยดซึมลงจากศีรษะไม่หยุด ผมเผ้าแผ่สยายปกคลุมด้านหลังศีรษะ ผ้าสบายราวกับผ้าแพรสีดำ

ฉินเย่จือมองใบหน้าที่ขาวผ่องสดใสของกู้เสี่ยวหวานอย่างปวดใจ ครั้นถูกสายฝนมันกลับขาวซีดไร้เลือดฝาด ดวงตาแดงก่ำเล็กน้อยเพราะเพิ่งร้องไห้ หางตายังคงเปียกชื้น นางช่างน่าสงสารราวกับแมวตัวน้อย กว่าจะหาสถานที่หลบลมหลบฝนได้นั้นไม่ง่ายดาย แววตาโศกเศร้าของเขาทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกหายใจไม่ออก

ฉินเย่จือเอื้อมมือออกไปอย่างอดไม่ได้ เช็ดหยาดฝนบนใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานอย่างอ่อนโยน ขนตางอนยาวเปียกชุ่ม ไม่รู้คือน้ำตาหรือน้ำฝน หยาดน้ำกำลังหยดลงมา ริมฝีปากแดงอวบอิ่มซีดลงเนื่องจากความหนาวเย็น

ไร้เดียงสาและงดงาม ท่าทางอ่อนแอทำให้ผู้อื่นรู้สึกสงสาร

ฉินเย่จือก้มหน้าพันวัล พยายามหักห้ามอาการสั่นไหวในอก และหอบหายใจถี่

กู้เสี่ยวหวานไม่ได้คิดมากนัก เพียงแค่คิดเมื่อครู่ว่าฉินเย่จือแบกตนเองมานานจึงรู้สึกเหนื่อย จึงรีบจับมือเขาเอาไว้ และออกแรงดึกเล็กน้อย “พี่ใหญ่ฉิน ตรงเจ้ายังโดนฝนอยู่ ขยับเข้ามาหน่อยเถอะ!”

ครั้นฉินเย่จือได้ยินประโยคนี้ก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ กล่าวเคล้ารอยยิ้ม “ตรงนี้ยังมีลม เช่นนั้นจึงก่อไฟไม่ได้ และตากเสื้อให้ได้แห้งไม่ได้”

ทันใดนั้น ฉินเย่จือก็มองเข้าไปข้างในราวกับเขาได้ค้นพบกับแผ่นดินผืนใหม่ และพูดอย่างมีความสุข “เสี่ยวหวานดูเหมือนว่าข้างในจะเป็นถ้ำ”

ด้านในถ้ำไม่มีสายลมพัดผ่าน การก่อไฟจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

มิอาจทราบได้ว่าฝนจะตกหนักอีกเท่าใด แต่ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ตอนนี้ริมฝีปากของกู้เสี่ยวหวานก็ซีดเผือด นางคงจะหนาวยิ่งนัก ฉินเย่จือคิดจะจุดไฟโดยเร็วที่สุดเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กู้เสี่ยวหวาน

แล้วไฟอยู่ที่ใดกันเล่า?

ร่างกายสกปรกมอมแมม แม้ว่าจะมีตะบันไฟอยู่ก็เกรงว่าจะเปียกหมดแล้ว

ฉินเย่จือไม่คิดสิ่งใดทั้งสิ้น ดึงมือของกู้เสี่ยวหวานมากอบกุม มือเล็กอ่อนนุ่มถูกกุมไว้ในฝ่ามือของเขาอย่างเงียบ ๆ

ครั้งนี้อาจจะเป็นการกระทำที่น่าอาย หากแต่ก็เป็นครั้งที่มีความสุขครั้งหนึ่ง

ฝ่ามือของกู้เสี่ยวหวานถูกกุมอยู่ในฝ่ามือของฉินเย่จือ อุณหภูมิจากมืออีกฝ่ายทำให้ร่างทั้งร่างอุ่นวาบขึ้นมาเล็กน้อย

ฉินเย่จือดึงกู้เสี่ยวหวานเข้ามาใกล้ตน และเดินเข้าไปในถ้ำอย่างระมัดระวัง

ยิ่งเดินเข้าไปข้างในมากเท่าใด สายลมก็ยิ่งน้อยลง แม้ว่าจะมองไม่เห็นแม้แต่นิ้วมือ แต่ก็ยังบอกได้ด้วยประสาทสัมผัสว่าที่นี่คือถ้ำอย่างแน่นอน เหมาะสำหรับกำบังลมและฝน

เมื่อเดินเข้ามาถึงในถ้ำ ทัศนวิสัยลดลงจนแทบจะมองไม่เห็นสิ่งของตรงหน้า ฉินเย่จือกุมมือกู้เสี่ยวหวานไว้ตลอด ไม่ปล่อยแม้แต่วินาทีเดียว ฉินเย่จือหยิบกริชออกมา ขูดลงไปบนหินด้านข้างอย่างแรง

อาภรณ์บนร่างกายทั้งสองเปียกชุ่ม การใช้เสื้อผ้าในการจุดไฟย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน จึงทำได้แค่มองหาใบไม้ที่ติดไฟได้ง่าย

ฉินเย่จือมองหาอยู่สักพักและก็ได้มันมากองหนึ่ง

ฉินเย่จือใช้กริชขูดหินอย่างแรงทำให้เกิดประกายไฟ หลังจากวุ่นวายอยู่ครู่หนึ่งก็จุดไฟบนกองใบไม้แห้ง

ตอนแรกยังเป็นเพียงกองไฟเล็ก ๆ แต่ท้ายที่สุดฉินเย่จือจึงเพิ่มใบไม้แห้งที่ง่ายต่อการเผาไหม้ กองไฟก็ลุกโชนขึ้น

กู้เสี่ยวหวานเอนพิงร่างกายของฉินเย่จือ มองกองไฟตรงหน้านางอย่างมีความสุข

เปลวไฟแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดกองไฟนั้นก็แผดเผาโชติช่วง

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เคราะห์ซ้ำกรรมซ้อนจริง ๆ เลยนะทั้งสองคน

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

Status: Ongoing
กู้เสี่ยวหวานเป็นสาวนักวิจัยด้านการเกษตรวัยเฉียดสามสิบผู้เพียบพร้อม​ในทุกด้าน​ เว้นแต่ด้านความรักที่ยังไม่มาทักทาย​ จนพ่อแม่กลุ้มใจและจัดนัดบอดให้หลายหน และความซวยก็มาเยือนในนัดบอดครั้งนี้​ หลังได้รับโทรศัพท์​จากหัวหน้าทีมวิจัยว่าการทดลองล้มเหลว​ ทำให้เธอต้องรีบทำการทดลองก่อนเวลานัดบอด​ จนประสบอุบัติเหตุ​โทรศัพท์​มือถือระเบิดกลางห้องแลบและพาตัวเธอทะลุมิติ​มาเกิดใหม่ในร่างสาวน้อยสมัยราชวงศ์ชิงผู้แบกภาระเลี้ยงดูน้องๆ​ ท่ามกลางครอบครัวที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น​

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท