บทที่ 527 ล้วนเป็นความผิดของเขา
บทที่ 527 ล้วนเป็นความผิดของเขา
เมื่อหมอหม่าเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานขอบคุณเขาเสียยกใหญ่ เขาจึงกล่าวว่า “อะไรกัน เราเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันทั้งนั้น ช่วงนี้รายได้ของครอบครัวเราเพิ่มขึ้นอย่างมาก และทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเจ้า เสี่ยวหวาน ข้ารู้สึกขอบคุณเจ้าตอนสายเกินไป! นอกจากนี้ ข้าก็เป็นหมอ แม้ว่า…ทักษะทางการแพทย์จะไม่ค่อยดีนัก แต่การรักษาบาดแผลที่โดนสัตว์ร้ายกัดก็ไม่ใช่ปัญหา!” ราวกับว่านึกถึงครั้งสุดท้ายที่เขามารักษาบาดแผลให้ฉินเย่จือ หมอหม่าก็ประหม่าทันที
ครั้งที่แล้ว เป็นเพราะทักษะทางการแพทย์ที่ย่ำแย่ของเขา เขาจึงไม่สามารถช่วยชายหนุ่มผู้นี้ได้ คราวนี้เขาได้กู้เอาศักดิ์ศรีคืนมาสักที คราวหน้าไม่ว่าจะอย่างไร ตนเองก็สามารถบอกได้เลยว่าเคยช่วยชีวิตคนผู้นี้มาแล้วครั้งหนึ่ง
“ตกลง ท่านหมอหม่า เช่นนั้นท่านหมอหม่าก็จ่ายยามาเถอะ!” กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างรวดเร็ว
“เอาล่ะ หลังจากที่เจ้าต้มยาแล้วก็ให้เขาดื่มยานี้โดยเร็วที่สุด และใส่ใจกับอาหารของเขาในวันทุก ๆ วัน อย่าให้เขากินอาหารรสจัด ไม่เช่นนั้นบาดแผลของเขาจะแย่ลง! นอกจากนี้ อย่าโดนน้ำเด็ดขาด อย่าโดนน้ำจนกว่าแผลจะหาย”
หมอหม่าย้ำเตือน
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า นางรู้ข้อห้ามทั้งหมดนี้อยู่แล้ว!
หลังจากที่หมอหม่าสั่งยาให้กู้เสี่ยวหวาน นางก็นำยาไปให้ป้าจางต้ม และให้เงินหมอหม่าก่อนที่จะส่งเขาออกไป
เมื่อหมอหม่าจากไป กู้หนิงผิงและกู้เสี่ยวอี้ต่างก็เข้ามาในห้องและเห็นฉินเย่จือนอนเงียบ ๆ อยู่บนเตียง
ในวันธรรมดา บ้านจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุข เมื่อพี่ใหญ่ฉินอยู่บ้าน เขาไม่เพียงเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้ฟัง เขายังสอนให้อ่านสอนให้เขียน และยังสอนให้กู้หนิงผิงฝึกศิลปะการต่อสู้และวิธีการรักษาร่างกาย
แต่ตอนนี้ฉินเย่จือกำลังนอนเงียบ ๆ อยู่บนเตียงโดยหลับตาสนิท
ดวงตาที่ราวกับดวงดาวในวันธรรมดานั้น ตอนนี้กลับมองไม่เห็น
เสียงอ่อนโยนราวกับน้ำในวันธรรมดานั้น แม้แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้ยิน
กู้หนิงผิงเสียใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฉินเย่จือที่เป็นอาจารย์ของเขา และสอนศิลปะการต่อสู้ให้เขาตลอดทั้งวัน แต่ตอนนี้เนื่องจากความตะกละของเขา อาจารย์ของเขาจึงกลายเป็นเช่นนี้
โชคดีที่ชีวิตของอาจารย์ไม่ตกอยู่ในอันตราย ถ้าอาจารย์โชคร้ายจริง ๆ ล่ะก็…
กู้หนิงผิงไม่กล้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย หากมันเป็นเช่นนั้นจริง เขาคงเกลียดตัวเองจนอยากจะฆ่าตัวตายจริง ๆ!
กู้หนิงผิงยืนอยู่ข้างเตียงของฉินเย่จือ และมองไปที่ฉินเย่จืออย่างกังวล
เขาไม่ได้กะพริบตา เพราะกลัวว่าเขาจะพลาดเวลาที่ฉินเย่จือจะตื่นขึ้น
เขาไม่กล้าพูดอะไร แม้จะอยากร้องไห้แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียง เพราะเขากลัวว่าจะเป็นการรบกวนการพักผ่อนของอาจารย์
กู้เสี่ยวหวานยืนอยู่ด้านข้างด้วยความงุนงง มองที่ฉินเย่จือที่ยังคงหลับตาอยู่ แม้ว่าหมอหม่าจะบอกว่าตอนนี้ฉินเย่จือพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่หากฉินเย่จือยังไม่ฟื้นขึ้นมา นางก็ไม่สบายใจเช่นกัน
กู้เสี่ยวอี้โอบกอดแขนของกู้เสี่ยวหวานแล้วกระตุกเบา ๆ เมื่อนางอยู่ข้างนอก กู้เสี่ยวอี้ร้องไห้เป็นเวลานานจนป้าจางกล่าวว่าหมอหม่าหวาดกลัวเสียงร้องไห้ของตนและจะไปรบกวนฉินเย่จือได้ ครั้นเห็นผู้เป็นพี่สบายใจแล้ว ตนเองก็หยุดร้องไห้
เมื่อป้าจางเข้ามาพร้อมกับยา นางก็เห็นกู้หนิงผิงนอนอยู่ข้างเตียง และกู้เสี่ยวหวานกอดกู้เสี่ยวอี้และเฝ้าดูจากด้านข้างอย่างเงียบ ๆ
เมื่อเห็นป้าจางเข้ามา กู้เสี่ยวหวานก็รีบรับยาจากมือของป้าจางมา “ท่านป้าจาง รบกวนท่านแล้ว!”
“เด็กโง่ ยานี้เมื่อครู่ข้าปล่อยให้มันเย็นลง เจ้าลองวัดอุณหภูมิดูและรีบป้อนให้เสี่ยวฉินโดยเร็วที่สุด!” ป้าจางกล่าว
ป้าจางก็ได้ยินสิ่งที่หมอหม่าพูดเช่นกัน ตราบใดที่เขาดื่มยานี้ ในวันนี้ฉินเย่จือก็จะไม่เป็นอะไร!
แม้ว่าป้าจางจะมองไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของฉินเย่จือเป็นอย่างไร แต่จากความกังวลในดวงตาของกู้เสี่ยวหวาน จะเห็นได้ว่าอาการบาดเจ็บของฉินเย่จือนั้นคงไม่เบาเลย
กู้เสี่ยวหวานไม่กล้าแตะต้องฉินเย่จือ เพราะกลัวว่าจะโดนบาดแผลบนร่างกายของเขา ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงนำผ้าห่มอีกผืนมาวางไว้ใต้ศีรษะของฉินเย่จือ
กู้เสี่ยวหวานยังนำตะกร้าผลไม้แช่อิ่มจากโต๊ะมาวางไว้ข้าง ๆ ตั้งใจว่าจะให้เขากิน หลังจากกินยาเสร็จแล้ว
กู้หนิงผิงไปนั่งที่อื่น กู้เสี่ยวหวานนั่งลงข้างเตียงและก่อนจะเริ่มป้อนยา นางกระซิบกับฉินเย่จือ “พี่ใหญ่ฉิน ข้ามากำลังจะป้อนยาให้เจ้า แม้ว่ายาจะขมมาก แต่หลังจากกินยานี้ เจ้าจะดีขึ้นในเวลาไม่นาน ไม่ต้องกลัวว่าจะขม ข้าเตรียมผลไม้แช่อิ่มไว้แล้ว และเมื่อเจ้ากินยาเสร็จ ข้าจะป้อนผลไม้แช่อิ่มให้เจ้า!” คำพูดของกู้เสี่ยวหวานนุ่มนวลและอ่อนโยนราวกับกำลังเกลี้ยกล่อมให้เด็กกินยา
หลังจากพูดคำเหล่านี้แล้ว กู้เสี่ยวหวานก็ตักยาหนึ่งช้อนขึ้นมา ทดสอบอุณหภูมิบนปากของนาง เมื่อรู้สึกว่าอุณหูมิได้ที่แล้ว นางจึงป้อนยาเข้าปากของฉินเย่จือ
ป้าจางเห็นทั้งหมด บางทีฉินเย่จืออาจจะได้ยินคำพูดของกู้เสี่ยวหวานเมื่อครู่ เมื่อเขารู้สึกถึงอะไรบางอย่างในปาก ฉินเย่จือก็เผยอปากและยาก็ไหลเข้ามาตามธรรมชาติ
ดูเหมือนว่าแม้ว่าฉินเย่จือจะยังไม่ตื่นขึ้นมา แต่เขาก็ยังได้ยินคำพูดของกู้เสี่ยวหวานและปฏิบัติตามคำพูดของนาง ถ้าเช่นนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่อะไร ป้าจางจึงวางใจลงมาก
หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานป้อนยาเสร็จแล้ว นางก็วางชามลงและหยิบผลไม้แช่อิ่มชิ้นหนึ่งจากตะกร้าที่อยู่ด้านข้างทันที ใส่เข้าไปในปากของนางแล้วกัดมัน ผลไม้แช่อิ่มที่เหลืออยู่ขนาดเท่าหัวแม่มือก็ถูกใส่เข้าไปในปากของฉินเย่จือ
คิ้วของฉินเย่จือยังคงขมวดแน่นอยู่ในขณะนี้ แต่คราวนี้เมื่อเขาได้ลิ้มรสความหวานในปากของเขา คิ้วของเขาก็คลายออกทันที
กู้เสี่ยวหวานถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก และในที่สุดก็เผยรอยยิ้มแรกนับตั้งแต่ก้าวเข้าประตูมา
แม้ว่ามันจะน้อยมาก แต่กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกโล่งใจในที่สุด
ตราบใดที่ดื่มยา เขาก็จะไม่เป็นอะไร
เมื่อเห็นว่าฉินเย่จือกินยาแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็โล่งใจ ป้าจางเต็มไปด้วยคำพูดและในที่สุดนางก็เอ่ยถาม “เสี่ยวหวาน เจ้าสองคนได้พบกับหมาป่าหรือ? เขาได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ได้อย่างไร!”
“ป้าจาง ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่ฉิน เกรงว่าวันนี้คงเป็นข้าที่นอนอยู่ตรงนี้…” กู้เสี่ยวหวานตอบพลางขมวดคิ้ว “ไม่ใช่สิ ควรจะพูดว่าคนที่เข้าไปในท้องของหมาป่าคือข้า!”
“ว่าอย่างไรนะ?” ป้าจางที่อยู่ด้านข้างอุทาน “สถานการณ์ของเจ้าสองคนจะเป็นอันตรายเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“เราเจอหมาป่าหกตัว!” กู้เสี่ยวหวานตอบอย่างอ่อนโยนราวกับว่ากำลังพูดอะไรที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง