บทที่ 556 หุงข้าวดิบจนสุก
บทที่ 556 หุงข้าวดิบจนสุก
กู้เสี่ยวหวานก็มองเช่นกัน และนางก็ไม่เห็นฉินเย่จือ นางจึงสงสัยว่าเขาไปเที่ยวอีกหรือเปล่า นางจึงพูดกับหลี่ฝานว่า “ท่านลุงหลี่ ข้าขอตัวก่อน!”
“เจ้าไม่มีเกวียน เจ้าจะไปที่นั่นได้อย่างไร?”
“มีสิ เกรงว่าจะรอข้าอยู่ในร้านขายผ้าข้างหน้า” กู้เสี่ยวหวานกล่าวด้วยรอยยิ้ม เสื้อผ้าของฉินเย่จือที่ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในครั้งล่าสุด วันนี้เมื่อมีโอกาสจะทำเสื้อผ้าให้เขาใหม่
เมื่อหลี่ฝานได้ยินเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยและพูดว่า “เอาล่ะ ระวังตัวด้วย!”
กู้เสี่ยวหวานตอบรับ จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป
หลี่ฝานยังคงมองไปรอบ ๆ ราวกับว่าเขากำลังมองหาอะไรบางอย่าง แต่หลังจากที่มองหาเป็นเวลานาน เขาก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ ดังนั้นเขาจึงกลับไปที่ร้านอาหารอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากที่ร่างของหลี่ฝานกลับเข้าไปในร้านจิ่นฝู ในที่ไม่ไกลนักก็มีร่างหนึ่งออกมาจากตรอก ถือบังเหียนไว้ในมือ มองไปที่ร้านจิ่นฝูด้วยสายตาเป็นประกาย แล้วรีบขับเกวียนวัวผ่านประตูของร้านจิ่นฝูไป
“เสี่ยวหวาน…” ฉินเย่จือร้องเรียกเมื่อเห็นบุคคลที่คุ้นเคยอยู่ข้างหน้าเขา
กู้เสี่ยวหวานหันศีรษะมาและเห็นฉินเย่จือขับเกวียนวัวอยู่ด้านหลัง นางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “หือ? เมื่อครู่ทำไมข้าไม่เห็นเจ้ากันล่ะ? ข้าเลยคิดว่าเจ้าไปที่ร้านของพี่ฝูแล้วเสียอีก!”
“โอ้ เมื่อครู่ข้าเผลอหลับไป เมื่อข้าไปถามที่ร้านจิ่นฝู พวกเขาจึงบอกว่าเจ้าไปที่ร้านขายผ้าจี๋เสียงแล้ว” ฉินเย่จือกล่าวด้วยรอยยิ้ม ลงจากเกวียนวัวและช่วยกู้เสี่ยวหวานขึ้นเกวียน
“พอดีเลย ไปร้านขายผ้าจี๋เสียงกันเถอะ เสื้อผ้าของเจ้าที่ขาดเมื่อครั้งที่แล้ว ดังนั้นจึงต้องไปทำใหม่!” กู้เสี่ยวหวานกล่าว
ฉินเย่จือตอบรับเบา ๆ และขับรถเกวียนไปยังร้านขายผ้าจี๋เสียง
นางสั่งทำเสื้อผ้าใหม่ให้ฉินเย่จือ และทั้งสองก็มุ่งหน้ากลับหมู่บ้าน
ระหว่างทางกลับ กู้เสี่ยวหวานอธิบายอย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นที่ร้านจิ่นฝูในวันนี้บ้าง
เมื่อฉินเย่จือได้ยินดังนั้น คิ้วของเขาก็ย่น “กุ้ยตงเหมยข่มขู่แล้ววิ่งหนีไปหรือ?”
กู้เสี่ยวหวานตอบรับด้วยความเสียใจในคำพูดของนาง “ใช่แล้ว นางหนีไปอีกแล้ว ใครจะไปรู้ว่าคราวนี้นางจะไปที่ไหน?”
เด็กสาวที่อยู่นอกบ้านคงไม่ปลอดภัย!
“ข้าคิดว่า ครั้งนี้นางอาจจะต้องกลับไปหาถูหมิ่นอีกครั้ง” ฉินเย่จือให้เหตุผล “ครั้งที่แล้วนางก็อยู่กับถูหมิ่น และครั้งนี้หลังจากตัดขาดกับครอบครัวของนางแล้ว นางจะกลับไปหาถูหมิ่นอีกแน่นอน!”
กู้เสี่ยวหวานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและรู้สึกเหมือนเขาเช่นกัน “ใช่! ทำไมข้าถึงคิดไม่ออกล่ะ! อย่างไรก็ตาม ถ้ากุ้ยตงเหมยไปหาถูหมิ่นในครั้งนี้ เกรงว่าครอบครัวกุ้ยจะเกิดเรื่องขึ้นอีกครั้ง”
กู้เสี่ยวหวานคิดถูก หลังจากที่กุ้ยตงเหมยไปพบถูหมิ่น นางร้องไห้และบอกถูหมิ่นเกี่ยวกับเรื่องในร้านจิ่นฝู
เมื่อมองดูท่าทางเสียใจของกุ้ยตงเหมย ถูหมิ่นแสร้งทำเป็นปลอบโยน แต่เขาก็แอบดีใจอย่างลับ ๆ เมื่อรู้ว่าโอกาสที่จะแก้แค้นของเขามาถึงแล้ว
ดังนั้นเขาจึงพูดเรื่องเกี่ยวกับครั้งสุดท้ายที่กุ้ยซื่อและกุ้ยสวิ้นเหอตำหนิเขาอย่างขมขื่น แต่เรื่องนี้เมื่อมาจากปากของถูหมิ่น เรื่องมันเปลี่ยนไป
ถูหมิ่นรักกุ้ยชุนเจียวอย่างสุดหัวใจ แต่กุ้ยสวิ้นเหอและกุ้ยซื่อไม่ชอบคนจนและรักคนรวย พวกเขาจึงแยกเป็ดยวนยางคู่นี้ออกจากกัน และยังคงทำร้ายเขาด้วยคำพูดแย่ ๆ หลังจากกุ้ยชุนเจียวรู้ว่าคนที่นางช่วยไว้คือลูกของหลี่ฝาน นางต้องการปีนขึ้นไปบนกิ่งไม้สูงและกลายเป็นหงส์ นางจึงละทิ้งคำสาบานกับถูหมิ่นและใจจดใจจ่อที่จะแสวงหาความมั่งคั่ง
หลังจากได้ยินเช่นนี้ กุ้ยตงเหมยก็ตระหนักว่านางได้กลายเป็นตัวหมากสำหรับคู่สามีภรรยากุ้ย และกลายเป็นหินปูทางเดินของกุ้ยชุนเจียว พวกเขาต้องการให้กุ้ยชุนเจียวแต่งงานเข้าครอบครัวหลี่ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าหลี่ฝานกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงใช้กุ้ยตงเหมยขึ้นมาเพื่อต่อสู้ในแนวหน้า
ถ้ากุ้ยตงเหมยประสบความสำเร็จ กุ้ยซื่อก็จะชนะหลี่ฝาน ไม่เพียงแต่หลี่ฝานจะเป็นลูกเขยของนางเท่านั้น แต่ลูกสาวของนางก็เป็นผู้มีพระคุณของหลี่ฝานด้วย มีหลายสถานะ เช่นนั้นหลี่ฝานก็ต้องเชื่อฟังไม่ใช่หรือ?
คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือกุ้ยชุนเจียว จากนี้ไปนางสามารถใช้หลี่ฝานเพื่อสามารถเพลิดเพลินไปกับความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งทั้งหมด บางทีนางอาจจะพบคนรักในอนาคต ไม่ต้องเป็นเหมือนตนเองที่ต้องแต่งงานกับผู้ชายแก่คราวพ่อ!
ถ้ากุ้ยตงเหมยล้มเหลว กุ้ยซื่อก็ไม่แพ้ สิ่งที่กุ้ยตงเหมยทำมันไม่เกี่ยวอะไรกับกุ้ยชุนเจียว และกุ้ยชุนเจียวก็ยังคงเป็นผู้มีพระคุณของหลี่ฝาน และหลี่ฝานจะยังคงดูแลกุ้ยชุนเจียวต่อไปในอนาคต ขอเพียงแค่กุ้ยชุนเจียวขอร้องหลี่ฝาน นางก็สามารถมั่งคั่งและร่ำรวยได้ในอนาคต
แต่กุ้ยตงเหมยไม่เหมือนกัน นางต้องได้รับความอับอายและความคับแค้นใจที่ถูกใช้เป็นขั้นบันไดโดยพ่อแม่ของนาง แต่ตอนนี้เมื่อขั้นบันไดนี้ไร้ประโยชน์ พวกเขาจึงละทิ้งมันไปโดยไม่ได้คิด
กุ้ยตงเหมยเกลียดชังพวกเขา เกลียดชังเป็นอย่างมาก
คราวนี้กุ้ยตงเหมยอาศัยอยู่ในต้าย่วนจื่อของหมู่บ้านเหมย และไม่เคยเห็นใครมาหานางเลย ครั้งที่แล้วนางรู้ด้วยว่ามีคนจากครอบครัวมาตามหานาง แต่กุ้ยตงเหมยหลีกเลี่ยงการพบเจอและไม่อยากกลับบ้านเลย
คราวนี้ไม่มีแม้แต่เงา
เมื่อรู้ว่านางไร้ประโยชน์ พวกเขาก็ไม่อยากแม้แต่จะมาสนใจ
กุ้ยตงเหมยเกลียดจนต้องกัดฟันกรอด ทำไมนางถึงต้องอยู่อย่างอับอายขายหน้า ทำไมกุ้ยชุนเจียวถึงเป็นคุณหนูอยู่ที่บ้านอย่างสบายใจ นางได้รู้จักกับเศรษฐีใหญ่อย่างหลี่ฝานและตื่นขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะ
เมื่อเห็นความโกรธในดวงตาของกุ้ยตงเหมย ถูหมิ่นก็รู้ว่านางหลงกลและเชื่อคำพูดของเขาแล้ว เขาจึงพึงพอใจมาก และในที่สุดแผนการแก้แค้นของเขาก็สำเร็จ
ถูหมิ่นระงับความตื่นเต้นภายในใจอย่างหนัก เขาเหลือบมองกุ้ยตงเหมยและพูดอย่างลำบากใจว่า “ตงเหมย อย่าเศร้าไปเลย! ใครทำให้พี่สาวของเจ้าสวยกว่าเจ้ากัน! พ่อและแม่ของเจ้าจึงให้ความหวังทั้งหมดกับนางโดยธรรมชาติ อย่าเศร้าไปเลย เจ้าเศร้า ข้าก็ยิ่งเศร้า!” ถูหมิ่นน้ำตาไหลจากดวงตาของเขาเล็กน้อย ดูเหมือนเขากำลังเจ็บปวดหัวใจอย่างมาก แต่นั่นเป็นเพียงสิ่งที่เขาแสร้งทำ
กุ้ยตงเหมยมองไปที่ใบหน้าเศร้าของถูหมิ่น นางก็รู้สึกเห็นใจและเชื่อมโยงถึงความรู้สึกกันมากขึ้น นางเริ่มจับมือถูหมิ่นและพูดอย่างโกรธเคือง “พี่หมิ่น ตอนนี้ท่านยังคงพูดสิ่งดี ๆ ให้กุ้ยชุนเจียวอยู่อีกหรือ? นางไม่ต้องการข้าแล้ว ท่านจะยังพูดดีต่อนางทำไมอีก! ผู้หญิงชั่วร้ายคนนั้นจะต้องถูกลงโทษ!”
ถูหมิ่นแสร้งทำเป็นทุกข์ใจและรีบปิดปากกุ้ยตงเหมยอย่างรวดเร็ว แววตาที่อ่อนโยนของเขา ความอับอาย และความโกรธหลังจากถูกทอดทิ้ง ปรากฏบนใบหน้าของเขาทันที “อย่าพูดเช่นนั้นกับพี่สาวของเจ้าสิ พี่สาวของเจ้าเป็นผู้หญิงที่ดี เป็นข้า… ข้าเองที่ไม่คู่ควรกับนาง!”
กุ้ยตงเหมยตีมือของถูหมิ่นที่ปิดปากของนางและพูดอย่างไม่เต็มใจว่า “พี่หมิ่น ข้าไม่ได้ว่าท่านนะ แต่ท่านก็เป็นคนโง่เหมือนกัน ตอนที่พี่สาวของข้าอยู่กับท่าน ทำไมท่านถึงไม่หุงข้าวดิบจนสุก*[1] ไปเสียล่ะ เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านคิดว่านางจะกล้าทิ้งท่านหรือไม่ล่ะ?”
*[1] สิ่งที่ทำแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้