บทที่ 575 ความซื่อสัตย์คือกฎในกิจการนี้
บทที่ 575 ความซื่อสัตย์คือกฎในกิจการนี้
กู้เสี่ยวหวานเห็นสีหน้าของเขาก็เกิดความคิดในใจ ก่อนพูดว่า “เงินสองร้อยตำลึง พวกเจ้าสองคนพี่น้องกลับไปบ้านเกิดเพื่อซื้อที่ดิน แต่งภรรยาและให้กำเนิดลูกหลานมากมาย รายล้อมไปด้วยเด็ก ๆ มีความสุขกว่ายามนี้ที่ต้องซ่อนตัวไปทั่วและอยู่ไม่เป็นหลักแหล่งตั้งมากมาย!”
เจ้าของเสียงแผ่วเบาถูกล่อลวงโดยสมบูรณ์ ดวงตาเต็มไปด้วยความโลภ!
ใช่ เงินสองร้อยตำลึงก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกเขาที่จะกลับไปซื้อที่ดินห้าสิบหมู่ ตราบใดที่ยังมีที่ดิน พวกเขายังจะกังวลว่าพวกเขาจะแต่งเมียไม่ได้อีกหรือ? ทั้งยังนั่งกินนอนกินได้ทั้งชีวิต!
เดิมทีสองพี่น้องออกมาหาอะไรทำเพราะครอบครัวของพวกเขายากจนเกินไป แต่หลังจากมองไปรอบ ๆ พวกเขาก็ไม่พบสิ่งที่เหมาะสมที่จะทำ เมื่อเห็นว่าความวุนวายหมดไปแล้ว พวกเขาก็ยังหาอะไรทำไม่ได้ เลยวางแผนจะทุบไหและทำกรรมชั่วที่เงินมาไว
เจ้าของเสียงแหลมสูงนั้นเป็นคนแรกที่ออกมา และเขาทำเงินได้เล็กน้อย แต่เงินนั้นมาและไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่านั้น ของแบบนี้ที่หนึ่งทำได้ครั้งเดียวเท่านั้น เสร็จแล้วก็ต้องหนีไปที่อื่นทันที!
อย่างที่กู้เสี่ยวหวานว่าใช้ชีวิตไม่เป็นหลักแหล่ง ทั้งยังต้องคอยหลบซ่อนตัวอยู่ในเขา ก่อนนี้เขาเองก็มีชีวิตอยู่อย่างนั้นเช่นกัน
เจ้าของเสียงสูงตกอยู่ห้วงคิด ช่างน้ำหนักความคิดระหว่างเงินสองร้อยตำลึงกับกฎของกิจการนี้
“พี่ใหญ่ ตัดสินใจเร็ว นี่มันเงินสองร้อยตำลึงเลยนะ!” ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
เจ้าของเสียงสูงยังคงคิดอยู่ ก่อนเขาจะได้ยินเสียงชั่วร้ายจากด้านนอก “หัวหน้าสยง ท่านไม่อาจรับเงินข้าไปเปล่า ๆ ได้นะ! เห็นเงินสูงกว่าก็เปลี่ยนฝ่าย! ความซื่อสัตย์คือกฎของกิจการนี้นะ!”
เป็นเสียงของถูหมิ่น
กู้เสี่ยวหวานเหลือบมองไปที่กุ้ยชุนเจียว ก่อนเห็นว่าใบหน้าของกุ้ยชุนเจียวซีดลงกว่าเดิม
ราวกับว่าถูกโจมตีอย่างแรง นางใกล้จะล้มลง ก่อนจะล้มลงกับพื้นเมื่อไม่สามารถยืนต่อได้ นางรีบยันกำแพงแล้วทำให้จิตใจให้มั่นคง
หลังจากที่เสียงเงียบไป กุ้ยชุนเจียวก็เห็นถูหมิ่นเดินเข้ามา นางไม่ได้เจอเขามานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว ถูหมิ่นยังหล่อเหลาเหมือนครั้งที่นางเจอเขาหนแรก ด้วยรอยยิ้มที่หางตา ราวกับเขายังคงเป็นพี่หมิ่นที่เคยกระซิบคำหวานข้างหูนางว่า เจียวเอ๋อร์ของพี่หมิ่น ในยามนั้น
ทว่าเขายังคงเป็นพี่หมิ่น แต่เขาไม่ใช่พี่หมิ่นในใจนางอีกต่อไป
หลังจากถูหมิ่นเดินเข้ามา เขาก็จ้องมองกู้เสี่ยวหวานอย่างโกรธเคือง แล้วมองไปที่กุ้ยชุนเจียว มันมีความเกลียดชังและความรังเกียจที่ยากจะอธิบายในแววตาของเขา
เขาไม่เคยพ่ายแพ้ด้วยมือสตรีคนใด และเขาก็ไม่เคยอับอายเพียงนี้มาก่อน
นี่เป็นผู้หญิงคนแรกที่เขาเกือบจะคว้ามาได้สำเร็จด้วยความยากลำบาก แต่อีกฝ่ายก็บินหนีไปเหมือนเป็ดต้ม
และก็เป็นเด็กหญิงอายุสิบปีที่อยู่ข้างหน้าเขาเป็นคนที่ทำให้นางบินหนีไป
ยิ่งถูหมิ่นคิดเรื่องนี้มากเท่าไรก็ยิ่งยากที่จะระงับความโกรธในหัวใจมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อมองไปที่กู้เสี่ยวหวาน เขาก็ชี้ไปที่กู้เสี่ยวหวานและพูดกับหัวหน้าสยง “ผู้หญิงคนนี้พูดจาหลอกล่อผู้คนเก่งนัก หัวหน้าสยง ข้าเคยต้องสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะนางมาแล้ว ดังนั้นอย่าได้ถูกนางหลอกล่ะ!”
หัวหน้าสยงคนนั้นค่อนข้างไม่มั่นคง คราวนี้เมื่อได้ยินคำพูดของถูหมิ่น เขาก็รีบยิ้มอย่างประจบสอพลอ “ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะไม่ทำเรื่องเช่นรับเงินมาแล้วก่อเรื่อง กฎของวงการนี้ข้าเข้าใจดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าทำเรื่องนี้!”
หัวหน้าสยงตกใจเล็กน้อย โชคดีที่เขาเผลอไผลไปเพราะเงินสองร้อยตำลึง มิฉะนั้น ถ้าถูหมิ่นได้ยินเข้า ชื่อเสียงของเขาในวงการนี้คงพินาศย่อยยับแน่ เช่นนั้นในอนาคตจะทำอย่างไร? ผู้ใดจะกล้ามาทำธุรกิจกับตนอีก
“แล้วเขาล่ะ…” ถูหมิ่นฟังหัวหน้าสยงพูดจนแทบจะสาบานแล้วยิ้มพลางชี้ไปยังเจ้าของเสียงเบาร่างผอมบางที่อยู่ข้าง ๆ โดยถามด้วยเจตนาร้าย
เมื่อครู่นี้เองที่เขาเดินไปหยิกผู้ชายเสียงสูงที่รับเงินไปสองร้อยตำลึง
“ฮ่า ๆ หัวหน้าไม่ต้องห่วงไป นี่น้องชายของข้าเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำเรื่องแบบนี้ เขาไม่เข้าใจกฎของธุรกิจ ไม่ต้องห่วงไป เมื่อข้ากลับไป ข้าจะสั่งสอนเขาให้ดี ไม่ต้องกังวล ไม่มีปัญหาแน่!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้าสยง ถูหมิ่นก็โล่งใจ ก่อนพูดโดยแฝงแรงจูงใจที่ซ่อนเร้น “กฎของกิจการนี้เดิมเป็นเช่นนี้ มิฉะนั้น เจ้าจะไม่สามารถคลุกคลีกับในวงการนี้ได้ ถ้าปล่อยให้คนอื่นรู้ว่าเจ้าแหกกฎ ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่มีชีวิตอยู่เพื่อรับเงินสองร้อยตำลึงนั่น” ถูหมิ่นพูดโดยไม่หัวเราะ ซึ่งเขาได้ยินว่าหัวหน้าสยงพูดว่า ข้ารู้ ๆ พลางพยักหน้าซ้ำ ๆ
เจ้าของเสียงเบา ๆ นั้นคือเอ้อร์สยง เขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ดวงตาของเขาเบิกกว้างและใบหน้าของเขาดูไม่อยากเชื่อ
จากนั้นเขาก็ถูกพี่ชายต่อย ซึ่งเมื่อชายคนนั้นก็ฟื้นจากอาการตะลึงก็รีบตอบกลับอย่างรวดเร็วเหมือนพี่ชายของเขาว่า “ข้ารู้ ๆ”
เมื่อเห็นว่าพี่น้องทั้งสองรับปาก ถูหมิ่นก็โล่งใจ จากนั้นเขาก็เหลือบมองกู้เสี่ยวหวานผู้มีใบหน้าเคร่งขรึมและพูดอย่างรังเกียจว่า “กู้เสี่ยวหวาน เจ้ายังคงอ่อนหัดเกินไป เจ้าไม่เคยเห็นโลก เลยไม่รู้ว่ากิจการนี้ต้องทำตามกฎ! ใช้เงินล่อใจพวกเขาหรือ? เกรงว่าพวกเขาคงไม่มีชีวิตไปใช้มันหรอก!”
ใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานซีดเผือด นางจ้องไปที่ถูหมิ่นอย่างดุร้ายและพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ถูหมิ่น ข้าไม่มีความบาดหมางกับเจ้า ทำไมเจ้าถึงทำเช่นนี้?”
“ไม่มีความบาดหมางหรือ? ฮ่า ๆ…” ใบหน้าของถูหมิ่นซึ่งสามารถพูดได้ว่าเป็นหนุ่มหน้าขาวเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน เขาเหลือบมองกู้เสี่ยวหวานอย่างหยามเยียด แล้วชี้ไปที่กุ้ยชุนเจียวด้วยใบหน้าโกรธเคืองและพูดอย่างเต็มไปด้วยโทสะ “เจ้าทำลายเรื่องดีของข้า และทำให้ข้าได้รับความอัปยศอย่างยิ่ง! เจ้ายังไม่มีความบาดหมางกับข้าอีกหรือ?”
กู้เสี่ยวหวานเหลือบไปมองกุ้ยชุนเจียว ซึ่งกำลังจะเป็นลมและในใจนึกสาปแช่งคนโง่นี่
กุ้ยชุนเจียวโตมาอย่างไรถึงได้ไปถูกตาต้องใจกับคนขี้โกงอย่างถูหมิ่น
คนผู้นี้ เกรงว่านอกจากหน้าตาที่หล่อเหล่าแล้ว ส่วนอื่นก็คงไร้ประโยชน์ ทั้งยังจิตใจชั่วร้ายอีกด้วย
กู้เสี่ยวหวานจ้องไปที่ใบหน้าอันชอบธรรมของถูหมิ่นด้วยความรังเกียจ นางพยายามสงบสติอารมณ์และคิดหาวิธีว่าจะออกไปจากที่นี่อย่างไร
หลังจากถูหมิ่นหัวเราะ เขาก็หันไปมองกุ้ยชุนเจียวที่หวาดกลัว ก่อนก้าวไปข้างหน้าสองก้าว เมื่อเห็นความกลัวบนใบหน้าของกุ้ยชุนเจียว ในใจของเขาก็รู้สึกภาคภูมิใจ แต่เขายังคงแสร้งทำสีหน้ากังวล “เจียวเอ๋อร์ เจ้า… สบายดีไหม…”