ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 587 ต้องไปกับข้า ห้ามไปไหนทั้งนั้น

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 587 ต้องไปกับข้า ห้ามไปไหนทั้งนั้น

บทที่ 587 ต้องไปกับข้า ห้ามไปไหนทั้งนั้น

ท่ามกลางแสงสลัว มีชายร่างสูงตรงปรากฏขึ้นอย่างสง่างามราวกับลำแสงที่ส่องสว่างมาในชีวิตที่เหลือของนาง!

เมื่อฉินเย่จือได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานตื่นแล้ว เค้ารีบรุดขึ้นหน้าสองก้าวอย่างรวดเร็ว และเมื่อมาถึงเตียง เขาก็เห็นดวงตากลมโตสีดำขลับจ้องมาหาตน

มุมปากของฉินเย่จือกระตุกอย่างตื่นเต้น รอยยิ้มนั้นส่งไปถึงดวงตาอย่างไม่สามารถปกปิดมันได้

ฉินเย่จือมอบสิ่งของในมือให้กู้หนิงอัน “รีบเอาของไปตุ๋น”

กู้หนิงอันตอบรับ และวิ่งไปที่ห้องครัวพร้อมกับสิ่งของในมือ

กู้หนิงผิงพากู้เสี่ยวอี้ตามเข้าไปในครัว

ทั้งห้องจึงเหลือเพียงกู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือ

แสงที่ส่องสว่างภายนอกบ้านถูกตัดขาดโดยบานประตูกั้น

“เจ้าเอาเงินจากที่ไหนมาซื้อของมากมายขนาดนี้?” ในตอนที่ฉินเย่จือเข้ามา กู้เสี่ยวหวานได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่อยู่ในมือของเขาแล้ว จึงรู้สึกขุ่นเคืองในใจเล็กน้อย

แต่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถซ่อนมันได้

ฉินเย่จือนั่งอยู่ข้างเตียงและไม่ตอบคำถามของกู้เสี่ยวหวาน เขามองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างแปลกใจ ท่าทางประหม่าและวิตกกังวลของเขาทำให้กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเป็นทุกข์เล็กน้อย

คิ้วของฉินเย่จือขมวดแน่น

คิ้วและดวงตาที่สวยงามพันกันยุ่งเหยิง กู้เสี่ยวหวานไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางยืดตัวขึ้นและเอนไปข้างหน้าเล็กน้อย ใช้มือลูบหน้าผากของฉินเย่จือ นวดหว่างคิ้วของเขาอย่างแผ่วเบา

สัมผัสที่นุ่มนวลทำให้ความหดหู่ในหัวใจของฉินเย่จือคลายลง

“อย่าเศร้าไปเลย ข้าก็กลับมาอย่างปลอดภัยแล้วไม่ใช่หรือ?” กู้เสี่ยวหวานพูดเบา ๆ ร่างกายนางยังคงอ่อนแออยู่ น้ำเสียงแหบแห้งไม่สดใสเหมือนเมื่อก่อน

ฉินเย่จือยังคงไม่พูดอะไร แต่หลังจากได้ยินสิ่งที่กู้เสี่ยวหวานพูด เขาก็ดึงกู้เสี่ยวหวานมาไว้ในอ้อมแขน กอดนางแน่นราวกับสมบัติหายากไม่ยอมปล่อย

กู้เสี่ยวหวานหอบหายใจเล็กน้อยเมื่อถูกกอด ขณะที่นางกำลังจะพูด หยาดน้ำตาร้อนก็หยดลงมาบนคอของนาง มันร้อนผ่าวราวกับจะแผดเผาผิวของนาง

หยดหนึ่ง หยดหนึ่ง และอีกหยด

กู้เสี่ยวหวานตกตะลึง

ผู้ชายตัวโตที่กอดนางแน่น…

ฉินเย่จือ…

เขาร้องไห้…

กู้เสี่ยวหวานต้องการจะผละออกจากอ้อมกอดของเขาเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ฉินเย่จือกอดนางแน่นไม่ยอมปล่อยไปไหน

กู้เสี่ยวหวานไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงปล่อยให้เขากอดตนเองไว้

ฉินเย่จือกอดกู้เสี่ยวหวานอย่างเงียบ ๆ

ทั้งสองไม่พูดอะไร

เมื่อกู้เสี่ยวหวานคิดว่าฉินเย่จือจะไม่พูด

ทันใดนั้นก็มีเสียงกระซิบดังขึ้นข้างหู น้ำเสียงเจือด้วยความเศร้าโศกก็สะอื้นเล็กน้อย

“หวานเอ๋อร์ ข้ากลัวมาก!” ประโยคนี้มีเพียงคำสั้น ๆ ไม่กี่คำ แต่ในประโยคนี้มีความหมายเป็นพันคำอยู่ในนั้น

ความกลัว ความกังวล ความทุกข์ยาก ทั้งหมดรวมอยู่ในประโยคนี้

อาโม่ซึ่งอยู่ไม่ไกลถูกเรียกกลับมาโดยฉินเย่จือในวันที่สอง จากนี้ไปอาโม่มีเพียงงานเดียวเท่านั้น นั่นคือการปกป้องกู้เสี่ยวหวาน

ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่นั่นหรือไม่

เขากลัวจะตายอยู่แล้ว

หัวใจดวงหนึ่งของเขาเต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกมาจากอก

สวรรค์รู้ว่าเขากลัวมากแค่ไหน!

ถ้ากู้เสี่ยวหวานมีภัยร้ายเกิดขึ้นจริง ๆ เขาคง…

ฉินเย่จือกอดกู้เสี่ยวหวานแน่นจนนิ้วของเขาซีดลงเล็กน้อย

ถ้ากู้เสี่ยวหวานมีภัยร้ายเกิดขึ้น ไม่ว่าอะไร เขาจะฝังตระกูลกุ้ยไปกับนาง!

เสียงกระซิบของเขาช่างแผ่วเบา มีความลำบาก ความกังวล ความหวาดกลัว และมีแม้แต่ความหวาดหวั่นลึก ๆ ในคำพูดเหล่านั้น

แม้แต่อาโม่ก็ยังตกตะลึงเล็กน้อย

นายท่านที่เห็นการสังหารและการนองเลือดนับไม่ถ้วนในสนามรบ เขาไม่เคยเห็นความหวาดกลัวแม้แต่น้อยบนใบหน้าของนายท่าน

แต่วันนี้ ต่อหน้าสาวน้อยผู้นี้ นายท่านกลับหลั่งน้ำตาแห่งความโศกเศร้า

จากช่วงเวลานี้ ในที่สุดอาโม่ก็รู้ว่าทำไมเจ้านายของเขาถึงชอบอยู่ในหมู่บ้านอู๋ซี

ปรากฏว่าเป็นเพราะผู้หญิงชื่อกู้เสี่ยวหวานคนนี้ได้หยั่งรากลึกในหัวใจของนายท่านแล้ว

และจากนี้ไป กู้เสี่ยวหวานจะเป็นเจ้านายของอาโม่เช่นกัน

กู้เสี่ยวหวานเคลื่อนไหวเล็กน้อย คำพูดปลอบโยนติดอยู่ในปากของนาง แต่นางไม่สามารถพูดอะไรได้

เขากลัวว่านางจะถูกทำร้าย!

ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าในหุบเขาลึก เขาเป็นเหมือนผู้พิทักษ์ที่อยู่เคียงข้างคอยปกป้องโดยไม่กลัวบาดเจ็บและไม่กลัวความตาย

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ กู้เสี่ยวหวานก็อดไม่ได้ที่จะเอามือโอบเอวของฉินเย่จืออย่างอ่อนโยน

เมื่อฉินเย่จือรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของกู้เสี่ยวหวาน เขาก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขากระชับอ้อมแขนที่กอดกู้เสี่ยวหวานให้แน่นขึ้น

เขากอดกู้เสี่ยวหวานไว้ในอ้อมแขนของเขาแน่น การเคลื่อนไหวของเขาอ่อนโยนราวกับว่ากลัวที่จะทำร้ายกู้เสี่ยวหวานด้วยแรงดังกล่าว

เพราะกลัวว่ากู้เสี่ยวหวานจะหายไปอีกครั้ง

“หวานเอ๋อร์…” เสียงของฉินเย่จือแหบเล็กน้อย และเขาพูดอย่างแผ่วเบา

กู้เสี่ยวหวานตอบรับโดยไม่ต้องคิด

“จากนี้ไป เจ้าจะต้องอยู่ข้างกายของข้าตลอด และไม่สามารถก้าวออกไปได้แม้แต่ครึ่งก้าว เจ้าเข้าใจหรือไม่?” ฉินเย่จือพูดประโยคนั้นออกมาอย่างเอาแต่ใจ

สิ่งที่เรียกว่าความหวานแผ่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจราวกับว่ามันหยั่งรากและแตกหน่อ

กู้เสี่ยวหวานไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางพยักหน้าตอบรับ

เมื่อได้ยินคำตอบของกู้เสี่ยวหวานแขนของฉินเย่จือก็ดูเหมือนจะกระชับแน่นขึ้น

“โอ๊ย…” กู้เสี่ยวหวานร้องเบา ๆ

ฉินเย่จือหยุดครู่หนึ่งแล้วปล่อยแขนของเขาอย่างรวดเร็ว เขาจับไหล่ของกู้เสี่ยวหวาน ใบหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์และเอ่ยถามอย่างกังวลว่า “เจ้าเจ็บตรงไหนหรือ?”

กู้เสี่ยวหวานส่ายศีรษะเบา ๆ และสูดหายใจยาวสองครั้ง “ข้าหายใจไม่ออกเพราะถูกเจ้ากอด…”

ใบหน้าของฉินเย่จือเปลี่ยนเป็นสีแดง และกู้เสี่ยวหวานเห็นได้ชัดว่าชายตัวใหญ่คนนี้…

เขินอาย…

ขณะที่กู้เสี่ยวหวานกำลังจะหยอกล้อเขา นางก็ได้ยินเสียงร่าเริงจากภายนอก “อะไรนะ เสี่ยวหวานตื่นแล้ว?”

เป็นเสียงของป้าจาง

ปรากฏว่าหลังจากที่ป้าจางถูกพวกเขาเกลี้ยกล่อมให้กลับไปพักผ่อนที่บ้าน หลังจากกลับถึงบ้าน นางก็งีบหลับไปครู่หนึ่ง นางกังวลเรื่องกู้เสี่ยวหวานมาก จึงรีบทำความสะอาดบ้านให้เสร็จและรีบวิ่งกลับมา

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

Status: Ongoing
กู้เสี่ยวหวานเป็นสาวนักวิจัยด้านการเกษตรวัยเฉียดสามสิบผู้เพียบพร้อม​ในทุกด้าน​ เว้นแต่ด้านความรักที่ยังไม่มาทักทาย​ จนพ่อแม่กลุ้มใจและจัดนัดบอดให้หลายหน และความซวยก็มาเยือนในนัดบอดครั้งนี้​ หลังได้รับโทรศัพท์​จากหัวหน้าทีมวิจัยว่าการทดลองล้มเหลว​ ทำให้เธอต้องรีบทำการทดลองก่อนเวลานัดบอด​ จนประสบอุบัติเหตุ​โทรศัพท์​มือถือระเบิดกลางห้องแลบและพาตัวเธอทะลุมิติ​มาเกิดใหม่ในร่างสาวน้อยสมัยราชวงศ์ชิงผู้แบกภาระเลี้ยงดูน้องๆ​ ท่ามกลางครอบครัวที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น​

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท