บทที่ 659 สวีเฉิงเจ๋อมาแล้ว
บทที่ 659 สวีเฉิงเจ๋อมาแล้ว
ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นกะพริบปริบมองดวงหน้าของเขาด้วยแววตาเปล่งประกาย การแสดงออกของนางราวกับเด็กน้อยแสนน่ารัก
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเพียงว่าหัวใจของนางเต้นระรัว เลือดสูบฉีดทำให้ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นสีแดงระเรื่อ
ทั้งสองสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานแดงก่ำราวกับลูกตำลึง
กู้เสี่ยวหวานรีบพลิกตัวหันให้ฉินเย่จือ
เมื่อเห็นนางเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็ว ฉินเย่จือก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะเกรงว่าร่างกายของนางจะได้รับบาดเจ็บ แต่หลังจากที่เห็นนางหันหลังกลับไปและไม่ได้ส่งเสียงใด จึงคิดว่านางคงจะไม่เป็นอะไรแล้ว
ด้วยเหตุนี้ จิตใจอันพะว้าพะวังของเขาจึงผ่อนคลายลง
ครั้นมองไหล่อันบอบบางของกู้เสี่ยวหวาน เขาเอื้อมมือออกไปและดึงผ้าห่มขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อให้คลุมไหล่ของนาง การกระทำของเขาทำให้กู้เสี่ยวหวานประทับใจ
เนื่องจากไม่ได้พักผ่อนมานานหลายวัน คนหนึ่งอ่อนแรง คนหนึ่งอ่อนล้า พวกเขาลืมตากันครู่หนึ่งก่อนจะหลับตาลง ไม่นานก็ผล็อยหลับไป
ข้างนอกไม่มีใครรบกวน และไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามารบกวน
หลังจากที่หลี่ฝานลุกขึ้น เขามุ่งหน้าขึ้นไปที่ชั้นสาม เคาะประตูแผ่วเบา หากแต่ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ จากด้านใน หลี่ฝานจึงคิดว่าคนทั้งกำลังหลับพักผ่อน และได้ยินคนรับใช้ที่รออยู่นอกประตูเล่าว่าเมื่อครู่ฉินเย่จือขอโจ๊กหนึ่งชาม คาดว่ากู้เสี่ยวหวานน่าจะฟื้นแล้ว
หลี่ฝานไม่ได้เข้าไปรบกวน และถอยหลังหมุนกายจากไป
ฉินเย่จือที่อยู่ด้านในย่อมได้ยินเสียงเคาะประตูของหลี่ฝานโดยธรรมชาติ แต่เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานกำลังหลับสนิทอยู่ในอ้อมแขนตนเอง พลันรู้สึกหวงแหนคนในอ้อมกอดขึ้นมา ชายหนุ่มจึงไม่ได้ส่งเสียงใดออกไป
ยามหลับ ลูกแมวตัวน้อยตัวนี้ดูเหมือนจะกระสับกระส่าย นางขยับกายเข้าหาเขาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ และในท้ายสุดนางก็ขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา ราวกับลูกแมวตัวน้อยขดอยู่ในอ้อมแขน
ความใกล้ชิดที่หาได้ยากนี้ทำให้ฉินเย่จือตื่นเต้น แม้ว่าแขนที่กอดกู้เสี่ยวหวานเอาไว้จะรู้สึกชาเล็กน้อย แต่ก็กลัวว่าการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยของเขาจะทำให้ลูกแมวในอ้อมแขนตื่นขึ้น
โอกาสเช่นนี้มาอยู่ตรงหน้าแล้ว และหากจะหาโอกาสเช่นนี้ในอนาคตอีก ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสเช่นนี้อีกเมื่อใด
ครั้นคิดถึงเรื่องนี้ฉินเย่จือก็เม้มริมฝีปาก ดูเหมือนว่าจะมีความลังเลบางอย่างปรากฏขึ้นในสายตา
เด็กคนนี้อายุแค่สิบขวบ เมื่อใดนางจะโตเสียที
หน้าประตูร้านจิ่นฝู ปรากฏร่างของชายคนหนึ่งซึ่งมีท่าทางกระวนกระวาย
เขาคือสวีเฉิงเจ๋อจากหอหนังสืออวี้ ทันทีที่รุ่งสาง เขาก็เดินทางมาที่ร้านจิ่นฝูทันที
ปรากฏว่าเมื่อบ่ายวานนี้ คนรับใช้ของตระกูลสวีมาที่ร้านจิ่นฝูเพื่อสั่งอาหารสองจาน แต่เมื่อเห็นว่าประตูร้านถูกลงกลอนจึงเกิดความอยากรู้อยากเห็น
ในวันธรรมดา เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเสี่ยวเซิ่งจื่อ ดังนั้นจึงเรียกเสี่ยวเซิ่งจื่อออกมาถามอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวเซิ่งจื่อไม่ได้พูดสิ่งใดมาก แค่บอกว่าร้านอาหารกำลังลองอาหารใหม่ และขอให้เขากลับมาในอีกไม่กี่วัน
หลังจากคนใช้กลับไปเขาก็ถ่ายทอดคำพูดนี้แก่สวีเฉิงเจ๋อ หากแต่เขายังรู้สึกสงสัย ครั้นได้ยินเรื่องนี้ ต่อมาก็ได้ยินมาว่าเจ้าของร้านจิ่นฝูถูกเจ้าหน้าจับกุมและบอกว่าเขาฆ่าคน ดังนั้นสวีเฉิงเจ๋อจึงขอให้คนรับใช้ไปสืบเรื่องนี้มาอย่างละเอียด
เขาไม่ได้คาดว่าจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นที่นี่ ข้อหาฆาตกรรมนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกู้เสี่ยวหวาน แม้ว่าเหมียวเอ้อร์จะกลับมาในภายหลัง แต่กู้เสี่ยวหวานก็ถูกคนในหมู่บ้านทำร้ายนางเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สวีเฉิงเจ๋อยังรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ยุ่งยากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ชายหนุ่มไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับกู้หนิงอัน เพราะกลัวว่าเขาจะเกิดความกังวลหลังจากได้ยินเรื่องนี้
จึงคิดว่าจะมาสอบถามสถานการณ์ก่อน
เสี่ยวเซิ่งจื่อไม่คาดคิดว่าลูกพี่ลูกน้องของตนจะปรากฏตัวขึ้น ดังนั้นเขาจึงรีบพาอีกฝ่ายไปพบหลี่ฝาน
เนื่องจากยังมีคนคุกเข่าอยู่ภายในห้องรับร้อง หลี่ฝานจึงไม่ได้พาสวีเฉิงเจ๋อไปที่ห้องรับรองของเถ้าแก่หลี่
ทันทีที่พวกเขาพบกัน สวีเฉิงเจ๋อที่เต็มไปด้วยความใคร่สงสัยจึงเอ่ยถามอย่างตรงประเด็น “เถ้าแก่หลี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เสี่ยวหวานจะมีส่วนเกี่ยวข้องในคดีฆาตกรรมได้อย่างไร?”
เมื่อได้ยินคำถามของสวีเฉิงเจ๋อ หลี่ฝานจึงกล่าวว่าเขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายในโรงศาลเมื่อวานนี้แล้ว จึงไม่คิดปิดบัง “เป็นความเข้าใจผิด แต่ตอนนี้ความเข้าใจผิดได้รับการแก้ไขแล้ว เสี่ยวหวานไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คุณชายสวีไม่ต้องกังวลมากเกินไป!”
“เสี่ยวหวานอยู่ที่ใด? เถ้าแก่หลี่รู้หรือไม่ว่าตอนนี้เสี่ยวหวานเป็นอย่างไรบ้าง?” หากวันนี้ไม่มีชั้นเรียนก็เขาคงพุ่งจะไปที่หมู่บ้านอู๋ซีแล้วจริง ๆ เพื่อดูว่ากู้เสี่ยวหวานเป็นอย่างไรบ้าง “นางยังสบายดีอยู่หรือไม่?”
ด้วยเหตุผลบางอย่าง สวีเฉิงเจ๋อรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายขนาดนั้น
คนบางส่วนบอกว่ากู้เสี่ยวหวานฆ่าคน และสมาชิกในครอบครัวเหมียวไปโรงศาลเพื่อฟ้องร้องกู้เสี่ยวหวาน และหลี่ฝานก็ไปที่นั่นด้วย แน่นอนว่ามันต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หลี่ฝานก็หยุดพูด เมื่อเห็นท่าทางของเขา หัวใจของสวีเฉิงเจ๋อก็บีบรัดมากขึ้น “เถ้าแก่หลี่ โปรดบอกความจริงมา!”
“สถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก!” เมื่อเห็นท่าทางเป็นห่วงของสวีเฉิงเจ๋อ หลี่ฝานก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังอีกต่อไป
“เกิดอะไรขึ้น?” สวีเฉิงเจ๋อคำราม กำหมัดแน่นจนข้อนิ้วเปลี่ยนสีขาว และพยายามระงับความโกรธเอาไว้
“ผู้คนจากหมู่บ้านอู๋ซีบอกว่านางถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง พวกเขาจึงเชิญทังป้านเซียนมาเผานาง หากแต่นางได้รับการช่วยเหลือมาได้ทันเวลา ตอนนี้นางจึงมีไข้สูง” หลี่ฝานอธิบายสั้น ๆ
เมื่อได้ยินดังนั้น สวีเฉิงเจ๋อก็กระวนกระวายใจ “ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน?”
“นางอยู่ในร้านของข้า!”
“ข้าจะไปหานาง!” เมื่อสวีเฉิงเจ๋อได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานอยู่ในร้านอาหาร สวี่เฉิงเจ๋อไม่ได้คิดเกี่ยวกับสิ่งใด เอาแต่จะไปหากู้เสี่ยวหวานเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าเขาประหม่าแค่ไหน หลี่ฝานก็คว้าตัวเขาอย่างรวดเร็ว “คุณชายสวี เสี่ยวหวานกำลังพักผ่อน อย่าเพิ่งรบกวนนางเลย”
“ข้าจะไปดู…” สวีเฉิงเจ๋อรู้ตัวว่าตนเองใจร้อน หากกู้เสี่ยวหวานฟื้นตัวได้ช้า เขาคงจะไม่ให้อภัยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ไม่ได้เจอกันหลายวัน เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กหญิงคนนี้บ้าง เมื่อได้ยินว่านางไม่ค่อยสบาย หัวใจของสวีเฉิงเจ๋อดูเหมือนจะถูกบีบรัด ไม่ต้องพูดถึงว่ามันน่าอึดอัดแค่ไหน
“คุณชายสวี ไข้ของกู้เสี่ยวหวานเพิ่งลดลง ข้าคิดว่านางยังคงอ่อนแอและยังไม่ฟื้นขึ้นมา หากเจ้าหวังดีกับนางจริง ๆ ก็อย่าไปรบกวนนางเลย!” หลี่ฝานแนะนำด้วยถ้อยคำที่เป็นมิตร