บทที่ 674 แสดงความรู้สึกให้เร็วที่สุด
บทที่ 674 แสดงความรู้สึกให้เร็วที่สุด
ฉินเย่จือมีความคิดเป็นอื่นกับกู้เสี่ยวหวาน
มือของสวีเฉิงเจ๋อที่อยู่ใต้เสื้อคลุมกำแน่นจนข้อนิ้วเปลี่ยนเป็นสีขาว
กู้หนิงผิงไม่ได้สังเกตเห็นนัก แต่เขาเห็นว่าจู่ ๆ สวีเฉิงเจ๋อก็หยุดพูดไปหลังจากฟังคำพูดของเขา ทั้งสีหน้ายังดูย่ำแย่ยิ่ง
กู้หนิงผิงมองไปที่อีกฝ่ายอย่างสงสัย แต่เนื่องจากเขากำลังขับรถม้า เขาจึงไม่ได้สนใจมากนัก
สวีเฉิงเจ๋อคิดเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้และตัดสินใจ
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกโชคดีมากที่กู้เสี่ยวหวานยังเด็กอยู่ ตอนนี้นางจึงยังไม่เข้าใจอะไรเลย
มันยังไม่สายเกินไป
ทว่าหากเขาไม่แสดงความรู้สึกต่อหน้ากู้เสี่ยวหวาน เมื่อกู้เสี่ยวหวานจะเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิง เกรงว่าฉินเย่จือคงเป็นศาลาใกล้น้ำและได้รับแสงจันทร์ก่อน
โชคดีที่ตอนนี้นางย้ายมาอยู่ที่เมืองแล้ว ในอนาคตเขาจะมีโอกาสได้พบนางอีก
สวีเฉิงเจ๋อคิดถึงสิ่งนี้ราวกับว่าเขาได้ทำการตัดสินใจครั้งสำคัญ อารมณ์จึงสดใสขึ้นทันใด ครั้นเห็นใบหน้าของสวีเฉิงเจ๋อเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างอยู่พักหนึ่ง กู้หนิงผิงซึ่งอยู่ด้านข้างก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าผู้ใหญ่เหล่านี้กำลังคิดอะไรอยู่!
“หนิงผิง พี่สาวของเจ้าชอบกินอะไรหรือ?” เมื่อเห็นใบหน้าที่สับสนของกู้หนิงผิง สวีเฉิงเจ๋อก็รีบถาม
“พี่สาวของข้าไม่ชอบอะไรเป็นพิเศษ นางแค่ไม่ชอบของหวานเอามาก ๆ!” ทุกครั้งที่ซื้อขนมกลับบ้าน เขากับกู้เสี่ยวอี้ต้องเป็นคนจัดการทุกครั้ง
แม้ว่าพี่สาวของเขาจะอยากกินขึ้นมา นางก็กินเพียงหนึ่งหรือสองชิ้นเท่านั้น ทั้งเมื่อกินเข้าไป นางจะขมวดคิ้วและหยีตาราวกับว่ากำลังกินยาพิษ
เขาสงสัยยิ่งนัก เด็ก ๆ ในบ้านของคนอื่น เมื่อเห็นขนมก็ดิ้นรนอยากจะกินกันหมด เขากับกู้เสี่ยวอี้เองก็เหมือนกัน เมื่อเห็นขนม พวกเขาก็เดินต่อไม่ได้
ขนมนั่นอร่อยมาก เหตุใดพี่สาวถึงไม่ชอบกัน!
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ กู้หนิงผิงก็เต็มไปด้วยความสงสัย
สวีเฉิงเจ๋อที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าสงสัยเช่นกันหลังจากได้ยินสิ่งนี้
ไม่ชอบกินของหวานแล้วจะกินอะไร!
สวีเฉิงเจ๋อยังคงคิดอย่างหนักเมื่อเขาได้ยิน กู้หนิงผิงจึงเรียก “พี่เฉิงเจ๋อ พวกเรามาถึงแล้ว!”
ทันทีที่สวีเฉิงเจ๋อเงยหน้าขึ้น เขาเห็นว่าคำสามคำของหอหนักสืออวี้ ดูเหมือนจะหัวเราะเยาะตัวเอง สวีเฉิงเจ๋อรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย เขาคิดเกี่ยวกับการเดินทางแล้ว แต่เขายังคิดไม่ออกว่าควรนำอะไรไปด้วยเมื่อไปหากู้เสี่ยวหวานที่สวนหลี่ในวันพรุ่งนี้
เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าหมองของสวีเฉิงเจ๋อ กู้หนิงผิงก็พูดว่า “พี่เฉิงเจ๋อ พี่สาวของข้าชอบอ่านหนังสือ สำหรับพี่สาวของข้า ตำรามีเสน่ห์มากกว่าขนมเสียอีก”
ไม่จริงหรือ? ทุกครั้งที่พี่สาวของเขากินขนม นางจะอ่านหนังสือ แล้วยังว่าหนังสือดี ๆ จะทำให้นางลืมสิ่งที่กินไป!
นี่มันได้ที่ไหนกัน!
ต่อมากู้หนิงผิงและคนอื่น ๆ ไม่กล้าที่จะให้ขนมกู้เสี่ยวหวานอีกต่อไป พี่สาวเขาไม่ชอบกินก็ไม่ต้องกิน! อย่างไรเสียไม่กินขนมก็ไม่เป็นไร
หลังจากได้ยินเช่นนี้ สวีเฉิงเจ๋อก็รู้สึกประหลาดใจมาก “ข้าเข้าใจแล้ว หนิงผิง เจ้าก็กลับระวัง ๆ ด้วยล่ะ!”
เมื่อเห็นว่าสวีเฉิงเจ๋อมีความสุขอีกครั้ง กู้หนิงผิงก็ตื่นเต้นเช่นกัน “พี่เฉิงเจ๋อ ลาก่อน!”
เขายืนส่งรถม้าของกู้หนิงผิงออกจากหอหนังสืออวี้ไป
สวีเฉิงเจ๋อหัวเราะอย่างโง่เขลาและเดินเข้าไปข้างใน
เมื่อเข้ามาแล้ว เขาไม่รีบร้อนที่จะเข้าไปในบ้าน แต่ค้นหาบางอย่างที่หอหนังสือด้านนอก
สวีเฉิงเจ๋อมองไปทางซ้ายและขวาในหอหนังสือ แล้วพลิกหนังสืออ่านอย่างระมัดระวังจนแม้มีคนเข้ามาในหอหนังสือก็ไม่ทันได้สังเกต
“ขออภัย เจ้าเป็นของหอหนังสืออวี้ใช่หรือไม่?” คนผู้นั้นอาจรู้สึกรำคาญที่ยืนรออยู่ที่ประตู และเมื่อเห็นว่าชายคนนี้ไม่สนใจตน นางก็ไม่พอใจทันที ซึ่งสีหน้าของนางดูก็น่าเกลียดยิ่ง
สวีเฉิงเจ๋อยืนอยู่บนบันไดขั้นบนสุด มองหาหนังสือที่อยู่ด้านบน บางทีเขาอาจจะเจอหนังสือที่เขาคาดไว้ จากนั้นก็ลงบันไดไป เมื่อเขาลงบันไดก็ได้ยินเสียงที่ไม่พอใจดังมาจากประตู
สวีเฉิงเจ๋อหันตามเสียงและมองไปที่ประตู ก่อนเห็นสาวใช้อายุสิบสามหรือสิบสี่ปีสวมกระโปรงผ้าฝ้ายสีเหลืองเนื้อดี นางจ้องมองมาที่สวีเฉิงเจ๋อด้วยความไม่พอใจราวกับว่า นางรู้สึกว่าสวีเฉิงเจ๋อดูแคลนนางที่มาหาหนังสือ
เมื่อเห็นว่าสวีเฉิงเจ๋อลงมา สาวใช้ก็ไม่พูดอะไรสักคำ เพียงแต่เบิกตากว้างมองดูสวีเฉิงเจ๋อ จากนั้นก็หันศีรษะและจากไป
ขณะที่สวีเฉิงเจ๋อรู้สึกงงงวย เขาก็เห็นสาวใช้คนนั้นกลับมาอีกครั้ง
คราวนี้อีกฝ่ายเดินเข้ามาโดยพยุงเด็กสาวคนหนึ่งไว้
เด็กหญิงอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี นางสวมกระโปรงสีขาวลายดอกเหมยและหยดน้ำลากพื้น คลุมด้วยผ้าแพรปักลายดอกเหมยสีขาวที่กระโปรง โดยมีเข็มขัดผ้าสีขาวคาดเอวคอดที่สามารถใช้มือหนึ่งกำรอบไว้
ผมดำขลับของนางถูกมัดเป็นมวย มีเพียงปิ่นหยกดอกเหมยสีขาวประดับเท่านั้น
แม้ว่ามันจะเรียบง่าย แต่ก็ดูสดชื่นและสง่างาม มีแป้งบาง ๆ อยู่บนใบหน้า ภายใต้คิ้วที่เหมือนต้นหลิว ดวงตาที่ฉ่ำน้ำคู่หนึ่งซึ่งดูเหมือนจะสามารถเอื้อนเอ่ยได้นั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ ผิวขาวราวกับหิมะและดูมีน้ำมีนวลราวกับว่าจะคั้นน้ำได้เมื่อบีบ ริมฝีปากดังอิงเถามีสีแดงชาด
ร่างกายทั้งหมดแสดงออกถึงอารมณ์ที่สดชื่น สง่างามสง่างาม และประณีต
หลังจากที่หญิงสาวเข้ามาด้วยความช่วยเหลือของหญิงรับใช้ นางก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสวีเฉิงเจ๋อเป็นครั้งแรก
นางไม่คาดคิดว่าเจ้าของร้านขายตำราแห่งนี้จะเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาเช่นนี้
ใบหน้าสวยนั้นแดงระเรื่อทันที ยิ่งดูเหมือนลูกท้อสด
ใบหน้าของหญิงสาวแดงระเรื่อ และสาวใช้ข้าง ๆ นางจ้องไปที่สวีเฉิงเจ๋อ ด้วยปากที่พองขึ้นราวกับว่านางได้กินประทัด สวีเฉิงเจ๋อรู้สึกงุนงงเมื่อเห็นพวกนางสองคนเข้ามาแต่ไม่พูดอะไร เขาจึงพูดอย่างช่วยไม่ได้ “แม่นางทั้งสองมาที่นี่เพื่อซื้อหนังสือใช่หรือไม่?”
“ไร้สาระ ถ้ามาร้านขายหนังสือแล้วไม่ซื้อหนังสือจะมาทำอะไร” สาวใช้ข้างนางพูดอย่างโกรธจัด
เมื่อหญิงสาวข้างนางได้ยินสิ่งนี้ นางรีบดุว่า “เสี่ยวเตา อย่าหยาบคาย!”
เมื่อสาวใช้ที่ชื่อเสี่ยวเตาถูกเจ้านายดุ นางรีบปิดปากสำนึกผิด แต่ยังคงจ้องไปที่สวีเฉิงเจ๋ออย่างไม่พอใจ
สวีเฉิงเจ๋อถูกเขาจ้องอย่างไรเหตุผลจริง ๆ!
เขาเริ่มไม่พอใจทันที “แม่นางทั้งสองต้องการซื้อหนังสืออะไร โปรดหาเอาเองเถอะ!”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังกลับและเดินไปทางด้านหลัง
เมื่อเห็นว่าสวีเฉิงเจ๋อกำลังจะจากไป หญิงสาวก็รีบเรียกเสียงเบา “โอ้ คุณชาย ข้า… ข้าไม่รู้ว่าท่านมีหนังสืออะไรในหอหนังสืออวี้นี้ ข้ารบกวนท่านช่วยแนะนำหน่อยได้ไหม?”
สวีเฉิงเจ๋อเลิกคิ้ว ก่อนหันกลับมาและยืนนิ่ง
ทุกคนที่มาล้วนเป็นลูกค้า