ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 695 ลงเสาบ้าน

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 695 ลงเสาบ้าน

บทที่ 695 ลงเสาบ้าน

เหตุใดนางถึงคิดไม่ได้!

ในชาติก่อน ร้านหม้อไฟค่อนข้างเป็นที่นิยม!

ยามว่างเมื่อไม่มีสิ่งใดทำ มักจะชวนเพื่อนมาสังสรรกินหม้อไฟ ดื่มชาสมุนไพรหรือเบียร์ และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป…

ดวงตาของกู้เสี่ยวหวานเป็นประกาย เมื่อครู่นางอยากจะงีบหลับสักเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ตื่นขึ้นและพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “ความคิดนี้ดี ความคิดนี้ดี!”

เปิดร้านหม้อไฟก็คล้ายกับเปิดร้านอาหาร หากจะให้นางคำนวณบัญชีก็ย่อมได้ แต่ให้นางไปบริหารอย่างนั้นหรือ…?

กู้เสี่ยวหวานกำลังมีปัญหา

เมื่อเห็นดวงหน้าของนางหมองหม่นลง ฉินเย่จือก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังกังวลเรื่องอะไร! อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่มีความคิดดี ๆ อยู่ ยังกลัวที่จะเปิดร้านอยู่อีกหรือ?

“หวานเอ๋อร์ ทำไมเราไม่เชิญเถ้าแก่หลี่จากร้านจิ่นฝูมาพรุ่งนี้ล่ะ ให้เขาลองดูก่อนแล้วค่อยวางแผนอย่างละเอียด?” ฉินเย่จือแนะนำ

ตอนนี้ทำได้เพียงพึ่งพาหลี่ฝานได้เท่านั้น

ฉินเย่จือครุ่นคิดเกี่ยวกับมัน กู้เสี่ยวหวานปรบมือ และทั้งสองก็ตัดสินใจอย่างมีความสุข “ตกลง ทำแบบนี้กัน พรุ่งนี้เมื่อเริ่มสร้างบ้าน ข้าจะบอกท่านลุงหลี่และเชิญเขามากินหม้อไฟในวันพรุ่งนี้!”

กู้เสี่ยวหวานไม่ได้กังวลเลยว่าหลี่ฝานจะไม่ชอบแผนการขายหม้อไฟของนาง! ไม่กลัวว่าจะไม่มีลูกค้า แต่กลัวไม่มีที่นั่งสำหรับลูกค้าเสียมากกว่า

เมื่อคิดดูแล้ว หม้อไฟนี้ก็ดังไปทั่วประเทศในชาติที่แล้ว

หม้อไฟเนื้อลา หม้อไฟเนื้อสุนัข และแม้แต่หม้อไฟไอศกรีม แม้ว่านางไม่เคยลองใช้น้ำแข็งและไฟคู่กัน เพียงแค่ได้ยินชื่อก็ชวนให้น้ำลายสอ ไม่รู้ว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้กลับบ้านอีกหรือไม่ หากมีโอกาสได้กลับไป นางจะต้องหาโอกาสไปชิมสักครั้ง

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกตื่นเต้นและได้พูดคุยกับฉินเย่จือเกี่ยวกับแนวคิดในการเปิดร้านหม้อไฟทันที หลังจากที่ได้พูดคุยกับฉินเย่จือแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็แปลกใจที่พบว่าฉินเย่จือเข้าใจการทำกิจการเป็นอย่างดี

“ร้านอาหารหม้อไฟนี้แปลกใหม่ ข้าคิดว่ามันดีกว่าที่จะเปิดในที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน ดีกว่าเปิดในเมืองเล็ก ๆ” ฉินเย่จือกล่าว

“ถ้าเราอยากจะเปิดร้านหม้อไฟนี้ เราควรเริ่มจากเมืองรุ่ยเสียน เมืองรุ่ยเสียนมีผู้คนมากมายจึงมีหลายคนที่มาที่นี่เพื่อทานอาหาร เมื่อชื่อเสียงของมันขจรขจาย เป็นเรื่องธรรมดาที่จะรู้ว่ามีร้านหม้อไฟในเมืองรุ่ยเสียน และผู้คนจะต้องมาที่นี่อย่างแน่นอน!” กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างตื่นเต้น

ไม่ใช่ว่านางไม่ชอบเมืองหลิวเจีย

แม้ว่าเมืองหลิวเจียจะมีผู้คนจำนวนมาก แต่ก็แตกต่างจากเมืองรุ่ยเสียนอย่างสิ้นเชิง

นางไม่เคยไปเมืองหลวง จึงไม่รู้ว่าเมืองหลวงเป็นอย่างไร ถ้าหากนางรู้ นางคงมีความกล้าที่จะไปเปิดร้านที่เมืองหลวง

นี่คือวิธีการสร้างกิจการ การเปิดกิจการต้องเปิดในสถานที่ยอดนิยม เมื่อมีลูกค้า กิจการจึงจะสามารถดำเนินต่อไปได้

เมื่อร้านหม้อไฟในเมืองรุ่ยเสียนได้รับความนิยม นางจะพยายามหาวิธีที่จะเปิดร้านสาขาอื่นเพื่อให้ร้านหม้อไฟกระจายไปทุกหนทุกแห่ง

“อืม การไปที่เมืองรุ่ยเสียนดีกว่าอยู่ที่เมืองหลิวเจียมาก ตามที่ข้าคิด เราสามารถเปิดร้านหม้อไฟนี้ที่อื่นได้ด้วย” ฉินเย่จือกล่าว

หลังจากฟังแล้ว ดวงตาของกู้เสี่ยวหวานเป็นประกาย ไม่คาดคิดว่าฉินเย่จือจะมีความคิดเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดคำว่าร้านสาขาโดยตรง แต่แนวคิดนั้นค่อนข้างก้าวหน้า

แน่นอน กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่าร้านจิ่นฝูนี้เป็นของฉินเย่จือ

ฉินเย่จือไม่ได้เริ่มก่อสร้างร้านจิ่นฝูในพื้นที่หรูหรา แต่เขากลับทำสิ่งตรงกันข้าม ในตอนแรกเขาเริ่มจากเมืองเล็ก ๆ และหลังจากที่ร้านก่อตั้งขึ้นในสถานที่เล็ก ๆ เขาก็ขยายไปที่เมืองใหญ่ ๆ และในที่สุดก็ขยับขยายเข้าไปในเมืองหลวง

ฉินเย่จือมีแผนและความคิดของตัวเอง และหลี่ฝานก็ทำสิ่งต่าง ๆ ตามความคิดของฉินเย่จือ

กู้เสี่ยวหวานไม่รู้เรื่องทั้งหมดเล่านี้

ทั้งสองปรึกษาหารือกันเป็นเวลานานและรู้สึกตื่นเต้นจนอดรนทนไม่ไหว โดยเฉพาะกู้เสี่ยวหวาน เมื่อคิดว่าจะมีร้านหม้อไฟในอนาคต นางจึงรู้สึกดีใจจนนั่งไม่ติดที่

ดูเหมือนว่าจะได้เห็นความมั่งคั่งที่ลอยเข้ามาใกล้

“พี่ใหญ่ฉิน ถ้าข้าเปิดร้านหม้อไฟได้จริง ๆ ข้าก็จะมีเงินมากมาย!” กู้เสี่ยวหวานไม่ได้ปิดบังว่าตนเองชอบเงิน

ทุกคนชอบเงิน และการมีเงินมากขึ้นก็ไม่เสียหายอะไร ใครไม่รักเงินบ้างล่ะ!

หากมีเงินก็สามารถซื้อสิ่งที่ชอบได้ กินในสิ่งที่อยากกิน ความสุขสองประการในโลกนี้ของผู้หญิงคือการซื้อและการกิน

เมื่อเห็นว่าดวงตาของกู้เสี่ยวหวานพลันเปล่งประกาย และดูเหมือนว่านางจะโปรดปรานในเงินเป็นอย่างมาก ฉินเย่จือก็มีความสุขเช่นกัน เขาพยักหน้าและพูดอย่างเอาแต่ใจว่า “เจ้าหลงใหลในเงิน!”

“หึ… ใครที่ไม่รักเงินบ้าง! วิญญูชนต้องการเงินทองทรัพย์สินก็ต้องได้มาด้วยวิธีที่ถูกต้อง และข้าก็หาเงินมาอย่างถูกต้อง!” กู้เสี่ยวหวานไม่คิดว่าคำว่า ‘หลงใหลในเงิน’ เป็นคำดูถูกเลย นางคิดว่าฉินเย่จือชื่นชมนางเสียอีก!

ฉินเย่จือยิ้ม “ข้ารู้… เมื่อเรามีเงิน เจ้าจะทำอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้า!”

ทั้งสองพูดคุยและหัวเราะกันเป็นเวลานาน จนกู้เสี่ยวหวานรู้สึกเหนื่อยแล้วจึงกลับไปที่ห้องเพื่อพักผ่อน

แม้แต่ยามนอนลงบนเตียง นางยังรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย พลิกตัวไปมานอนไม่หลับ พลางคิดถึงเรื่องบ้านใหญ่ในวันพรุ่งนี้ หากไม่มีเรี่ยวแรงก็คงจะไม่ได้

ดังนั้นจึงบังคับตัวเองหลับตาลงและผล็อยหลับไปในที่สุด

เช้าวันรุ่งขึ้น นางตื่นแต่เช้าตรู่อีกครั้ง

หลังจากที่ทุกคนอาบน้ำและรับประทานอาหารเช้าแล้ว พวกเขาก็มุ่งตรงไปยังรถม้า

หลี่ฝานกล่าวว่าสินแสได้ดูทุกอย่างแล้ว เวลาในการลงเสาเอกนั้นสำคัญเป็นอย่างมาก เมื่อกู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ ไปถึง พวกเขาเห็นกลุ่มคนมารวมตัวกันจากระยะไกลพร้อมกับสิ่งต่าง ๆ มากมายกองอยู่ข้าง ๆ

และยังเห็นรถม้าอีกคันของร้านจิ่นฝู เมื่อกู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ ลงจากรถม้า หลี่ฝานกำลังรออยู่ข้างรถ

“เสี่ยวหวาน เจ้ามาแล้ว!” หลี่ฝานเหลือบมองที่ฉินเย่จือด้วยความเคารพ แล้วพูดกับกู้เสี่ยวหวานด้วยรอยยิ้ม

กู้เสี่ยวหวานไม่เห็นตอนที่หลี่ฝานมองฉินเย่จือ ครั้นนางเห็นหลี่ฝานก็เอ่ยเรียกเสียงหวาน จากนั้นจึงลงจากรถด้วยความช่วยเหลือของฉินเย่จือ

เมื่อเห็นว่าสถานที่ก่อสร้างมีคนงานวัยรุ่นมากกว่ายี่สิบคน กู้เสี่ยวหวานก็กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านลุงหลี่ ไม่คิดว่าท่านจะเชิญคนมามากมายขนาดนี้!”

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

Status: Ongoing
กู้เสี่ยวหวานเป็นสาวนักวิจัยด้านการเกษตรวัยเฉียดสามสิบผู้เพียบพร้อม​ในทุกด้าน​ เว้นแต่ด้านความรักที่ยังไม่มาทักทาย​ จนพ่อแม่กลุ้มใจและจัดนัดบอดให้หลายหน และความซวยก็มาเยือนในนัดบอดครั้งนี้​ หลังได้รับโทรศัพท์​จากหัวหน้าทีมวิจัยว่าการทดลองล้มเหลว​ ทำให้เธอต้องรีบทำการทดลองก่อนเวลานัดบอด​ จนประสบอุบัติเหตุ​โทรศัพท์​มือถือระเบิดกลางห้องแลบและพาตัวเธอทะลุมิติ​มาเกิดใหม่ในร่างสาวน้อยสมัยราชวงศ์ชิงผู้แบกภาระเลี้ยงดูน้องๆ​ ท่ามกลางครอบครัวที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น​

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท