บทที่ 820 ลักลอบขนเกลือ
บทที่ 820 ลักลอบขนเกลือ
แม่เฒ่าเฉินร้องไห้อยู่ข้าง ๆ “แม่นาง ขอร้องล่ะ ได้โปรดสงสารหญิงชราอย่างข้าด้วย ลูกชายของข้าถูกใส่ความ เขาไม่มีทางพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้า”
ถ้าไม่มีทางพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้า นั่นก็หมายความว่าสิ่งที่เฉินจื่อไป๋พูดเป็นเรื่องจริง
“พวกท่านลุกขึ้นก่อน” กู้เสี่ยวหวานพยุงแม่เฒ่าเฉินและเกาเยว่เหมยลุกขึ้นแล้วนั่งบนเตียง
กู้เสี่ยวหวานก็นั่งลงข้าง ๆ เช่นกัน มือก็ลูบไปที่เครื่องนอน
ผ้านวมนั้นบางราวกับผ้าปูที่นอน ไม่มีอะไรบนเตียงเลยนอกจากหญ้าแห้งและผ้านวมผืนบาง
น่าสงสารยิ่งนัก
“แม่เฒ่าเฉิน พี่เยว่เหมย พวกท่านบอกข้าหน่อยว่าเฉินจื่อไป๋ถูกจับได้อย่างไร”
“ข้าเล่าเอง ข้าได้ยินมาว่า วันนั้นเหมือนจะมีรถม้าของครอบครัวเจียงควบอยู่ใจกลางเมือง ทุกคนก็ต่างกันประณามเขา แต่หลังจากที่ได้ยินรถม้าใกล้เข้ามาก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำ แต่ว่าพี่จื่อไป๋ผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวอำนาจ คนอื่น ๆ ไม่กล้าพูด แต่เขาพูด” ยิ่งเกาเยว่เหมยพูดยิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อย ๆ ในตอนท้ายนางก็ดูขุ่นเคือง “ครอบครัวเจียงไม่กล้าขายเกลืออีกต่อไป แต่พวกเขายังคงลักลอบขายเกลือส่วนตัว ถ้าเขาไม่ได้ทำจริง ๆ แล้วทำไมต้องกลัวคนอื่นเอาไปพูดล่ะ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าครอบครัวเจียงลักลอบขายเกลือส่วนตัว ถ้าทางการรู้เข้าล่ะ แต่ครอบครัวเจียงนั้นมีอำนาจและทรงพลังจะยอมเสี่ยงขนาดนี้เพื่อขายเกลือส่วนตัวทำไม” ฉินเย่จือที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พลันเอ่ยปากถาม
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เกาเยว่เหมยหน้าแดงทันที นางมองไปที่แม่เฒ่าเฉินแล้วพูดอย่างประหม่าว่า “พี่จื่อไป๋และข้าเห็นด้วยตาตัวเอง”
แท้จริงแล้ว เกาเยว่เหมยและเฉินจื่อไป๋เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อพวกเขาโตขึ้น ทั้งสองก็ตกหลุมรักกันโดยปริยายและมาอยู่ด้วยกัน
หากไม่มีอะไรเกิดขึ้น เกาเยว่เหมยและเฉินจื่อไป๋ก็จะอยู่ด้วยกันเช่นเดียวกับที่ผู้คนพูดกันในปัจจุบัน จับมือกัน คบหาดูใจกันอะไรทำนองนั้น
มีอยู่วันหนึ่ง พวกเขาบังเอิญเดินไปที่ประตูโกดังแห่งหนึ่ง เดิมทีค่อนข้างจะเงียบ แต่จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเกือกม้าและล้อจากที่ไหนก็ไม่รู้กำลังเคลื่อนเข้ามา
ทั้งสองรู้ตัวว่ามีคนมา นี่มันตอนกลางคืนแล้ว กลัวว่าคนอื่นจะเอาไปพูด ทั้งสองเลยรีบไปซ่อนตัวอยู่ที่ด้านข้าง และคิดว่าจะออกมาหลังจากที่คนออกไปแล้ว
แต่ทว่าก็รอจนเกือบครึ่งคืน
ก็มีรถม้าและผู้คนมากมายสวมชุดเครื่องแบบสีดำถือคบเพลิงเข้ามาที่โกดัง จากที่ตอนแรกมีดวงจันทร์ ก็ทำให้กลางคืนดูเหมือนกลางวัน
โกดังตั้งอยู่ที่ชานเมือง ล้อมรอบด้วยต้นไม้ วันธรรมดาไม่ค่อยมีใครผ่านไปมา
เฉินจื่อไป๋และเกาเยว่เหมยกำลังคบหากัน ปกติแล้วที่ไหนเงียบสงบ พวกเขาจะไปที่นั่น
เมื่อเกาเยว่เหมยพูดอย่างนั้น ใบหน้าของนางก็ก้มลงเกือบจะชิดหน้าอก ใบหน้าของนางก็แดงก่ำราวกับลูกหยางเหมย
แต่กู้เสี่ยวหวานเข้าใจได้ แล้วให้นางพูดต่อ
มีคนสองคนลงมาจากรถม้า คนแรกคือเจียงอวิ้นหลิ่ว ผู้ชายที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลิวเจีย อีกคนคือผู้ที่แต่งตัวด้วยผ้าทอ พูดคุยหัวเราะอยู่กับนายท่านเจียง ท่าทางดูแล้วก็เหมือนคนรวยเช่นกัน
หลังจากทั้งสองแลกเปลี่ยนความยินดีกันแล้ว พวกเขาก็เดินเข้าไปที่ประตูโกดัง นายท่านเจียงหยิบกุญแจออกมาแล้วเปิดประตูโกดัง มีเพียงเขาและอีกคนเข้าไปเท่านั้น
เนื่องจากเปิดเพียงช่องเล็ก ๆ ที่เพียงพอสำหรับคนสองคนที่จะเข้าไปได้เท่านั้น ดังนั้นพวกเกาเยว่เหมยจึงมองไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่ข้างใน
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็ออกมาอีกครั้งและพูดคุยหัวเราะกัน
จากนั้นประตูโกดังก็เปิดออก พวกเกาเยว่เหมยเห็นสิ่งของมากมายบรรจุอยู่ในกระสอบกองซ้อนกันอย่างเรียบร้อยในโกดัง แต่พวกเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร
หลังจากนายท่านเจียงทักทายกับบุคคลนั้นเสร็จแล้ว เขาก็กำชับแก่คนข้าง ๆ จากนั้นนายท่านเจียงก็จากไปพร้อมกับรถม้า
คนในชุดเครื่องแบบสีดำมีการฝึกฝนอย่างเข้มงวด และท่าทางของพวกเขาทุกคนดูแข็งแกร่ง กระสอบดูหนักมาก แต่ทุกคนแบกอย่างน้อยสามกระสอบอยู่บนไหล่ ยิ่งไปกว่านั้น บางคนแบกสามกระสอบบนไหล่และยังมีกระสอบอยู่ในมืออีก ฝึกมาดีจริง ๆ
เมื่อฉินเย่จือได้ยินสิ่งนี้ เขานึกถึงผู้คนในเจียงหู
คนเหล่านี้แข็งแกร่งมาก พวกเขาต้องมีศิลปะในการต่อสู้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่แข็งแกร่งขนาดนี้
เกาเยว่เหมยยังพูดต่อไป
ในโกดังมีสินค้าจำนวนมาก คนก็มากเช่นกัน มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาทั้งหมดก็เคลื่อนขบวนออกไป รถม้าหลายสิบคันถูกบรรทุกจนเต็ม และฉวยโอกาสขนไปในตอนกลางคืน
เกาเยว่เหมนหลบอยู่ใต้ต้นไม้เป็นเวลานาน ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
คนเหล่านี้ถือโอกาสช่วงกลางคืนเพื่อขนสินค้าออกไป อธิบายได้เหตุผลเดียวคือสินค้าไม่สะอาด พวกเขาต้องไม่กล้าบอกให้ใครรู้เป็นแน่
หลังจากที่คนเหล่านั้นจากไป เกาเยว่เหมยก็ดึงเฉินจื่อไป๋ออกไปอย่างประหม่า แต่เฉินจื่อไป๋ไม่ไป แต่จะแอบเข้าไปในโกดังนั้นเพื่อจะหาว่ามีอะไรอยู่ในกระสอบนั้น
แน่นอนว่าสิ่งที่เขาพบเป็นผลึกสีขาวแวววาวจำนวนหนึ่ง หลังจากที่เฉินจื่อไป๋ชิมแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเกลือ
ดูเหมือนว่าสิ่งของต่าง ๆ ในรถม้าหลายสิบคันที่พวกเขาลากมาเมื่อครู่น่าจะเต็มไปด้วยเกลือ
ราชสำนักได้ยึดสิทธิ์การจัดการเกลือทั้งหมด แต่เจียงอวิ้นหลิ่วยังคงแอบขายเกลือกับผู้อื่น จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาลักลอบขายเกลือส่วนตัว
เกลือสามารถหมุนเวียนได้ในทางราชการเท่านั้น คนธรรมดาไม่สามารถสะสมเกลือจำนวนมากได้นอกจากจะซื้อเกลือสำหรับบริโภค แต่เจียงอวิ้นหลิ่วคนนี้เอาเกลือไปจำนวนมาก ดูก็รู้ว่านำไปทำกิจการค้าเกลือ
หลังจากกลับมา เฉินจื่อไป๋กล่าวว่าเขาจะไปที่ศาลาว่าการเพื่อรายงานเจียงอวิ้นหลิ่ว แต่ถูกเกาเยว่เหมยขัดขวางไว้
ประการแรกคือ พวกเขาไม่มีหลักฐาน ประการที่สองคือ เจียงอวิ้นหลิ่วเป็นใครพวกเขาก็รู้ดีอยู่แก่ใจ แล้วพวกเขาจะเคลื่อนไหวได้อย่างไร
หลังจากที่ทั้งสองไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนเพื่อไม่ให้คนในครอบครัวเป็นกังวล เฉินจื่อไป๋ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากล้มเลิกความคิดนี้
แต่ต่อมา เฉินจื่อไป๋ยังคงไปที่โกดังนั้นอีกเป็นครั้งคราวในช่วงกลางวัน แต่เขาไม่พบอะไรเลย
หลังจากฟังคำพูดของเกาเยว่เหมยแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็ถอนหายใจยาว ๆ และในที่สุดก็เข้าใจว่าเรื่องนี้มีความเป็นมาอย่างไร