บทที่ 821 รับปากว่าจะช่วยเขา
บทที่ 821 รับปากว่าจะช่วยเขา
ครั้นนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ครั้งหนึ่งเมื่อรถม้าของตัวเองผ่านประตูร้านหรูอี้ วันนั้นในเขตตัวเมืองหลิวเจียมีรถม้าคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็ว และแม้แต่รถม้าของตัวเองยังต้องหลบไปด้านข้างเพื่อให้พวกเขาไปก่อน
ในเวลานั้นก็ได้ยินเสียงชายคนหนึ่งตำหนิขึ้น และคาดว่าคนผู้นั้นคงจะเป็นเฉินจื่อไป๋
ดูเหมือนว่าสวรรค์จะต้องการให้นางเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องนี้เสียแล้ว
กู้เสี่ยวหวานพยายามครุ่นคิดหาวิธีช่วยเฉินจื่อไป๋ออกมา
เมื่อกำลังจะหันไปปรึกษากับฉินเย่จือนั้น ก็เห็นชายหนุ่มกำลังขมวดคิ้วมุ่นราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง และเอ่ยถามหลังจากนั้นไม่นานว่า “แม่นางรู้หรือไม่ว่าโกดังนั่นอยู่ที่ใด”
“ข้ารู้ ๆ อยู่ไม่ไกลจากชานเมืองมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ มีวัชพืชปกคลุมไปทั่ว และมีโกดังซ่อนอยู่ข้างใน หากไม่เข้าไปก็จะหาไม่เจอ” ครั้นเห็นฉินเย่จือสอบถามตนเอง เกาเยว่เหมยก็ตอบอย่างรวดเร็ว “พวกเจ้าคงไม่รู้จัก ไม่เช่นนั้นข้าจะพาไปเอง”
“ไม่จำเป็น” ฉินเย่จือเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าต้องไม่ให้คนอื่นรู้ว่าเจ้าพูดคุยเรื่องอะไรกับพวกเราในวันนี้ ข้าเกรงว่าเมื่อถึงเวลามันจะสร้างปัญหาให้เจ้าได้”
แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นี่ไม่ใช่ปัญหาจริงหรือ?
เฉินจื่อไป๋ถูกจับเพียงเพราะพูดประโยคเดียวเท่านั้น
ตอนนี้เขาถูกจับตัวไปไว้ในห้องขัง ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง
หากพวกเขาพูดเรื่องราวไร้สาระออกไป เกรงว่าจะถูกจับตัวด้วยเช่นกัน
ฉินเย่จือเตือนว่า สิ่งต่าง ๆ นั้นซับซ้อนกว่าสิ่งที่พวกนางคิด
นอกจากนี้ ฉินเย่จือเคยพบกลุ่มคนที่เกาเยว่เหมยกล่าวถึงมาก่อน คนพวกนั้นล้วนแต่งกายด้วยชุดสีดำ และดูเหมือนจะมีวรยุทธอันแกร่งกล้า
ครั้นคิดถึงเรื่องนี้ ฉินเย่จือก็เอียงศีรษะมองไปยังกู้เสี่ยวหวานด้วยความรู้สึกหลากหลายในใจโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเกาเยว่เหมยและแม่เฒ่าเฉินได้ยินสิ่งนี้ พวกนางก็พยักหน้าซ้ำ ๆ “เราจะไม่บอกใครอย่างแน่นอน”
พวกนางไม่รู้สึกถึงอันตรายที่เคลือบคลานเข้ามาถึง แต่ฉินเย่จือนั้นรู้ดี
“เช่นนั้นข้าขอเตือนว่าอย่าไปที่โกดังหลังนั้นอีก” ฉินเย่จือพูดต่อ “คนพวกนั้นเก่งกาจ ถ้ารู้ว่าถูกใครพบเห็นเข้า เกรงว่าพวกเจ้าทั้งหมดจะตกอยู่ในอันตราย”
เกาเยว่เหมยไม่เคยรู้มาก่อนว่า เรื่องที่นางไปรู้เห็นมาจะมีอันตรายถึงเพียงนี้ หัวใจของนางเต้นไม่เป็นจังหวะพลางมองไปที่ฉินเย่จือ หมายจะเอ่ยปากถามบางอย่าง แต่เมื่อมองไปที่แม่เฒ่าเฉินผู้เศร้าสร้อย นางก็กลืนประโยคนั้นลงไป
หากแต่ใบหน้าของนางยังเต็มไปด้วยความกังวล
กู้เสี่ยวหวานมองดูท่าทางที่จริงจังของฉินเย่จือ และท่าทางลังเลของเกาเยว่เหมย นางก็เข้าใจบางอย่างได้ในทันที
“แม่นาง นายน้อย พวกเจ้าจะช่วยไป๋เอ๋อร์ของข้าใช่หรือไม่?” แม่เฒ่าเฉินเอ่ยขึ้น ดวงตาที่ขุ่นมัวของนางดูไร้จิตวิญญาณ
เมื่อมองไปเห็นท่าทางที่น่าสงสารของหญิงชรา หัวใจของกู้เสี่ยวหวานรู้สึกเจ็บปวดด้วยเหตุผลบางอย่าง
นางรีบกุมมือของหญิงชราไว้แล้วเอ่ยปลอบโยน “ท่านยาย ท่านไม่ต้องกังวลไป เราจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยลูกชายของท่านออกมา”
เรื่องนี้ยังคงเป็นเพียงแผนการระยะยาว อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับตระกูลเจียงที่มากด้วยอำนาจและมั่งคั่งที่สุดในเมืองหลิวเจีย อีกทั้งคนผู้นั้นยังเป็นถึงผู้นำของตระกูลเจียง เรื่องนี้จึงไม่สามารถแก้ไขได้ในชั่วข้ามคืน
แม่เฒ่าเฉินเองก็รู้ “แม่นาง ข้ารู้ว่าลูกชายของข้าทำให้นายท่านเจียงขุ่นเคืองใจ แต่หลังจากติดคุกมานาน เขาควรได้รับการปล่อยตัวไม่ใช่หรือ? เขาเพียงแค่พูดไปอย่างนั้นเอง”
ยามเผชิญกับอำนาจ สามัญชนธรรมดาต้องย่อมก้มหัวให้
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเจ็บแปลบในใจ แต่ทำได้เพียงพยักหน้า “ท่านยาย ท่านไม่ต้องกังวลไป หากข้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าจะรีบนำเรื่องนี้มาบอกท่านทันที” นางก็รับปากกับเกาเยว่เหมยและแม่เฒ่าเฉิน
จากนั้นก็วางเครื่องนอนที่หอบมาลงบนเตียงและให้เงินกับเกาเยว่เหมย โดยบอกว่าให้เก็บเงินนี้เอาไว้ซื้ออาหารและยาให้แม่เฒ่าเฉิน
ในขณะที่เกาเยว่เหมยอยู่ในอาการตกตะลึง พวกกู้เสี่ยวหวานก็จากไป
นางไม่ได้บอกแม่เฒ่าเฉินว่าได้นำเครื่องนอนมาให้
หลังจากที่ทั้งสามคนจากไป เกาเยว่เหมยก็ปูเตียงให้แม่เฒ่าเฉินใหม่ หลังจากที่แม่เฒ่าเฉินเอนกายนอนลง นางก็รู้สึกว่าผ้าห่มที่คลุมร่างกายของนางหนาขึ้นกว่าเดิมจึงรู้สึกสงสัยเล็กน้อย นางเอ่ยกับเกาเยว่เหมยว่า “เยว่เหมย เจ้าเอาของมาจากบ้านอีกแล้วหรือ? เจ้าเด็กโง่ หากแม่เลี้ยงของเจ้ารู้เข้า นางได้ทุบตีเจ้าจนตายแน่ ๆ”
หลังจากพูดจบประโยค นางก็กำลังจะลุกขึ้นเพราะไม่ต้องการให้ผ้านวมเปรอะเปื้อน
เกาเยว่เหมยรีบห้ามนางพัลวัน และอธิบายว่า “ท่านแม่เฉินไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้นำสิ่งนี้มาจากบ้าน แต่เป็นสิ่งที่แม่นางกู้ทิ้งไว้ให้เมื่อครู่”
“ว่าอย่างไรนะ เมื่อครู่แม่นางกู้ทิ้งไว้ให้หรือ?” แม่เฒ่าเฉินรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้น จากนั้นก็นึกสะเทือนใจขึ้นมา
“นางยังทิ้งเงินไว้ห้าตำลึงเงิน โดยบอกว่าให้ซื้ออาหารอร่อย ๆ ให้ท่านกิน ทั้งยังบอกอีกว่าให้ไว้พาท่านไปหาหมอและจ่ายค่ายา” เกาเยว่เหมยเองก็รู้สึกสะเทือนใจไม่น้อย พอเจอกันครั้งแรกก็ให้เงินและให้เครื่องนอน แม่นางกู้ช่างเป็นคนดีจริง ๆ
“เด็กคนนี้นี่ เจ้ารับเงินของคนอื่นมาได้อย่างไร รีบเอาไปคืนนางเร็วเข้า!” แม่เฒ่าเฉินพูดอย่างรวดเร็วหลังจากได้ยินสิ่งนี้
“ท่านแม่เฉิน แม่นางกู้ต้องการให้ข้ารับมัน นางบอกว่าให้ท่านไปหาหมอ เพราะท่านสุขภาพไม่ดี ฉะนั้นท่านต้องดูแลสุขภาพให้ดีเพื่อรอพี่จื่อไป๋กลับมา” เกาเยว่เหมยร้องไห้ออกมาอย่างทุกข์ระทม
“ใช่แล้ว ข้ายังต้องรอไป๋เอ๋อร์กลับมา” หลังจากได้ยินเช่นนี้ แม่เฒ่าเฉินก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ข้ายังต้องรอไป๋เอ๋อร์กลับมา และยังต้องรอดูพวกเจ้าแต่งงานกัน” สิ่งที่แม่เฒ่าเฉินพูด ไม่ได้ทำให้เกาเยว่เหมยไม่รู้สึกเขินอายเลยแม้แต่น้อย
ครั้งเมื่อนางยังเป็นเด็ก นางได้จองตัวเฉินจื่อไป๋ไว้แล้ว
ทั้งสองเป็นคู่รักในวัยเด็ก และตอนนี้เมื่อพวกเขาโตขึ้น พวกเขาก็ยิ่งรักกันมากขึ้น
เกาเยว่เหมยคนนี้จะไม่แต่งงานกับใครนอกจากเฉินจื่อไป๋
ถ้าเป็นเช่นนั้น พี่จื่อไป๋คงไม่ได้คัดค้านสิ่งใด
เมื่อนึกถึงสิ่งที่กู้เสี่ยวหวานพูดกับชายหนุ่มผู้นั้น ความรู้สึกที่ไม่ดีพลันเกิดขึ้นในใจ
แต่นางทำได้เพียงแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ผู้หญิงมาโปรดราวกับพระโพธิสัตว์ที่มีชีวิตจริง ๆ” แม่เฒ่าเฉินถอนหายใจ สัมผัสผ้าห่มผืนหนาอย่างสะเทือนใจ
หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ ออกมาจากของบ้านแม่เฒ่าเฉิน พวกเขายืนอยู่ข้างนอกและมองย้อนไปยังชุมชนแออัดอันทรุดโทรม ในใจของพวกเขารู้สึกเศร้าเล็กน้อย
และระหว่างทาง ฉินเย่จือมีท่าทางนิ่งเงียบราวกับว่ากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
“พี่เย่จือ เป็นอะไรไปหรือ?”