บทที่ 849 มาถึงประตู
บทที่ 849 มาถึงประตู
ครั้นมองไปยังใบหน้าอันหล่อเหลาอันหาที่เปรียบไม่ได้ และชุดคลุมยาวตัวนั้น ฉินเย่จือดูดีมากเหลือเกิน ราวกับไม้แขวนเสื้อที่มีใบหน้าเย็นชา ทุกย่างก้าวของการเดินทำให้สตรีน้อยใหญ่แทบสิ้นสติ
กู้เสี่ยวหวานไปที่ร้านจิ่นฝูสองครั้งต่อสัปดาห์ ดังนั้นนางจึงรับรู้เรื่องนี้โดยธรรมชาติ
บางครั้งนางก็เอ่ยกับฉินเย่จื่ออย่างติดตลกเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่มันกลับกระตุ้นการอาการคันยุบยิบในใจของฉินเย่จือ ซึ่งทำให้กู้เสี่ยวหวานไม่สามารถทนได้อีกต่อไป นางร้องขอด้วยเมตตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และสาบานว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก
กู้เสี่ยวหวานเชื่อมั่นในฉินเย่จือ แต่ด้วยรูปร่างหน้าตาและความสามารถของฉินเย่จือ จะไม่สามารถหาผู้หญิงอย่างที่หมายปองได้เลยหรือ
นางไม่เชื่อว่าหญิงเหล่านั้นจะไม่สามารถดึงดูดเขาได้
ฉินเย่จือไม่จำเป็นต้องเข้าหาพวกนางก่อน และเกรงว่าจะเป็นสตรีกลุ่มเล็กเหล่านั้นฉุดรั้งเขาเอาไว้
อารมณ์ของฉินเย่จือยามปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนนั้นเย็นชาราวกับสายน้ำที่เย็นยะเยือก และบางครั้งเพียงแค่ใช้ดวงตาเรียวจ้องมอง ก็ทำให้รู้สึกถูกดึงดูดเข้าไปในธารน้ำแข็ง
นางเชื่อใจฉินเย่จือ หากแต่ไม่ไว้ใจคนอื่น
และไม่คาดคิดว่าจะมีคนไม่หวั่นเกรงสิ่งถึงใดจะปรากฏกายขึ้นหน้าประตูบ้าน ร้องไห้เอ็ดตะโร่ต้องการพบฉินเย่จือ
หญิงสาวผู้นั้นร้องไห้ราวกับดอกสาลี่ต้องหยาดฝนยืนอยู่ที่ประตูสวนกู้และไม่ยอมจากไป
แรกเริ่มเดิมที กู้เสี่ยวหวานสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของหญิงผู้นั้น ช่วงนี้ฉินเย่จือเดินทางไปมาระหว่างเมืองรุ่นเสียน ดังนั้นเขาจึงไม่อยู่บ้านเป็นธรรมดา เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินว่ามีหญิงมายืนร้องห่มร้องไห้อยู่หน้าประตูจึงเกิดความอยากรู้อยากเห็น ดังนั้นนางจึงตามทุกคนไปที่ลานบ้าน เมื่อเดินมาถึงก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่งยืนตัวสูงเท่ารั้วกำลังมองเข้ามาข้างใน ใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง และด้านหลังนางคือสาวใช้ส่วนตัว
เมื่อเห็นว่ามีคนออกมาจากข้างใน ดวงตาของเด็กสาวก็เปล่งประกายแห่งความสุข แต่เมื่อกวาดสายตามองซ้ายแลขวา แล้วไม่เห็นร่างสูงอันหล่อเหลาที่คุ้นเคย แววตาก็ฉายแววหดหู่อย่างชัดเจน
ป้าจางส่งเสียงร้องถามอยากใจดี “แม่นาง เจ้าเป็นอะไรไป เหตุใดถึงมายืนร้องไห้อยู่หน้าบ้านพวกเรา”
เมื่อเด็กสาวไม่เห็นคนที่ต้องการพบ พลันยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นไป และส่งเสียงร้องไห้ฟูมฟายเสียงดัง “ฮือ ๆๆ”
กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้วมุ่น เมื่อเห็นว่าเด็กสาวไม่เข้าใจมารยาทเลย จึงรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก และบอกอาโม่ที่อยู่ข้าง ๆ ว่า “อาโม่ ถ้านางยังร้องไห้อยู่ ก็จับนางโยนลงภูเขาไปเสีย”
อาโม่รับคำสั่ง และเตรียมจะก้าวไปข้างหน้า
เด็กสาวอายุประมาณสิบห้าหรือสิบหกปี ครั้นได้ยินว่ามีคนกำลังจะโยนนางลงจากภูเขาก็หยุดร้องไห้ทันที
จ้องมองเด็กหญิงตัวเล็กที่เอ่ยประโยคเมื่อครู่
เด็กหญิงตัวเล็กอายุไม่มาก แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าน่ากลัว
เด็กสาวคนนั้นไม่คิดว่าตนเองเป็นเด็กสาวที่โตแล้ว แต่ยังแสดงท่าทางเขินอายต่อเด็กสาวตรงหน้า ทั้งยังเชิดหน้าขึ้นและพูดอย่างเย่อหยิ่ง “พี่ใหญ่ฉินอยู่หรือไม่ ข้าอยากเจอพี่ใหญ่ฉิน”
เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินว่าานางมาหาฉินเย่จือ สีหน้าของนางพลันแย่ลงเรื่อย ๆ “เจ้ามาหาเขาด้วยเหตุอันใด?”
เมื่อเด็กสาวได้ยินสิ่งนี้ก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ หากแต่ยังพูดออกมาด้วยความมั่นใจ “คุณหนูของข้ามาหาเขา นับว่าเป็นโชคดีของเขาแล้ว”
“แล้วเจ้าเป็นใคร” กู้หนิงผิงโพล่งออกมาเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ เดิมทีเขาไม่ชอบหญิงที่ร้องไห้อยู่ตรงหน้าของตนเอง แต่หญิงคนนี้เขาบอกว่านางมาพบอาจารย์นับว่าเป็นโชคดีของเขา ด้วยท่าทางที่เย่อหยิ่งนั้น มันทำให้พวกเขาคิดว่าควรจะระมัดระวังเสียหน่อย
เมื่อเด็กสาวได้ยินใครบางคนถามว่านางเป็นใคร นางก็ยืดหลังตรงตั้งตรง พ่นเสียงเสียงเย็นชาและไม่สนใจจะตอบคำถามกู้หนิงผิง
สาวใช้ที่อยู่ข้าง ๆ เห็นดังนั้น จึงรีบแนะนำอย่างมีชัย “หึ เจ้ากล้าถามว่าคุณหนูของข้าเป็นใครงั้นหรือ ข้าเกรงว่าหากพูดไปเจ้าจะกลัวจนตาย นางเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลจ้าว”
คุณหนูใหญ่ตระกูลจ้าว
ไม่ใช่ว่าว่าตระกูลจ้าวมีคุณชายเสเพลจ้าวจื่อชงเพียงคนเดียวหรอกหรือ?
แล้วคุณหนูใหญ่มาจากที่ใด
เป็นไปได้หรือไม่ว่าภายในเมืองนี้ยังมีตระกูลจ้าวอีกตระกูล
“ตระกูลจ้าว ตระกูลจ้าวอะไรกัน?” ป้าจางไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของตระกูลจ้าวมาก่อน ดังนั้นนางจึงถามอย่างเป็นกันเอง
สาวใช้ได้ยินว่ามีคนไม่รู้จักตระกูลจ้าว ก็ได้คิดทันทีว่าคนกลุ่มนี้ล้วนเพิ่งย้ายออกมาจากหมูบ้าน คนในชนบทที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกจึงพ่นลมหายใจเย็นชา นางมองกู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ อย่างดูถูกเหยียดหยาม และพูดอย่างใจเย็น “นายท่านของข้าเป็นหนึ่งในคนที่ดีที่สุดในเมืองหลิวเจีย หากเขาไม่มีความสุข เพียงแค่เขากระทืบเท้าลงพื้น เมืองหลิวเจียทั้งเมืองก็จะสั่นสะเทือน”
ท่าทางที่เย่อหยิ่งและเจ้าเล่ห์นั้น ดูเหมือนว่านางซึ่งเป็นสาวรับใช้จะเคยชินกับการตามก้นเจ้านายเพื่อแสดงอำนาจของตน และท่าทางของของนางก็หยิ่งผยอง
คราวนี้หลังจากฟังแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็รู้แล้วว่าเป็นตระกูลจ้าวใด
ภายในเมืองหลิวเจียแห่งนี้ นอกจากตระกูลสามตระกูลจ้าวที่ไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองได้แล้ว จะยังมีผู้ใดกล้าทำเช่นนี้อีก
ฮูหยินให้กำเนิดลูกชายเพียงคนเดียว และแยกห้องกับจ้าวสวิ่นนับตั้งแต่นั้นมา
เด็กสาวร่างผอมบางตรงหน้านาง คาดว่าจะเป็นลูกคนที่สองที่เกิดกับภรรยาอื่น
อนุภรรยาของจ้าวสวิ่นเองก็โชคดี และอายุน้อยกว่าจ้าวจื่อชงเพียงสองปี สองปีต่อมาก็ให้กำเนิดลูกสาว
การมีลูกชายและลูกสาวทั้งสองทำให้จ้าวสวิ่นมีความสุขและเชื่อฟังอนุภรรยาผู้นั้นมากขึ้น
เมื่อมองไปที่คุณหนูใหญ่ตระกูลจ้าวตรงหน้าเธอ ก็พบว่านางค่อนข้างดูดี
ครั้นเห็นทรงผมมวยดอกบัวกลีบเมฆาของนาง ปักด้วยปิ่นระย้ารูปผีเสื้อสี่ตัวบนศีรษะ เนื่องจากอากาศอันร้อนอบอ้าว ในมือจึงถือพัดทรงกลมคอยพัดให้ความเย็น นางสวมใส่อาภรณ์สีแดง แม้ว่าตอนนี้จะเป็นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่ตอนกลางวันเช่นนี้อากาศก็ค่อนข้างร้อน วัสดุบนร่างกายนุ่มและลื่น การสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากวัสดุเช่นนี้ในฤดูร้อนจะทำให้ระบายอากาศได้ดี อีกทั้งยังเป็นตัวเลือกแรกของเหล่าคนมีเงิน
“พวกเรามาจากชนบท เป็นคนหยาบคาย และเราไม่รู้ว่าใครเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียง แต่เท่าที่ข้ารู้ ฮูหยินของนายท่านจ้าวให้กำเนิดลูกชายเท่านั้น และไม่เคยมีลูกสาว หรือคุณหนูใหญ่ท่านนี้คือลูกสาวที่อนุภรรยาของเขาคลอดมา อุ้ย ขอโทษที่ข้าไร้มารยาท” กู้เสี่ยวหวานเข้าใจถึงบรรทัดฐานของคุณหนูใหญ่ตระกูลจ้าว เมื่อเห็นท่าทางที่หยิ่งยโสของนางจึงมองนางในแง่ไม่ดี
ทันทีที่จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ได้ยินว่าเด็กหญิงตัวเล็กตรงหน้าเปิดเผยภูมิหลังของตน โดยบอกว่าตนเกิดจากอนุภรรยา ใบหน้าที่สวยงามของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีด้วยความอายและโกรธเคือง
“เจ้ากล้ามากนะที่มาดูถูกคุณหนูของข้า” เมื่อเห็นคุณหนูของตนโกรธเคือง สาวใช้ที่อยู่ข้าง ๆ ชี้หน้ากู้เสี่ยวหวาน และเอ่ยปากสาปแช่งนางทันที