บทที่ 866 ไม่มีความเป็นมนุษย์
บทที่ 866 ไม่มีความเป็นมนุษย์
ไม่ใช่ว่าเฉียนเหล่าซานไม่เคยติดคุก แต่เมื่อเขาได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานจะส่งพวกเขาทั้งหมดไปที่ศาลาว่าการในเมืองรุ่ยเสียน ก็รู้สึกหวาดกลัวเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
“พวกเจ้าสาม คนใครก็ตามที่พูดก่อน ใครที่พูดมากกว่า และใครที่พูดได้ดี เวลานั้นต่อหน้าเจ้าเมืองหลิว ข้าจะให้การที่เป็นประโยชน์สักหน่อย และช่วยให้พวกเจ้าติดคุกน้อยลงเล็กน้อย” กู้เสี่ยวหวานยกยิ้มราวกับว่านางกำลังสนทนากับคนในครอบครัว แต่เฉียนเหล่าซานและหลิวชิงซานกลับรู้สึกประหม่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉียนเหล่าซาน เขารู้ว่าหลิวชิงซานเคยเป็นอาเขยของกู้เสี่ยวหวาน ดังนั้นนางอาจจะไม่ปฏิบัติต่อเขามากเกินไป แต่ตัวเขาแตกต่างออกไป ตัวเองเป็นคนนอกและเคยทำให้นางขุ่นเคืองมาก่อน ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ต้องรีบพูดให้เร็วที่สุด
ดังนั้นเฉียนเหล่าซานจึงก้าวไปข้างหน้าและพูดก่อน “ข้าจะพูด ข้าจะพูด”
หูปาก็เช่น เขาก้าวขึ้นหน้าอย่างรวดเร็วและหยุดลงด้านหน้าของกู้เสี่ยวหวาน ดิ้นรนตะโกนโวยวาย “แม่นาง ข้าจะพูด ข้าจะพูดทุกอย่าง”
จากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็พูดทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แม้แต่หลิวชิงซาน เฉียนเหล่าซานและหูปาก็พูดทุกอย่างว่าพวกเขาร่วมมือกันอย่างไร พวกเขาสารภาพทั้งหมดออกมาอย่างชัดเจน
กู้เสี่ยวหวานที่อยู่ด้านข้างนั่งฟังอย่างตั้งใจ และเอ่ยถามเป็นระยะ ๆ หลิวชิงซานพูดจาเล่นลิ้นเป็นครั้งคราว แต่ภายใต้คำพูดของหูปาและเฉียนเหล่าซานที่โจมตีเขาครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็ต้องยอมรับมัน
หลังจากเฉียนเหล่าซานและหูปาอธิบายรายละเอียดทั้งหมดของเหตุการณ์นี้ กู้เสี่ยวหวานจึงพยักหน้า และในเวลานี้ กู้หนิงผิงที่อยู่ด้านข้างก็เขียนบางอย่างเสร็จและส่งไปให้กู้เสี่ยวหวาน “ท่านพี่ นี่คือสิ่งที่พวกเขาพูดเมื่อครู่ ข้าเขียนมันเรียบร้อยแล้ว และขอให้พวกเขาลงนาม เพื่อไม่ให้พวกเราเสียใจในภายหลัง”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าเห็นด้วย “ช่างสมเหตุสมผล”
จากนั้นก็ดูสิ่งที่กู้หนิงผิงเขียน และโดยพื้นฐานแล้วเป็นสิ่งที่เฉียนเหล่าซานและหูปาพูดเมื่อครู่ “อ่านให้พวกเขาฟัง จากนั้นลงนามเมื่อพวกเจ้าเห็นด้วย”
ไม่คาดคิดว่าแม้ว่ากู้หนิงผิงจะอายุน้อย แต่ก็ยังเฉลียวฉลาด ให้พวกเขาสารภาพความผิดทั้งหมดตอนนี้ เผื่อวันพรุ่งนี้ในโรงศาลบางคนอาจจะพูด และบางคนก็อาจจะไม่พูด
หลังจากกู้หนิงผิงอ่านแล้ว เฉียนเหล่าซานและหูปาก็ลงนามเพื่อจะรับคำให้การที่เป็นประโยชน์ของกู้เสี่ยวหวาน ลงนามเพื่อยืนยันว่าคำพูดเหล่านี้คือความจริง
เมื่อเห็นว่าเฉียนเหล่าซานและหูปาต่างก็ลงนาม แต่หลิวชิงซานที่อยู่ด้านข้างยังคงมีท่าทีนิ่งเฉย
เมื่อเฉียนเหล่าซานและหูปาเห็นว่าหลิวชิงซานไม่ลงนามหรือพูดอะไร จึงเกิดความกังวลเป็นอย่างมาก กลัวว่าหลิวชิงซานจะขัดขวางพวกเขา และเอ่ยสาปแช่งทันที “หลิวชิงซาน นี่คือสิ่งที่เราสามคนทำด้วยกัน เจ้าต้องรีบลงนามโดยเร็ว”
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย หลิวชิงซานก็จะไม่ทีวันลงนามเด็ดขาด หูปาจึงชี้ไปที่หลิวชิงซานด้วยความโกรธและด่าว่า “เจ้าเป็นคนขี้ขลาด หลิวชิงซาน กล้าทำแต่ไม่กล้ารับ เจ้ายังเป็นผู้ชายอยู่หรือไม่”
หูปาด่าหลิวชิงซานว่าไม่ใช่ผู้ชาย เมื่อถูกดูถูกเหยียดหยามเช่นนั้น หลิวชิงซานก็ยังคงดูเหมือนหมูตายที่ไม่กลัวน้ำเดือด และไม่ใส่ใจคำพูดของหูปาเลย
ในใจรู้สึกโกรธเครืองจนแทบอยากจะกินเนื้อของหูปาและเฉียนเหล่าซาน
พวกเขาขายตนเองไปหมดแล้ว
ในใจของหลิวชิงซานเกลียดชังแทบตาย และมองไปที่หูปาด้วยใบหน้าขุ่นเคือง “ถ้าพวกเจ้าอยากตาย ข้าจะไม่ห้าม แต่พวกเจ้าอย่าลากข้าไปตายด้วย”
กู้เสี่ยวหวานส่งสายตา หลิวชิงซานคนนี้ก็กำลังสร้างความสับสนให้กับผู้คนอีกครั้ง “อาโม่ เอาพวกเขาออกไปก่อน หลิวชิงซาน อย่าคิดว่าท่านเคยเป็นอาเขยของข้ามาแล้วจะไม่ยอมรับได้”
ในตอนแรก เฉียนเหล่าซานและหูปากังวลเล็กน้อย แต่หลังจากได้ยินคำพูดของกู้เสี่ยวหวาน พวกเขารู้สึกโล่งใจทันที
ไม่น่าแปลกใจที่หลิวชิงซานไม่ยอมรับ ความรู้สึกของเขายังคิดว่าตนเองเป็นอาเขยของกู้เสี่ยวหวานอยู่และแสดงพลังของเขาที่นี่
ป้าจางมองไปที่หลิวชิงซานและพูดอย่างไร้ความปรานี “หลิวชิงซาน หูปาและเฉียนเหล่าซานได้สารภาพมาหมดแล้ว เจ้าก็รีบพูดเสียสิ”
อย่างไรก็ตาม หลิวชิงซานไม่ได้พูดอะไรสักคำและจ้องมองไปที่ป้าจางอย่างเย็นชา โดยเอ่ยวาจาน่ารังเกียจออกมา “เจ้าคนตัวเหม็น ไม่ใช่เรื่องอะไรของเจ้า ข้าขโมยหรือไม่ขโมยแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า นี่ไม่ใช่บ้านของเจ้า การที่เจ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่ต่างอะไรจากคนรับใช้ที่คอยรับใช้ครอบครัวนี้”
“หลิวชิงซาน เจ้าหุบปากเสีย ป้าจางไม่ใช่คนรับใช้ นางคือครอบครัวของเรา” กู้ฟางสี่พูดเสียงดัง
หลิวชิงซานหัวเราะเสียงเย็น และกล่าววาจามุุ่งร้าย “ก็แค่คนรับใช้เท่านั้น ฟางสี่ ทำไมต้องตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น”
“หลิวชิงซาน” เมื่อเห็นว่าถูกหลิวชิงซานลามปามอีกครั้ง กู้ฟางสี่ก็โกรธเกรี้ยวแต่ไม่รู้จะพูดอะไร
นางโกรธมากและทำได้เพียงสาปแช่งเสียงดัง “หลิวชิงซาน เจ้าต้องไม่ตายดี!”
“เหอะ ๆ ไม่เคยได้ยินหรือ? คนดีมักอายุสั้น แต่คนชั่วกลับอายุยาวเป็นนับพันปี ใครจะไปรู้ว่าเจ้าจะตายก่อนหรือข้าตายก่อน”
หลังจากพูดจบ หลิวชิงซานก็พูดอย่างหดหู่ “ข้ามีภรรยาที่ดี แต่ชีวิตคู่ของข้าต้องพังลงเพราะเจ้า กู้เสี่ยวหวาน อย่าคิดว่าการที่ตอนนี้เจ้ามีเงิน เจ้ามีความสามารถมาก สามสิบปีอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ สามสิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ*[1] ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเจ้าในอนาคต เจ้าเป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีทรัพย์สินมากเช่นนี้ มันยากที่จะใส่ไว้ในมือของเจ้า แต่มันก็ยากเช่นกันที่จะมอบให้กับบุคคลภายนอก”
สิ่งที่เขาพูด ราวกับจะหมายความว่า ถ้าเจ้าไม่ให้ทรัพย์สินนี้แก่ข้า จะถูกบุคคลภายนอกเอาเปรียบได้
“หลิวชิงซาน…” กู้เสี่ยวหวานรู้สึกตลกเมื่อเห็นท่าทางที่เป็นธรรมชาติของหลิวชิงซาน
“ทรัพย์สินของข้า อย่าว่าแต่ไม่ให้คนอื่นเลย ข้าก็จะไม่ให้เจ้าเช่นกัน” กู้เสี่ยวหวานพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเป็นอะไรกับข้ากันล่ะ ตอนนี้เจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับครอบครัวกู้ของข้า อย่างมากที่สุดความสัมพันธ์ที่เจ้ามีกับครอบครัวกู้ของข้าก็มีเพียงเคยเป็นอดีตสามีของอาข้าเท่านั้น”
หลิวชิงซานโกรธมาก “เจ้าต้องการอะไรกันแน่ เลิกหลอกลวงคนอื่นได้แล้ว”
เมื่อกู้ฟางสี่เห็นว่าหลิวชิงซานทำผิดและเขายังคงดูหมิ่นคนที่นี่ นางจึงกล่าวด้วยความรู้สึกเศร้าอย่างมาก “หลิวชิงซาน เจ้ายังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่ สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะเจ้า และตอนนี้เจ้ากลับมาทำเหมือนว่าพวกเราติดหนี้เจ้า”
“กู้ฟางสี่ อย่าชะล่าใจไป เจ้าแค่ติดตามหลานสาวผู้มั่งคั่ง เจ้าเป็นดอกไม้ที่ถูกทำลาย*[2] เจ้าคิดว่าจะมีผู้ชายคนไหนต้องการตัวเจ้าอีก” หลิวชิงซานพูดอย่างโหดร้าย
เมื่อกู้ฟางสี่ได้ยินสิ่งนี้ นางก็ถอยหลังไปสองสามก้าว
นางมองไปที่หลิวชิงซาน สีหน้าของนางดูไม่ค่อยดีนักและใบหน้าก็ซีดเซียว เมื่อมองไปที่หลิวชิงซาน ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“กู้เสี่ยวหวาน อย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไป ถ้าเจ้ากล้าส่งข้าไปที่ศาลาวาการ วันหนึ่งหากข้าจะออกมา ข้าจะทำให้เจ้าไม่มีวันที่ดี กู้ฟางสี่ เจ้าก็อย่านิ่งนอนใจไปเสียล่ะ ข้าสักวันหนึ่งข้าจะทำให้เจ้ามาอยู่ภายใต้ข้า และร้องไห้หาพ่อแม่ของเจ้า”
เมื่อได้ยินวาจาอุกอาจของหลิวชิงซาน กู้เสี่ยวหวานก็ตบโต๊ะและลุกขึ้นยืน
ในขณะนี้ ความเย็นชาบนร่างกายของนางเป็นเหมือนเจ้าแห่งนรก ซึ่งทำให้ผู้คนไม่กล้าที่จะดูหมิ่นหรือทำให้ขุ่นเคือง
ในขณะนั้น หลิวชิงซานรู้สึกถึงความตายจริง ๆ
เขารู้สึกวิตกเล็กน้อย และมองเด็กหญิงตรงหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ
เห็นได้ชัดว่านางยังตัวเล็ก แต่ในขณะนี้ เขารู้สึกถึงการกดขี่และความเย็นชาอย่างท่วมท้นจากเด็กผู้หญิงคนนี้ ทำให้เขารู้สึกราวกับว่าพวกเขาตกลงไปในถ้ำน้ำแข็งและหนาวจนไม่สามารถลุกขึ้นได้
ดวงตาของกู้เสี่ยวหวานเต็มไปด้วยเย็นชาและมองไปที่หลิวชิงซานที่ตัวสั่นโดยไม่พูดอะไรสักคำ จากนั้นจึงพูดเบา ๆ ว่า “อาโม่ มัดมือและเท้าของเขา โยนเข้าไปในเล้าหมูข้างหลัง พรุ่งนี้เช้าส่งเขาไปยังศาลาว่าการให้ใต้เท้าหลิวตัดสิน”
ข้าจะถูกโยนเข้าไปในเล้าหมูหรือ? หลิวชิงซานตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น
และยังถูกมัดมือมัดเท้าอีก
ตอนนี้หลิวชิงซานเพิ่งตระหนักว่าอันตรายกำลังมา และร้องขอความเมตตาทันที “สาวน้อย ไม่เอา ไม่เอา”
เล้าหมูไม่ใช่ที่พักสำหรับผู้คน และถ้าเขาต้องอยู่ที่นั่นหนึ่งคืน… แค่คิดก็รู้สึกขยะแขยงแล้ว
แม้ว่าหลิวชิงซานจะเป็นอันธพาล แต่เขาก็เป็นอันธพาลที่รักความสะอาด
ไม่ได้มีชีวิตดั่งองค์ชาย แต่เขาก็มีนิสัยดังองค์ชาย
เขารักในความสะอาด ถ้าคราวนี้เขาถูกโยนเข้าไปในเล้าหมูมันไม่เหมือนกับเป็นการฆ่าเขาทางอ้อมหรือ?
หลิวชิงซานปฏิเสธ แต่กู้เสี่ยวหวานได้ตัดสินใจแล้ว และขอให้อาโม่พาเขาไปโดยเร็วที่สุด
เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานได้ตัดสินใจแล้ว หลิวชิงซานก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยให้อาโม่ลากตัวเขาออกไปอย่างแรง ราวกับว่ากระดูกของเขากำลังแตกสลาย
เขารู้ว่าถ้าเขาถูกคุมขังในศาลาว่าการจริง ๆ หมายความว่าเขาจะไม่มีอิสระ
หลิวชิงซานทั้งต่อยเตะและสาปแช่งว่า “กู้เสี่ยวหวาน กู้ฟางสี่ พวกเจ้าสองคนจะต้องไม่ตายดี!” จากนั้นพวกนางก็ไม่ได้ยินคำพูดที่น่าเกลียดของหลิวชิงซานอีก บางทีอาโม่อาจปิดปากของเขาไปแล้ว
ในขณะนี้มีผู้หญิงเพียงสามคนที่เหลืออยู่ในห้องโถง กู้เสี่ยวหวาน ป้าจาง และกู้ฟางสี่
ใบหน้าของกู้ฟางสี่ซีดเผือด กู้เสี่ยวหวานจึงรีบเข้าไปปลอบนาง “ท่านอา อย่าเศร้าไปเลย หลิวชิงซานคนนี้ทำอะไรไม่ได้หรอก ท่านอย่าไปฟังเขา”
จากนั้นกู้ฟางสี่ก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง ดึงแขนของกู้เสี่ยวหวาน และหยาดน้ำตาก็หลั่งรินกระทบหลังมือของกู้เสี่ยวหวาน “เสี่ยวหวาน ชาติที่แล้วข้าไปทำเวรกรรมอะไรไว้กัน ทำไมข้าถึงต้องแต่งงานกับคนไร้ยางอายเช่นนี้ด้วย”
ใช่แล้ว กู้ฟางสี่ทำเรื่องผิดอะไร หรือเป็นกู้ฉวนลู่ที่ทำเรื่องผิด
กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่าจะปลอบกู้ฟางสี่อย่างไร ดังนั้นนางจึงได้แต่กอดและลูบหลังเพื่อปลอบโยน “ท่านอา ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว โชคดีที่เราไม่เกี่ยวอะไรกับเขาอีกต่อไปแล้ว ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว”
*[1] อุปมาว่า เรื่องราวเปลี่ยนแปลงรุ่งเรืองตกต่ำไม่แน่นอน
*[2] ผู้หญิงที่มีมลทิน