บทที่ 914 ออกโรงด้วยตัวเอง
บทที่ 914 ออกโรงด้วยตัวเอง
กู้เสี่ยวหวานยังกล่าวอีกต่อไปว่า “อาจารย์ฝาง ข้าพบสิ่งนี้บนภูเขาของหมู่บ้านอู๋ซีโดยบังเอิญ ผลผลิตของมันมีจำนวนมาก เนื่องจากผลผลิตธัญพืชในปัจจุบันมีน้อย นอกเหนือจากการจ่ายค่าเช่าแล้ว ผู้เช่ายังสามารถเก็บผลผลิตที่ไว้ใช้กินได้อีกนาน แต่มันเทศนี้มีผลผลิตมากกว่าธัญพืชหลายเท่า โดยธรรมชาติแล้วพวกเขาจะไม่ยอมอดอยาก ข้าจึงหารือกับใต้เท้าหลิวเพื่อส่งเสริมการเพาะปลูกมันเทศนี้ และให้ผู้คนมีอาหารมากขึ้น และลดจำนวนคนจนลง”
สิ่งที่กู้เสี่ยวหวานพูดทำให้อาจารย์ฝางประทับใจมาก
ทุกช่วงชีวิตของเขาสามารถเรียกได้ว่าเป็นตำนาน
ช่วงชีวิตหนึ่งเคยสอนหนังสือแก่องค์ชาย ลูกชายของบัณฑิต และขุนนาง ถึงแม้ลูกศิษย์ของเขาจะมีจำนวนไม่มาก แต่ทุกคนล้วนเป็นผู้มั่งคั่ง
ผู้คนจากครอบครัวมั่งคั่งล้วนแต่ใช้ชีวิตอย่างเปล่าประโยชน์ และเต็มไปด้วยความทะเยอะทะยาน
ทั้งหมดที่เขาพบล้วนเป็นผู้ชาย นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเด็กหญิงบอกว่าเพื่อทำให้ชาวบ้านไม่ต้องอดอยาก นั่นทำให้หัวใจของอาจารย์ฝางเต้นระรัว
ครั้นมองสบตากู้เสี่ยวหวาน ความซาบซึ้งใจพลันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ
ไม่น่าแปลกใจที่คนผู้นั้นจะชอบเด็กหญิงคนนี้ คนผู้นั้นขึ้นชื่อเรื่องความดุร้าย และดูเหมือนว่าข่าวลือนั้นจะเป็นความจริง
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามีผู้ประสบภัยพิบัติมากขึ้นเรื่อย ๆ มันไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเขา ยิ่งกว่านั้น ผู้ประสบภัยพิบัติจำนวนมากรวมตัวกันนอกเมืองรุ่ยเสียนเพื่อสร้างปัญหา และทะเลาะวิวาทกับคนในท้องถิ่น หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เมืองรุ่ยเสียนจะกลายเป็นพื้นที่ภัยพิบัติจากผู้ประสบภัยเหล่านี้อย่างแน่นอน
“ท่านอาจารย์ฝาง สถานการณ์ปัจจุบันไม่ค่อยดีนัก หลังจากคุยข้าคุยกับแม่นางกู้แล้ว แม่นางกู้เสนอให้สร้างโรงทานเพื่อแจกจ่ายโจ๊ก ทางตะวันออกและตะวันตกของเมืองมีการสร้างโรงทานสำหรับผู้ประสบภัย ด้วยวิธีนี้นอกจากจะมีอาหารกินแล้ว ยังง่ายต่อการจัดการอีกด้วย เมื่อคืนนี้นอกเมืองจึงไม่มีเหตุการณ์ขโมยต้นกล้ามันเทศเกิดขึ้น”
เมื่ออาจารย์ฝางได้ยินเช่นนั้นจึงรู้ว่ากู้เสี่ยวหวานเป็นเสนอให้ตั้งโรงทานขึ้น ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะมองกู้เสี่ยวหวานอย่างพินิจพิจารณาอีกครั้ง
และเมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินว่าหลิวจือเสี้ยนไม่สนใจชื่อเสียงใด ๆ ต่อหน้าอาจารย์ฝาง และเล่าเรื่องนี้ออกมาอย่างตรงไหตรงมา นั่นยิ่งทำให้นางเชื่อใจหลิวจือเสี้ยนมากยิ่งขึ้น
หลิวจือเสี้ยนกล่าวต่อ “ข้าไประดมคนร่ำรวยและมีชื่อเสียงในเมืองเพื่อบริจาคเงินและอาหาร แม่นางกู้ในนามของร้านจิ่นฝูบริจาคเงินทันทีห้าร้อยตำลึง ครอบครัวอื่น ๆ บางครอบครัวก็บริจาคเล็กน้อยตามฐานะของพวกเขา แต่ยังมีบางคนมองแต่ผลประโยชน์ตรงหน้า และไม่ยอมให้เงินแม้แต่เหรียญเดียวกระเด็นออกจากกระเป๋า หากไม่บริจาคก็ไม่เป็นไร มีเงินก็ออกเงิน มีแรงก็ออกแรง ทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อข้ามผ่านปีแห่งภัยพิบัตินี้ไปให้ได้ แต่ใครจะรู้ว่าคนบางคน เฮ้อ…”
ครั้นคิดถึงเรื่องนี้ หลิวจือเสี้ยนก็พ่นลมหายใจอย่างไร้หนทาง
หลังจากฟังคำพูดขอหลิวจือเสี้ยนแล้ว อาจารย์ฝางจึงเกรงว่าสิ่งที่เขาไม่ได้พูดออกมาคงจะเป็นสิ่งที่ไม่น่าฟังเป็นอย่างมาก จึงไม่ได้บังคับให้เขาพูดต่อ
อาจารย์ฝางเองก็ไม่คาดคิดว่าเด็กหญิงคนนี้จะบริจาคเงินถึงห้าร้อยตำลึงเงิน นางช่างใจดีและมีคุณธรรมยิ่งนัก โนเวล-พีดีเอฟ
“ตอนนี้อาหารและเงินที่ได้รับจากการบริจาคจะอยู่ได้นานแค่ไหน” อาจารย์ฝางถาม
“คงไม่นานขอรับ อย่างมากก็อยู่ได้สามถึงห้าวัน ไม่มีการรับประกันว่าจะมีผู้ประสบภัยเพิ่มขึ้นอีกเท่าไร” หลิวจือเสี้ยนกล่าวด้วยความลำบากใจ
หลังจากอาจารย์ฝางได้ยินแล้วก็ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “ความคิดที่จะดูแลผู้คนของใต้เท้าหลิวและแม่นางกู้นั้นทำให้ข้ารู้สึกชื่นชมอย่างยิ่ง ทั้งสองไม่ต้องเป็นกังวลไป ตอนนี้ข้าอยู่ในเมืองรุ่ยเสียน โดยธรรมชาติแล้วข้าก็เป็นส่วนหนึ่งของเมืองรุ่ยเสียนเช่นกัน ความปลอดภัยของเมืองรุ่ยเสียนก็เกี่ยวข้องกับข้าด้วย ข้าจะบริจาคเงินห้าพันตำลึงเงินและอาหารหนึ่งพันต้าน*[1]”
เมื่อได้ยินว่าอาจารย์ฝางบริจาคเงินจำนวนมาก หลิวจือเสี้ยนและกู้เสี่ยวหวานต่างมองหน้ากันด้วยแววตาอันเต็มไปด้วยความตกใจ จากนั้นพวกเขาก็ยืนขึ้นและคำนับอาจารย์ฝาง “ขอบคุณอาจารย์ฝาง”
อาจารย์ฝางโบกมือพัลวันและพูดว่า “แม่นางกู้ยังเด็ก แต่นางเป็นผู้นำในการบริจาค หากข้าไม่บริจาค ด้วยความรู้สึกและทัศนคติเช่นนั้น ข้าก็คงจะไร้จิตสำนึกจนเกินไป ดังนั้นนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะไปรวบรวมเงินบริจาค ข้าอยากจะดูว่าคนเหล่านี้เมื่อเห็นผู้เฒ่าอย่างข้ามาขอเงินและอาหาร พวกเขาจะให้หรือไม่”
ไม่มีใครในเมืองรุ่ยเสียนไม่รู้เกี่ยวกับชื่อเสียงของอาจารย์ฝาง
เมื่อครั้งที่เขายังหนุ่ม เขาเป็นอาจารย์ที่สอนหนังสือให้กับราชวงศ์ หลังจากที่ถอนตัวออกจากราชวงศ์ เขาก็ได้สอนลูกศิษย์ ถึงแม้ว่าจะจำนวนไม่มาก แต่ก็ได้ยินมาว่าศิษย์ของเขาทั้งหมดกลายเป็นขุนนางระดับสูงในภายหลัง และพวกเขาก็มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมาก
เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดกล้าหักหน้าเขาอย่างแน่นอน
หลิวจือเสี้ยนตื่นเต้นมากจนพูดไม่ออก ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “อาจารย์ฝางยินดีที่จะออกมาด้วยตนเอง เมืองรุ่ยเสียนของพวกเรารอดแล้ว”
สิ่งที่ทำให้กู้เสี่ยวหวานและหลิวจือเสี้ยนตื่นเต้นยิ่งขึ้นคือ อาจารย์ฝางส่งจดหมายถึงฮ่องเต้ฉินทันที
ได้ยินมาว่าตอนนี้ฮ่องเต้ฉินเป็นผู้สำเร็จราชการแทน และครั้งหนึ่งเคยเป็นลูกศิษย์อาจารย์ฝาง เขาเขียนจดหมายเพื่อบอกถึงเรื่องภัยพิบัติดังกล่าวที่เกิดขึ้นในสถานที่ห่างไกลจาก ฮ่องเต้โปรดช่วยคนน่าสงสารเหล่านี้ด้วย
ตราบใจที่ราชสำนักทราบถึงสถานการณ์ภัยพิบัติที่นี่ การบรรเทาภัยพิบัติก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม
ยามพวกเขาออกมาจากบ้านของอาจารย์ฝาง หลิวจือเสี้ยนยังคงรู้สึกประหลาดใจ เขาอยู่ที่เมืองรุ่ยเสียนมาหลายปีแล้ว ได้ยินแต่ชื่อเสียงของเขามาก่อน แต่ไม่เคยพบเจออาจารย์ฝางตัวจริง
คราวนี้ไม่เพียงแต่ได้พบเจอเท่านั้น แต่ครั้งนี้ยังยื่นมือเข้ามาช่วยบริจาค
ครั้นคิดถึงสิ่งนี้ หลิวจือเสี้ยนก็รู้สึกเหลือเชื่อและบอกกับกู้เสี่ยวหวานว่าต้องทำสิ่งต่าง ๆ อย่างสมบูรณ์ ต้องไม่ให้เมืองรุ่ยเสียนกลายเป็นพื้นที่ภัยพิบัติ และต้องทำให้เมืองรุ่ยเสียนเป็นสถานที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ
เมื่อผู้ประสบภัยพิบัติมาถึงเมืองรุ่ยเสียนจะปราศจากความหิว ความกระหาย ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และผ่านพ้นปีภัยพิบัตินี้ไปได้อย่างปลอดภัย
อาจารย์ฝางเป็นคนที่รักษาสัญญา เขามาถึงศาลาว่าการเมืองรุ่ยเสียนในตอนบ่าย และร่วมมือกับหลิวจือเสี้ยนรวบรวมครอบครัวมั่งคั่งและมีชื่อเสียง
ครอบครัวมั่งคั่งเหล่านี้ยังได้ยินว่าหลิวจือเสี้ยนเรียกพวกเขาไปบริจาคอาหารและเงิน ก็รู้สึกเย้ยหยันและไม่ต้องการไป ต่อมาเมื่อได้ยินว่าอาจารย์ฝางอยู่ที่นั่น ทุกคนจึงไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป พวกเขาจะไม่ไปได้อย่างไร พวกเขารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและมุ่งหน้าไปยังศาลาว่าการเมืองรุ่ยเสียนทันที
พวกเขาไม่จำเป็นต้องไว้หน้าหลิวจือเสี้ยน แต่พวกเขาก็ไม่อาจทำให้อาจารย์ฝางขุ่นเคืองได้
อาจารย์ฝางท่านนี้คือใครกัน เขาเคยสอนหนังสือองค์ชายมาเชียวนะ ลูกศิษย์ของเขาเป็นผู้มั่งคั่ง มีชื่อเสียง และมากด้วยเกียรติยศ หากอาจารย์ฝางต้องตาและโปรดปรานพวกเขา จากนั้นสร้างความสัมพันธ์กับอาจารย์ฝางได้ ในอนาคตหากเกิดอะไรขึ้น ตราบใดที่อาจารย์ฝางเอ่ยปากก็ไม่มีเรื่องใดที่เขาทำไม่ได้
*[1] 1 ต้าน เท่ากับ 120 จิน
——————————————-