ไม่นานมู่เซินก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติของมู่หลิงเอ๋อร์ เมื่อเห็นนางหันกลับไปบ่อยๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหยุดเดินและหันไปมองทางที่นางมอง แต่ก็ไม่เห็นว่ามีอะไร จึงถามว่า “หลิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป?”
มู่หลิงเอ๋อร์สงสัยนิดหน่อยว่าตัวเองรู้สึกไปเอง ตอบในขณะที่ตาแดง “ผู้อาวุโส เมื่อครู่นี้เหมือนข้าจะเห็นคนคนหนึ่ง”
เห็นคนคนหนึ่งแล้วจะเป็นอะไรไป? มู่เซินแปลกใจ “เห็นใคร? คนของเผ่าทะเลหรือคนของคุณชายไป๋?” ถ้าเป็นที่นี่ เขาก็นึกไม่ออกว่ายังจะมีใครที่ไหนได้อีก
มู่หลิงเอ๋อร์ส่ายหน้า “เหมือนจะเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นเลย”
“คนแปลกหน้า?” มู่เซินขมวดคิ้ว “เป็นคนแปลกหน้าแบบไหน?”
มู่หลิงเอ๋อร์เงยหน้าครุ่นคิด แล้วตอบว่า “เป็นคนที่แปลกมาก เหมือนจะเป็นคนชั่วที่ชาวเผ่าเคยพูดถึง”
“คนแปลกหน้า? คนชั่วที่เผ่าเคยกล่าวถึง?” มู่เซินงงนิดหน่อย ไม่ค่อยเข้าใจ “หน้าตาเหมือนคนชั่วหรอ?”
มู่หลิงเอ๋อร์ใช้มือข้างหนึ่งวาดให้ดู “ศีรษะโล้น ไม่มีผม ใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่หลวม เหมือนพระที่คนในเผ่าเคยพูดถึง คนในเผ่าบอกว่าพระเป็นคนเลวทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระที่หน้าตาดีก็ล้วนเป็นคนหลอกลวง เมื่อครู่นี้คนที่ข้าเห็นก็เป็นพระที่หน้าตาดีมากคนหนึ่ง ไม่มีผม สวมจีวรสีขาวพระจันทร์…”
ตามรายละเอียดที่มู่หลิงเอ๋อร์บรรยาย บนใบหน้ามู่เซินเริ่มฉายแววตกใจกลัวทีละนิด มีเงาของพระรูปหนึ่งปรากฏในหัวเขา
มู่หลิงเอ๋อร์บอกว่านางอาจจะมองผิดไป อาจจะรู้สึกไปเอง แต่สำหรับมู่เซินแล้ว จะรู้สึกไปเองว่าเป็นใครก็ได้ ทำไมต้องหน้าตาเหมือนพระรูปนั้นขนาดนี้ แล้วดันไม่ใช่คนอื่นที่มองผิดไป แต่เป็นมู่หลิงเอ๋อร์
มู่เซินจ้องสิ่งที่เหมือนรูปสลักหินตรงอีกฝั่งของสะพาน นึกถึงเหตุการณ์ตอนที่รูปสลักหินปรากฏขึ้น อัสนีบาตสายหนึ่งผ่าภูเขาหินจนกลายเป็นเค้าโครงภาพคน จากนั้นมู่หลิงเอ๋อร์ก็ถือกำเนิดขึ้น หน้าตาก็ยิ่งเหมือนมู่น่าขึ้นทุกวัน ช่างเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์กลับชาติมาเกิดจริงๆ
ไม่นานมู่เซินก็จมอยู่ในความหวาดกลัว รีบจูงมือมู่หลิงเอ๋อร์กลับเผ่าปีศาจ แล้วก็รีบไปหาประมุขไป๋ที่ริมทะเล
ผ่านไปไม่นาน เงาคนสามคนก็เหาะลงมาจากฟ้า ประมุขไป๋ ประมุขปีศาจและมู่เซินเทียบลงตรงข้างหน้ารูปสลักหินรูปนั้นพร้อมกัน แล้วจ้องสำรวจรูปสลักหิน ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบโดยละเอียด พบว่าเป็นเพียงก้อนหินธรรมดาเท่านั้น ไม่มีความผิดปกติใดๆ
“หรือว่าหลิงเอ๋อร์จะมองผิดไป?” ประมุขปีศาจถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“จะบังเอิญขนาดนี้เชียวหรือ?” มู่เซินตอบ
ส่วนประมุขไป๋บอกให้เขาเชิญมู่หลิงเอ๋อร์เข้ามา
เพียงประเดี๋ยวเดียว มู่หลิงเอ๋อร์ก็ถูกพาตัวมาแล้ว ประมุขไป๋ถามเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด พอได้ยินว่ามีจุดแสงสีขาวอ่อนโยนตกลงบนรูปสลักหินประมุขไป๋ก็พลันหรี่ตา มู่เซินไม่เคยเห็นเหตุการณ์ที่ศีลแปดปรากฏตัวในศึกใหญ่ แต่เขากลับเคยเห็น
กระทั่งได้ยินว่ารูปสลักหินนั้นเหมือนจะคุยกับมู่หลิงเอ๋อร์ ก็ถามทันทีว่า “ลองนึกดูว่าเขาพูดอะไร?”
มู่หลิงเอ๋อร์ลองนึกย้อน แล้วตอบว่า “เหมือนเขากำลังบอกว่า…ข้าปรารถนาให้ร่างกายกลายเป็นรูปสลักหิน ทนผ่านฝนผ่านพายุมานับแสนปีเพื่อเจ้า อธิษฐานความสุขให้เจ้า ปกป้องให้เจ้าสงบสุขปลอดภัย…” หลังจากเล่าฉากที่ร้องไห้แล้ว ก็เผยอัญมณีโปร่งใสเปล่งแสงสลัวในฝ่ามืออีก
“เขายังไม่ยอมปล่อยวางอีกเหรอ?” มู่เซินเริ่มเผยสีหน้าโกรธแค้นอย่างที่ควบคุมได้ยาก แล้วจู่ๆ ก็โบกไม่เท้ากระทุ้งรูปสลักหิน
ประมุขไป๋คว้าไม้เท้าเอาไว้ ห้ามไม่ให้มู่เซินทำลาย ส่ายหน้าบอกว่า “ทุกอย่างผ่านไปแล้ว เขาไม่ได้มีเจตนาร้ายด้วย ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครขวางเขาได้หรอก”
มู่เซินเผยสีหน้าเจ็บปวด แต่มู่หลิงเอ๋อร์กลับถามว่า “เขา? เขาไหน?”
ประมุขปีศาจยิ้มอย่างอ่อนโยน ยื่นมือไปประคองศีรษะมู่หลิงเอ๋อร์มาไว้ในอ้อมกอด แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “หลิงเอ๋อร์เติบโตแล้ว ทุกที่ในโลกล้วนเป็นเจ้า ข้า เขา…” ขณะที่พูดก็พามู่หลิงเอ๋อร์เดินออกไป พูดคุยอย่างอบอุ่นตลอดทาง ขณะเดียวกันก็บอกใบ้ให้มู่เซินตามไปด้วย
ตรงหน้ารูปสลักหินเหลือเพียงประมุขไป๋ เขาจ้องรูปสลักหินที่มีร่องรอยอยู่นานมาก เขานึกไม่ถึงจริงๆ นึกว่าหลบอยู่ทางนี้แล้วฝั่งตำหนักสวรรค์จะไม่มีใครหาพบ นึกไม่ถึงว่ายังมีคนหาพบจนได้ อีกฝ่ายมีพลังอภินิหารลึกลับที่สุด เป็นเทพอย่างแท้จริง เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “พวกเราไม่อยากให้มีบุญคุณความแค้นอะไรอีก เจ้าบำเพ็ญพุทธธรรมไร้ขอบเขตสำเร็จแล้ว เหตุใดต้องลำบากมาเปื้อนกรรมอีก หวังว่าเจ้าจะอยู่ตรงนี้เพื่อเฝ้าปกปักรักษาวาสนารักในชาตินั้นของนางเท่านั้น…”
วังสวรรค์ที่ใหญ่โตมโหฬาร ตั้งตระหง่านเทียมเมฆ ทำได้เพียงมองจากที่ไกลๆ ไม่อาจเข้าใกล้ได้
ริมทะเลสาบที่อยู่ห่างจากวังสวรรค์ไม่ไกล บนทางเดินเล็กๆ เลียบทะเลสาบซึ่งอยู่ระหว่างร่มไม้ที่เขียวชอุ่ม ปานเยว่กง ชิงเหมย ฮวาหูเตี๋ยกำลังเดินไปข้างหน้าด้วยการนำทางของเทพธิดา ทั้งสามเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่ว ในใจรู้สึกกังวลที่สุด
ศาลาริมน้ำที่แกะสลักอย่างประณีตงดงามหลังหนึ่ง เหมียวอี้สวมใส่ผ้าดิบสีเทาทั้งตัว แต่งกายเรียบง่าย ตอนนี้กำลังยืนพิงระเบียง ข้างกายมีเทพธิดากำลังถือชามหยก เหมียวอี้เอามือหยิบแล้วโปรยให้อาหารปลาในน้ำอย่างส่งเดช ล่อปลาให้ว่ายน้ำมา แต่เห็นที่ผิวน้ำมีแสงวิบวับเป็นระยะ ปลาแต่ละตัวที่เปล่งแสงสีรุ้งกำลังเคลื่อนไหว ทำให้ผิวน้ำสีเขียวมรกตกระเบื้องเป็นวงกลมหลายวง
เทพธิดานำทั้งสามคนเข้ามาในศาลาริมน้ำ หรือย่อตัวคำนับ “ฝ่าบาท แขกมาแล้วเพคะ”
เหมียวอี้โยนอาหารในมือ แล้วโบกมือเบาๆ เทพธิดาที่นำแขกมาและเทพธิดาที่ถือชามหยกย่อตัวแล้วถอยออกไป
ขณะเดียวกันก็มีเทพธิดาอีกหลายคนกรูเข้ามา จัดวางสุราอาหารไว้บนโต๊ะ เดิมทีต้องการจะอยู่รอปรนิบัติ แต่เหมียวอี้หันตัวมาโบกมือให้ถอยออกไป
ในศาลาริมน้ำไม่มีคนอื่นแล้ว เหมียวอี้ที่หันตัวมายิ้มบางๆ
ปานเยว่กง ชิงเหมย ฮวาหูเตี๋ยทำความเคารพพร้อมกันทันที “คำนับฝ่าบาท!”
“เป็นสหายกันทั้งนั้น ตรงนี้ไม่มีคนนอก ไม่จำเป็นต้องเกรงใจมากพิธีรีตองขนาดนั้น ฮวาหูเตี๋ย พวกเราก็ไม่ได้พบกันเป็นครั้งแรกแล้ว” เหมียวอี้กล่าวกลั้วเสียงหัวเราะ นำทุกคนนั่งลง แล้วยื่นมือเชิญ “นั่งสิ ทุกคนนั่งเถอะ”
“มิบังอาจ!” ทั้งสามโค้งตัว มีหรือที่จะกล้านั่งเสมอกับราชันสวรรค์
เมื่อเห็นทั้งสามทำตัวสงบเสงี่ยมเกินไป เหมียวอี้ก็จำต้องเน้นเสียงให้หนักขึ้น “ข้าบอกให้พวกเจ้านั่ง ไม่ต้องเกรงใจ!”
แม้จะไม่ได้ใช้คำเรียกตัวเองว่า ‘เจิ้น’ แต่ทั้งสามก็ยังหัวใจกระตุกวูบ
ถึงแม้เหมียวอี้จะมีท่าทางเป็นกันเอง บารมีและพลังอำนาจที่อยู่ในกิริยาท่าทางจนฝังลึกเข้ากระดูกกลับทำให้คนเกรงกลัว
ทั้งสามนับว่าตัวหนักได้อย่างถึงที่สุดแล้ว ว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้ไม่ใช่หนิวโหย่วเต๋อที่รู้จักในปีนั้น ในตอนนั้นใครจะไปคาดคิดถึง ว่าทหารต่ำต้อยที่รู้จักกันในสถานที่ไร้ชีวิตจะกลายเป็นประมุขสูงสุดของใต้หล้า!
และสำหรับเหมียวอี้ การมาหาสามคนนี้ก็เป็นทั้งเรื่องที่เหนือความคาดหมาย และไม่เหนือความคาดหมาย
ตรงจุดที่เหนือความคาดหมายก็คือ เขาบังเอิญพลิกดูรายชื่อพรรคพวกที่เหลือรอดของอำนาจฝ่ายต่างๆ แล้วไปเห็นชื่อของฮวาหูเตี๋ยโดยไม่ได้ตั้งใจ ฮวาหูเตี๋ยนับว่าเป็นพรรคพวกที่เหลือรอดของตระกูลโค่ว เมื่อเห็นคำอธิบายประกอบของฮวาหูเตี๋ย ก็พบว่าอาศัยอยู่ที่เดียวกับปานเยว่กงและชิงเหมย
หลังจากเขาปกครองใต้หล้าแล้ว เขาก็เตรียมจะตอบแทนคนที่เคยช่วยเหลือเขา นึกย้อนไปถึงเรื่องในอดีต นึกถึงสองสามีภรรยาปานเยว่กงกับชิงเหมย เขามีช่องทางติดต่อด้วยระฆังดาราของสองคนนี้ ถึงได้ติดต่อไป แต่ใครจะคิดว่าติดต่อไม่ได้เลย เขานึกว่าสองสามีภรรยาจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับภัยพิบัติในใต้หล้าและไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว จึงนึกเสียใจทีหลังเป็นอย่างมาก
ส่วนเรื่องที่ไม่เหนือความคาดหมายก็คือ พวกปานเยว่กงไม่มีทางเลือกแล้วถึงได้เผยเบาะแส เมื่อประกาศกฎสวรรค์ฉบับใหม่ออกไป คนที่ไม่ลงทะเบียนรายชื่อเซียนก็จะถูกมองเป็นโจรกบฏ ถ้าไม่มีทะเบียนรายชื่อเซียนไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่สะดวก ดีไม่ดีอาจจะเสียชีวิตโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยก็ได้ ทำได้เพียงมาลงทะเบียนอย่างซื่อสัตย์ ถ้าไม่มาลงทะเบียน เหมียวอี้ก็หาพวกเขาไม่พบเช่นกัน
ครั้งนี้เรียกทั้งสามมาหาก็เพื่อระลึกถึงมิตรภาพเก่า เมื่อได้เป็นราชันสวรรค์หลายปีแล้ว ก็รู้สึกเหงาจริงๆ พบว่าข้างกายไม่มีสหายเลย ในเมื่อเป็นการระลึกถึงมิตรภาพเก่า เขาก็ไม่อยากให้ทั้งสามเกรงใจจนเกินไป เดิมทีอยากจะพบทั้งสามที่วังสวรรค์ แต่กลัวว่าจะทำให้ทั้งสามกดดัน จึงเปลี่ยนมาเป็นที่นี่ ทั้งยังตั้งใจเปลี่ยนชุดให้ดูเรียบง่ายด้วย
ทว่าดูจากท่าทีสงบเสงี่ยมของทั้งสาม ก็เหมือนจะไม่ได้ผลอะไรนัก
เพื่อที่จะทำให้ทั้งสามผ่อนคลาย เหมียวอี้จึงลุกขึ้นถือกาสุรารินให้ทั้งสามด้วยตัวเอง ผลปรากฏว่าทำให้ทั้งสามจะรีบลุกขึ้นยืน แล้วพูดซ้ำๆ ว่ามิบังอาจ!
เหมียวอี้เม้มริมฝีปากเล็กน้อย หลังจากรินสุราเสร็จแล้ว ก็บอกอีกว่า “นั่งลง!”
ทั้งสามนั่งลงอย่างระมัดระวัง เหมียวอี้จองสองสามีภรรยาพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าติดต่อพวกเจ้า ทำไมไม่ตอบรับ?”
คำถามนี้ทำให้ทั้งอกสั่นขวัญแขวน ปานเยว่กงตอบอย่างระมัดระวังว่า “เมื่อก่อนเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ข้าวของบนตัวถูกปล้นไปหมด จึงไม่สามารถติดต่อได้ขอรับ”
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ “เช่นนั้นพวกเจ้าก็สามารถเป็นฝ่ายติดต่อเจิ้น…ติดต่อข้ามาก่อนก็ได้นี่ ข้าเป็นเป้าหมายใหญ่ขนาดนี้ คงไม่ถึงขั้นตามหาข้าไม่เจอหรอกมั้ง แค่บอกว่าเป็นสหายของข้า เดี๋ยวเบื้องล่างก็คงรายงานให้ตรวจสอบเอง”
คำถามนี้จะให้ทั้งสองตอบอย่างไร? ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้าจะยังจำพวกเราได้หรือเปล่า อยู่ดีๆ พวกเราจะหาเรื่องใส่ตัวไปแอบอ้างว่าเป็นสหายของราชันสวรรค์ แบบนั้นจะเหมาะสมเหรอ?
“ฝ่าบาทยุ่งอยู่กับราชกิจจำนวนมาก มิบังอาจรบกวน” ปานเยว่กงตอบอย่างเกรงใจ
ถึงอย่างไรก็ถามไปถามมาอยู่อย่างนี้ คนพวกนี้ถามคำตอบคำ ห่างเหินสุดๆ ความกระตือรือร้นในการระลึกมิตรภาพเก่าของเหมียวอี้ก็ถูกน้ำสาดจนดับหมดแล้ว สุดท้ายก็ถามว่า “มีความลำบากอะไรต้องการให้เจิ้นช่วยพวกเจ้าแก้ไขหรือเปล่า?”
ปานเยว่กงส่ายหน้า “ฝ่าบาทปราดเปรื่อง ตอนนี้ใต้หล้าสงบแล้ว พวกเราเองก็ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีและผ่อนคลาย ไม่ได้ลำบากขนาดนั้น”
“มาที่ตำหนักสวรรค์เถอะ ข้าเตรียมตำแหน่งสามตำแหน่งไว้ให้พวกเจ้าเรียบร้อยแล้ว ไม่ขัดขวางชีวิตที่ผ่อนคลายอิสระเสรีของพวกเราหรอก ทั้งยังมีค่าจ้างประจำให้ด้วย สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบใจ” เหมียวอี้กล่าว
ปานเยว่กงรีบบอกว่า “พวกเราทำตัวหละหลวมจนเคยชินแล้ว ไม่คุ้นเคยกับกฎระเบียบ เป็นชาวนาอยู่ในหมู่บ้านหลังเขาจะดีกว่า”
เจตนาดีถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นได้ชัดว่าไม่อยากใกล้ชิดกับตน เหมียวอี้จึงสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย แต่ขานรับเหมือนไม่สนใจ “อ้อ” แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เห็นท่าทางเวลาพวกเขารับมือ ตัวเองก็เป็นทุกข์เหมือนกัน จึงพูดคุยตามมารยาทอีกพักหนึ่ง แล้วให้คนตบรางวัลให้ทั้งสามเล็กน้อย แล้วก็ให้ทั้งสามกลับไป
ขณะมองส่งทั้งสามจากไป เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ในศาลาก็กระดกสุราอีกหลายจอกต่อเนื่องกัน แล้วจู่ๆ ก็บอกว่า “ให้เซิงมู่เสวี่ยมาพบเจิ้น!”
ผ่านไปประเดี๋ยวเดียว เทพธิดาคนหนึ่งก็เข้ามารายงานว่า “ฝ่าบาท นายท่านเซิงบอก…เขาบอกว่า…เขาบอกว่าเขากำลังตกปลา ไม่มีเวลาว่าง ถามฝ่าบาทว่ามีธุระอะไรเพคะ?”
“หึ! ขอร้องให้เจิ้นปล่อยเมียเขาไป ทั้งอย่างหน้าด้านเกาะแกะขอให้เจิ้นเลื่อนตำแหน่งขุนนางให้เขา ตอนนี้ยังกล้าอวดดีต่อหน้าข้าอีก เจ้าหมอนี่ยิ่งนับวันจะยิ่งทำตัวไม่เข้าท่า ให้เกียรติแล้วยังวางมาด เจิ้นจะไปคิดบัญชีกับเขา!” เหมียวอี้หัวเราะแล้ว จู่ๆ ก็ยืนขึ้น ตอนนี้เพิ่งเดินออกจากศาลาริมน้ำ ก็หยุดเดินแล้วบอกว่า “เตรียมสุราไปด้วยหลายๆ ไห…”
เวลาผ่านไปอย่าเนิบช้า ดาราจักรกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ตำหนักสวรรค์ตั้งมาแล้วหนึ่งแสนปี!
ในอุทยานที่มีดอกไม้แปลกตานานาพันธุ์ ในศาลาเย็นหลังหนึ่ง อวิ๋นจือชิวท้องใหญ่กลมยื่นออกมา กำลังหยอกเล่นกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่แต่งกายซอมซ่อ เห็นได้ชัดว่าเด็กผู้หญิงคนนี้แต่งกายไม่เข้ากับสถานที่นี้เลย เหมือนมาจากครอบครัวยากจนในโลกมนุษย์
“กินสิ! ไม่เป็นไรหรอก เอาไปกินได้!” อวิ๋นจือชิวถือลูกท้อยื่นให้นางพร้อมรอยยิ้มอันอบอุ่น
เด็กผู้หญิงเก็บสองมือไว้ข้างหลังแล้วส่ายหน้า ท่าทางขี้ขลาดไม่กล้ารับไว้ แต่ในดวงตากลมโตที่ตาขาวและตาดำแยกชัดเจนกลับจ้องไปที่ผลไม้หลากสีที่มีกลิ่นหอมยั่วยวนในตะกร้าเป็นระยะ ทั้งยังแอบกลืนน้ำลายหลายครั้งด้วย
อวิ๋นจือชิววางลูกท้อกลับไปในตะกร้าผลไม้ แล้วใช้สองมือประคองท้องนั่งลงโดยมีเสวี่ยเอ๋อร์ประคอง แล้วบอกกับเด็กผู้หญิงด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นเจ้าอยากจะกินอะไรก็หยิบไปเองเลย อาหารที่นี่อร่อยมาก…”
เรียกได้ว่ากล่าวชมอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ยั่วให้เด็กผู้หญิงคนนั้นอดทนไม่ไหวแล้ว กอปรกับท่าทีของอวิ๋นจือชิวอ่อนโยนเมตตามากจริงๆ เด็กผู้หญิงเดินเข้ามาใกล้หน้าโต๊ะ หยิบบ๊วยลูกหนึ่งไว้ในมือ เมื่อเห็นอวิ๋นจือชิวพยักหน้าให้กำลังใจ เด็กน้อยถึงได้กัดผลไม้กินคำเล็กๆ อย่างขี้ขลาด พบว่าผลไม้ที่เข้าปากหอมหวานสดชื่นไร้ที่เปรียบ อร่อยกว่าผลไม้ชนิดใดที่ตัวเองเคยกินมาก่อน นางตาเป็นประกายทันที แล้วกัดกินต่อเนื่องอีกหลายคำ สวบกินอย่างตะกละตะกลาม
อวิ๋นจือชิวหัวเราะเบาๆ “ค่อยๆ กิน ระวังสำลัก ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก”
ในขณะนี้เอง เสียงของเหมียวอี้ก็ดังขึ้น “ตัวคนอยู่ไหน?” เขาเร่งฝีเท้าเดินออกมาจากแปลงดอกไม้
ผลปรากฏว่าเสียงของเขาทำให้เด็กผู้หญิงตกใจ ลูกบ๊วยที่ถือกัดอยู่ในมือตกลงพื้น นางหันกลับไปเห็นเหมียวอี้ที่ดูมีพลังอำนาจ ก็ยิ่งตกใจแต่หาไม่เจอที่หลบ จึงลนลานไปหลบอยู่หลังเสาต้นหนึ่ง ตอนนี้เหมียวอี้ดูน่าเกรงขามกว่าในปีนั้น ไว้หนวดยาวสามช่อแล้ว เป็นลักษณะของชายหนุ่มวัยกลางคน
อวิ๋นจือชิวทั้งโมโหทั้งอยากขำ ถลึงตาจ้องเหมียวอี้แวบหนึ่ง
เหมียวอี้มองลูกบ๊วยที่กลิ้งตกอยู่ตรงเท้า แล้วก็มองดูเด็กผู้หญิงที่ซ่อนตัวไม่มิด พร้อมเอียงน่าถามเบาๆว่า “แน่ใจนะว่าเป็นนาง?”
เหยียนซิวที่เดินตามอยู่ข้างกายพยักหน้า ตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัยเลยครับ เป็นนาง!”
เหมียวอี้เริ่มทำสีหน้าหลากหลายอารมณ์ปนกัน ค่อยๆ นั่งย่อเข่าเก็บผลไม้ที่มีรอยกัดขึ้นมา แล้วยื่นมือไปด้านข้างอีก มีเทพธิดามารับไว้ทันที แล้วมีเทพธิดาอีกคนยกถาดผลไม้เดินเข้ามายื่นให้
เหมียวอี้ถือถาดผลไม้เดินไปข้างกายเด็กหญิงคนนั้น แล้วนั่งยองๆ ส่งถาดผลไม้ไปตรงหน้านาง “ทำให้เจ้าตกใจเหรอ? เจิ้น…ข้าขอโทษเจ้าแล้วกัน ตกลงไหม? ผลไม้ถาดนี้ให้เจ้าหมดเลย”
เด็กน้อยใส่หน้าอย่าขี้ขลาด
เหมียวอี้ถามอีกว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
“เสี่ยวหนาน!” เด็กผู้หญิงตอบด้วยน้ำเสียงปวกเปียก
“เสี่ยวหนาน?” เหมียวอี้พยักหน้า “เป็นชื่อที่เพราะมาก อยากกลับไปหาท่านปู่กับท่านย่าของเจ้าไหม?” เขารู้มาจากปากเหยียนซิวว่าพ่อแม่ของเด็กผู้หญิงคนนี้ตายทั้งคู่ ตอนนี้อยู่กับปู่และย่า ฐานะครอบครัวไม่ดี
เสี่ยวหนานพยักหน้าซ้ำๆ
เหมียวอี้ถามด้วยรอยยิ้มอีกว่า “อยากรักษาอาการป่วยให้ปู่กับย่าของเจ้าไหม?”
เสี่ยวหนานพยักหน้าอีก แต่กลับก้มหน้าบ่นว่า “รักษาอาการป่วยต้องใช้เงินเยอะมาก ข้าไม่มีเงิน…”
“ข้าให้เงินเจ้าดีไหม?” เหมียวอี้กล่าว
เสี่ยวหนานเงยหน้า แล้วก็มองไปรอบๆ อีก ก่อนจะเบ้ปากบอกว่า “ท่านลุง บ้านท่านดูเหมือนจะมีเงินมาก แต่ข้าจะขอเงินจากคนอื่นส่งเดชไม่ได้หรอก”
เหมียวอี้วางถาดผลไม้ไว้ด้านข้าง แล้วยืนขึ้นจูงมือนางเดินออกไปนอกศาลา “ข้าไม่ให้เจ้าเปล่าๆ หรอก ต้องช่วยข้าทำงาน แล้วข้าจะจ่ายค่าแรงให้เจ้า”
เสี่ยวหนานที่ถูกจูงมือเดินไปพยักหน้าซ้ำๆ ทันที “ดีๆ ค่ะท่านลุง ไม่ว่างานอะไรข้าก็ทำได้ทั้งนั้น ข้าซักผ้าได้ ทำอาหารได้ ทำไร่ทำนาได้ เก็บกวาดทำความสะอาดได้ ข้ามีแรงเยอะมากด้วย” นางกลัวว่าลุงท่านนี้จะไม่จ้างนาง จึงพูดด้วยสีหน้าประจบเอาใจ
“ดี!” เหมียวอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เดี๋ยวจะหางานให้เจ้าลองทำสักหน่อย ถ้าเหมาะสม พวกเราค่อยคุยกันว่าจะให้ค่าจ้างเท่าไหร่ แบบนี้ดีไหม?”
“จริงเหรอคะ?”
“ถ้าเจ้าไม่เชื่อ ข้าจ่ายเงินค่าแรงเจ้าล่วงหน้าก็ได้”
เสี่ยวหนานกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ท่านลุง ท่านเป็นคนดีจริงๆ ขอบคุณค่ะท่านลุง!”
อวิ๋นจือชิวที่อยู่ในศาลามองส่งผู้ใหญ่กับเด็กค่อยๆ เดินจากไปไกล ได้ยินเสียงเหมียวอี้ดังแว่วมาว่า “ไม่ต้องขอบคุณ เจิ้นสัญญาว่าชีวิตชาตินี้ของเจ้าจะสมใจปรารถนา[1]!”
…………………………
[1] สมใจปรารถนา ตรงกับสำนวนจีน 称心如意[chèn xīn rú yì] ออกเสียงว่า เชิ่นซินหรูอี้