“ไม่นะ! เสียงร้องขอความเมตตาของแม่เฒ่าหวังดังโหยหวน
หวังหลิงหลับตาทั้งสองข้างลง เขากำลังรอให้มีดสั้นในมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยแทงลงมา
วิญญาณร้ายก้มหน้าหัวเราะพร้อมกับยกมุมปากขึ้นสูง
ถ้าพวกมันไม่ฆ่าข้าตอนนี้ ในไม่ช้าพวกมันทุกคนจะต้องตาย!
ดียิ่งนัก ทุกอย่างจะได้จบสิ้น!
แต่แล้วทุกคนก็ต้องประหลาดใจ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยตวัดสายตาไปทางอื่นอย่างกะทันหัน จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงดังตามมา!
ทันใดนั้นเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ผู้สุภาพเรียบร้อยก็ถูกมีดสั้นล้อมเอาไว้จากทั่วทุกทิศ จากนั้นมีดทุกเล่มก็พุ่งเข้าแทงนางพร้อมกัน!
มีดสั้นพวกนั้นแตกต่างจากมีดสั้นธรรมดาทั่วไป พวกมันเปล่งแสงแห่งธรรมออกมาเล็กน้อยราวกับจับอะไรบางอย่างได้
ดวงตาทั้งสองข้างของเหยียนหลิ่วเอ๋อร์เบิกกว้าง น้ำตาเม็ดโตกลิ้งลงมาตามแก้มของนางขณะที่นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า ”นี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“แม้กระทั่งตอนนี้เจ้าก็ยังคิดที่จะแสดงละครอยู่อีกหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหมุนมีดสั้นเล่มสุดท้ายในมือ ห่างออกไปทางซ้ายมือของนางมีสุนัขสีดำตัวหนึ่งนั่งอยู่
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์รีบหดคอกลับจนทุกคนสังเกตเห็นได้ ”ใต้เท้า ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดเรื่องอะไรอยู่ แสดงละครหรือ ข้าไม่ได้แสดงละครเสียหน่อย” ระหว่างที่พูด นางก็ชำเลืองมองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพร้อมกับขอร้องอย่างน่าสงสาร ”องค์ชายเพคะ หม่อมฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย ท่านช่วยหม่อมฉันด้วย!”
“ไม่รู้อะไรเลยหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย เวลานี้นางอยู่ห่างจากนางเพียงสองก้าว ”เจ้าเอาแต่เลี่ยงจุดที่อยู่เยื้องไปทางซ้ายของข้ามาตั้งแต่เมื่อครู่นี้ ยิ่งกว่านั้นเจ้าก็ยังเหลือบมองไปทางนั้นบ่อยๆ ด้วยท่าทางระมัดระวังอีกด้วย ความจริงเจ้าไม่ได้พยายามหลบหวังหลิง แต่กำลังพยายามหลบเสี่ยวเฮยอยู่ต่างหาก เสี่ยวเฮยไม่สามารถยืนยันตัวตนของเจ้าได้ แต่การกระทำของเจ้าก็อธิบายทุกอย่างได้อย่างชัดเจนแล้วว่าเจ้ากลัวเสี่ยวเฮย!”
เสียงร้องไห้ของเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ยิ่งฟังดูน่าสงสารขึ้นอีก น้ำตาของนางบดบังทัศนวิสัยขณะที่นางเอ่ยขึ้นว่า ”ตั้งแต่ที่ข้าถูกแม่เฒ่าหวังลักพาตัวมา ข้าก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเจ้าค่ะ ตอนนี้แม้กระทั่งเสียงลมเสียงหญ้า ข้าก็ยังกลัวเลยเจ้าค่ะ ไม่ใช่เพราะเสี่ยวเฮยที่ท่านพูดถึงแต่อย่างใด ใต้เท้า จะว่าไปแล้ว ใต้เท้าเคยถูกใครลักพาตัวหรือไม่เจ้าคะ ท่านรู้หรือไม่ว่ามันรู้สึกเช่นไร ข้าคิดว่าข้าคงได้ตายแน่แล้ว ข้านึกไม่ถึงเลยว่าพวกหลิงเอ๋อร์จะถูกแม่เฒ่าหวังที่เป็นเพื่อนบ้านของเราลักพาตัวไป ข้าไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำเจ้าค่ะว่านางจะฝืนใจข้า และบังคับให้ข้าเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลหวัง! หัวใจของข้าเย็นยะเยือกทันทีที่ข้าได้เห็นศพพวกนี้ ข้าพยายามร้องขอความช่วยเหลือสุดชีวิต แต่แม่เฒ่าหวังก็วางยาพิษไว้ในน้ำชาของข้า นอกจากความรู้สึกไร้กำลังแล้ว สิ่งเดียวที่ข้ารู้สึกได้ก็มีแต่เพียงความสิ้นหวัง แม้หวังหลิงจะเพียงแค่อยากช่วยท่านแม่ของเขา แต่ข้าก็ไม่เคยคิดเลยว่าหลังจากที่ข้ามอบความช่วยเหลือให้กับพวกเขาไปมากมายถึงเพียงนั้น แล้วพวกเขาจะตอบแทนข้าด้วยการหันคมดาบมาเช่นนี้! แล้วมาตอนนี้ ใต้เท้าก็ยังหันคมมีดใส่ข้าอีกหรือ ใต้เท้า ท่านไม่กลัวกรรมตามสนองเลยหรือไรเจ้าคะ”
“ข้าไม่กลัว” เฮ่อเหลียนเวยเวยแคะหูอย่างเกียจคร้าน จากนั้นนางจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”เพราะการกระทำของเจ้าดูไม่เหมือนกับคนที่เจอเรื่องสะเทือนใจมา ข้าคิดเอาไว้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นเจ้า ในสถานการณ์ปกตินั้น เหยื่อที่ถูกลักพาตัวจะมีปฏิกิริยาเฉพาะหลังจากได้รับการช่วยเหลือเนื่องจากพฤติกรรมจิตใต้สำนึกคนเรามักจะเร็วกว่าความคิด ยกตัวอย่างก็เช่น คว้ามือคนที่มาช่วย หรือไม่ก็โถมตัวเข้ากอดคนที่เข้ามาช่วยตัวเอง ในสถานการณ์เช่นนั้น คนเราคงไม่คำนึงถึงความแตกต่างทางเพศด้วยซ้ำ ตอนนั้นข้ายืนอยู่ใกล้เจ้ามาก แต่ไม่ใช่แค่เจ้าจะไม่เข้ามาหาข้า เจ้ากลับรีบเบนความสนใจไปที่แม่เฒ่าหวังแทน และนั่นดูไม่เหมือนกับพฤติกรรมของเหยื่อที่เพิ่งถูกช่วยเหลือ แต่เหมือนกับเป็นการกระทำที่ผ่านการคิดทบทวนมาอย่างถี่ถ้วนแล้วมากกว่า”
ดวงตาของเหยียนหลิ่วเอ๋อร์แดงก่ำ นางดูไร้ที่พึ่งอย่างมาก ”ท่านบอกว่าการกระทำของข้าดูเหมือนผ่านการคิดทบทวนมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว แล้วหวังหลิงล่ะเจ้าคะ เขาปฏิเสธที่จะถอดชุดแต่งงานออก เรื่องนั้นไม่น่าสงสัยกว่าหรือ?!”
น้ำเสียงของเหยียนหลิ่วเอ๋อร์แหบแห้งขณะที่นางพูด หลังจากพูดจบ นางก็ร้องไห้ออกมา ถ้าใครมาเห็นนางเข้า พวกเขาจะต้องคิดว่าผู้หญิงคนนี้ช่างน่าสงสารยิ่งนัก
แต่โชคร้ายที่คนที่อยู่ตรงหน้านางคือเฮ่อเหลียนเวยเวย ”สาเหตุที่หวังหลิงปฏิเสธที่จะถอดชุดแต่งงานออกนั้นคนที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยตรงอย่างเจ้าย่อมรู้ดีกว่าข้ามิใช่หรือ เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าปราณแห่งความเคียดแค้นสามารถเคลื่อนย้ายตัวเองได้ตามใจ ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด ก่อนที่ชุดแต่งงานพวกนั้นจะถูกเผา เจ้าก็คงสามารถเคลื่อนย้ายตัวเองได้อย่างอิสระ เจ้าฉลาด และสามารถนำข้อได้เปรียบของตัวเองมาใช้ได้ยอดเยี่ยมทีเดียว และเมื่อเจ้าได้ยินว่าข้าตั้งใจจะระบุตัวเจ้า เจ้าก็รีบโวยวายขึ้นมาทันที ตอนแรกเจ้าสิงร่างเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ แล้วจากนั้นก็แบ่งปราณแห่งความเคียดแค้นส่วนหนึ่งไปควบคุมหวังหลิง แต่ร่างจริงของเจ้าก็ยังอยู่ในร่างของเหยียนหลิ่วเอ๋อร์มาตลอด เมื่อหวังหลิงเริ่มพูด ข้าก็จะเบนความสนใจไปที่เขาและเริ่มสงสัยเขาทันทีแทนที่จะเป็นหลิ่วเอ๋อร์ เมื่อเป็นเช่นนั้นเป้าหมายที่เจ้าตั้งไว้ก็จะบรรลุผล ตอนที่ชุดแต่งงานถูกเผา แม้มันจะกระทบต่อปราณแห่งความเคียดแค้นส่วนที่เจ้าแยกออกไป แต่ตราบใดที่ร่างจริงของเจ้ายังอยู่ในที่ปลอดภัย การสะสมปราณแห่งความเคียดแค้นใหม่ย่อมไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเจ้า”
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ดวงตาขึ้นสีแดงระเรื่อ นางกำมือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อยาวของตัวเองแน่น ”ท่านจะฆ่าข้าโดยอ้างอิงจากสมมติฐานพวกนี้หรือเจ้าคะ ท่านเคยคิดหรือเปล่าว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าท่านฆ่าผิดคน”
“ไม่มีคำว่าถ้า เพราะคนที่เป็นวิญญาณร้ายก็คือเจ้า” เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกมุมปากขึ้น แล้วยิ้มให้นางอย่างมีเลศนัย ”ข้าเดาว่าวินาทีที่เหยียนหลิ่วเอ๋อร์สวมชุดแต่งงาน เจ้าก็คงซ่อนตัวอยู่ในร่างของนางมาตลอด และทันทีที่พิธีจบลง เจ้าก็จะสามารถยึดครองร่างของนางได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าพวกข้าจะทำอย่างไร ก็คงไม่สามารถขับไล่เจ้าออกจากร่างของนางได้ แม่เฒ่าหวังฆ่าคนมามากก็จริง แต่นางไม่ชอบผู้หญิงพวกนั้นแม่แต่คนเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีโอกาสได้สิงร่างใคร จนกระทั่งในที่สุดเจ้าก็ได้พบกับเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เจ้ารีบลงมือทันที แต่เจ้าคิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาขัดขวางโอกาสทองครั้งนี้เข้า ดังนั้นเจ้าจึงทำได้เพียงสิงร่างเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ ซ่อนตัวอยู่หลังม่านของเตียงหลังนี้เพื่อสังเกตการเคลื่อนไหวของพวกเรา ข้าสังเกตเห็นม่านที่อยู่ข้างหลังแม่เฒ่าหวังได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าคุยกับนาง ทีแรกข้าคิดว่ามีอะไรซ่อนอยู่หลังพวกมันและทำให้ม่านยับ แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าไม่ใช่เพราะมีอะไรซ่อนอยู่ แต่เป็นเพราะเจ้ายืนอยู่ตรงนั้น และแอบฟังที่พวกเราคุยกันต่างหาก” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาด ”นอกจากนั้น เมื่อครู่นี้เจ้าก็สารภาพออกมาแล้วด้วยว่าเจ้าถูกแม่เฒ่าหวังวางยา แม้กระทั่งการร้องขอความช่วยเหลือก็ยังยากที่จะทำได้ ซึ่งนั่นหมายความว่ายาตัวนั้นจะต้องมีผลทำให้แขนขาของเจ้าอ่อนแรง และทำให้เจ้าไม่มีเสียง แต่เจ้ากลับดูไม่เหมือนคนที่โดนยาพิษเลยแม้แต่นิดเดียว ตอนแรกข้าไม่รู้เรื่องนี้ แต่ตอนนี้ในเมื่อเจ้าเป็นคนพูดออกมาเอง ข้าจึงมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าเจ้าคือวิญญาณร้าย!”
ทันใดนั้นร่างของเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ก็หยุดนิ่ง จากนั้นนางก็เริ่มหัวเราะออกมาเสียงดัง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งอย่างยากจะอธิบายได้ ”ข้าไม่คิดเลยว่าในบรรดามนุษย์จะมีอัจฉริยะอยู่ด้วย แต่เจ้าคิดว่าการใช้ความรุนแรงเช่นนี้จะกำจัดข้าได้หรือ ต่อให้มีตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอยู่ที่นี่ หรือต่อให้เป็นราชาแห่งนรกก็ไม่สามารถทำอะไรข้าได้! ฆ่าข้าไปพร้อมกับผู้หญิงคนนี้เสียเลยสิถ้าเจ้าแน่จริง!”