คำถามแรกของอวิ๋นอี่ก็พาหลี่เสียนอีย้อนกลับไปเมื่อ 18 ปีก่อน เธอต้องการรู้ว่าใครเปิดเผยข้อมูลของปรมาจารย์หุ่นเชิดให้กับมูลนิธิ
มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อนานมากแล้ว ย้อนไปตอนนั้นเรื่องของปรมาจารย์หุ่นเชิดเป็นความลับ ถึงไม่เก็บเป็นความลับพวกเขาก็หนีออกมาไม่ได้แต่ปัญหาคือมูลนิธิสามารถไปเฝ้าทางหนีของพวกเขาได้อย่างแม่นยำได้อย่างไร
คนของอีกโลก มูลนิธิรู้ข้อมูลของพวกเขาได้อย่างไร
หลี่เสียนอีมองอวิ๋นอี่ด้วยสีหน้านิ่งเฉย “เรื่องนี้ฉันคงบอกเธอไม่ได้ ก่อนที่ฉันยังไม่รู้จุดประสงค์ของนายไม่มีทางที่จะเปิดเผยเรื่องเก่าๆ อย่างจริงใจ เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นก็เป็นฝีมือของพวกนาย แล้วตอนนี้พวกนายมาพูดเรื่องพวกนี้ฉันจะเชื่อได้อย่างไร”
ทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีความเชื่อใจต่อกัน พวกเขาเป็นศัตรูกันมานานแล้วจู่ๆ จะให้คลายความแค้นภายในวันเดียวมันก็เป็นไปไม่ได้
อวิ๋นอี่ส่ายหน้า “ดูถ้านายยังไม่รู้ ข้อมูลที่อีกฝ่ายบอกพวกนายเป็นข้อมูลที่ผิด พวกเราไม่ได้มาเพื่อบุกรุกโลก บอกว่ากลับสู่โลกจะถูกต้องมากกว่า พวกเราไม่ได้คิดร้ายกับมนุษย์เลย
“ผิดเหรอ” หลี่้สียนอีตอบกลับนิ่งๆ “แล้วอะไรคือถูกจะเอาอะไรมายืนยัน”
“ฉันจะบอกเรื่องแรกก็คือ พวกเราไม่ได้มาจากดินแดนเนรเทศ” อวิ๋นอี่หัวเราะ “สถานที่หนึ่งมีพลังจิตวิญญาณมากมายจนเหลือเฟือ มีพื้นที่กว้างขวางแม้แต่พวกระดับล่างสุดก็ยังมีพลังที่แข็งแกร่ง แต่อีกที่หนึ่งกลับไม่มีพลังจิตวิญญาณแม้แต่น้อย สิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งจำนวนมากค่อยๆ สูญหายไปเพราะพลังจิตที่ถดถอยลง นายคิดว่าที่ไหนคือดินแดนในประเทศ มันคือโลกต่างหาก”
หลี่เสียนอีและคอรัลต่างตกใจ สิ่งที่พวกเขารู้คือปรมาจารย์หุ่นเชิดมาจากดินแดนเนรเทศและพวกเขาต้องการสร้างเส้นทางเดินทางมายังโลกให้แก่ราชาของพวกเขา มันคือบทเอเลี่ยนบุกโลกชัดๆ
ทำไมเรื่องเล่าถึงหักมุมแบบนี้ พวกเขาได้ยินจากปากของปรมาจารย์หุ่นเชิดว่าโลกคือดินแดนเนรเทศ!
“ในเมื่อโลกเป็นดินแดนเนรเทศแล้วพวกนายมาทำไม” หลี่เสียนอีขมวดคิ้ว
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกนาย พวกเราบอกไม่ได้เช่นกัน” พยัคฆ์จื๋อหัวเราะซื่อๆ “รู้มากไปไม่ดี”
ถึงใบหน้าจะเปื้อนรอยยิ้มแต่คำพูดกลับโอหังเช่นเดิม
อวิ๋นอี่หัวเราะ “ก่อนอื่นเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับโลก ดังนั้นนายไม่ต้องเป็นห่วงแต่ฉันสามารถบอกเรื่องอื่นให้พวกนายได้บ้างแต่ต้องเก็บเป็นความลับ”
เมื่อเธอพูดประโยคนี้จบเธอมองมาที่คอรัล คอรัลครุ่นคิด เธอรู้สึกว่าสายตาของอวิ๋นอี่แขวงบางอย่างเอาไว้
ตอนนี้เองอวิ๋นอี่ก็พูดขึ้นทันทีว่า “มันมีสาเหตุที่โลกบอบบางเช่นนี้ เมื่อก่อนพลังของธรรมชาติของมันไม่ได้อ่อนแอเฉกเช่นทุกวันนี้ ตอนนั้นพลังที่พลิกภูเขาถมทะเลยังไม่มีผลอะไรเลย”
หลี่เสียนอีพึ่งไปครูหนึ่ง มียุคนั้นด้วยหรือ แล้วทำไมเมื่อเนี่ยถิงเลื่อนสู่พลังเสินฉังจิ้งถึงไม่สามารถใช้พลังได้ ปรมาจารย์หุ่นเชิดพรุ่งนี้รู้ความลับโบราณมากมายแต่ความรู้ที่สืบทอดมาสู่มนุษย์เหมือนจะขาดช่วงไป
“มนุษย์มีรากฐาน โลกก็มีเช่นกัน โรคอ่อนแอเป็นเพราะมนุษย์ใช้กำลังถอนต้นไม้โลก รากของต้นไม้โลกนั้นลึกลงไปยังนรกชั้นเก้าสูงขึ้นไปสู่สวรรค์ชั้นฟ้าแต่เมื่อมีมนุษย์ถอนรากของต้นไม้และนำไปยังอีกโลกหนึ่ง โลกจึงเริ่มบอบบาง” อวิ๋นอี่เล่า
คอรัลอึ้งตกใจ เรื่องนี้…นั้นเกี่ยวข้องกับเธอ ถ้าเดาไม่ผิดแล้วก็ ต้นไม้โลกในมือเธอนั้น…ก็เป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้โลกที่ถูกนำออกไป
ที่แท้ที่อวิ๋นอี่มองมาที่เธอก็เพื่อบอกให้เธอเก็บอาการเอาไว้
ก่อนหน้านั้นตอนที่คอรัลใกล้จะตาย มีคนไม่มากนักที่รู้ว่าเป็นเพราะหอกกุงเนียร์แตกหัก หลังจากที่เธอได้รับต้นไม้โลกเธอก็ไม่ได้บอกแก่โลกภายนอกว่าเธอฟื้นคืนมาได้อย่างไร ดังนั้นโลกภายนอกจึงไม่รู้ว่าต้นไม้โลกอยู่ในมือของเธอ
แต่…ก่อนที่ต้นไม้โลกจะถูกมอบให้เธอทำไมถึงไปอยู่ในมือของหลี่ว์ซู่ได้
เมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลี่ว์ซู่ คอรัลจึงตัดสินใจเงียบต่อไป แต่คอรัลรู้ดีว่าต้นไม้โลกอยู่ในมือเธอ เธอเคยเข้าไปยังโลกที่เอาไว้ปกป้องต้นไม้โลกและสัมผัสถึงพลังของต้นไม้โลก
แต่ละครั้งที่เธอเห็นต้นไม้สูงใหญ่และอ่อนโยนต้นนั้น เธอมักสงสัยต่อเทพนิยายโบราณว่าในอดีตมีเผ่าพันธุ์นับหมื่นอาศัยอยู่บนต้นไม้นี้ร่วมกันอย่างสงบสุข
ใบไม้ใบเดียวของต้นไม้โลกยังมีขนาดใหญ่กว่าตัวคอรัล งั้นเป็นของวิเศษที่แท้จริง
ยิ่งกว่านั้น คอรัลก็เชื่อว่าต้นไม้โลกเคยถูกถอนออกไปเพราะเธอเคยเห็นรากที่แตกหักใต้ต้นไม้โลก และข้างบนยังมีร่องรอยดินเก่าเหลืออยู่
ในตอนนี้หลี่้สียนอีประหลาดใจมาก ที่แท้ความจริงของโลกเป็นเช่นนี้ แต่ยอดฝีมือแบบไหนถึงสามารถถอนรากต้นไม้โลกได้? ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริงมันจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก!
หลี่เสียนอีคิดอะไรขึ้นได้บางอย่าง มันเป็นฝีมือของราชาทของพวกเขาใช่ไหม ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็ไม่มีใครสามารถขวางเขาได้ถ้าหากเขาจะมาที่โลก!
“ฉันจะเชื่อที่พวกเจ้าพูดว่าเป็นความจริงได้อย่างไร? เรื่องมันเกิดมานานแล้ว! ” หลี่เสียนอีพูด
จากนั้นอวิ๋นอี่ยิ้และหันมองคอรัล คอรัลนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง “มันเป็นความจริงแต่ฉันไม่สามารถพูดว่าฉันรู้ได้อย่างไร”
เพราะมันเกี่ยวกับหลี่ว์ซู่…หลี่เสียนอีเชื่อใจคอรัล ดังนั้นเมื่อเธอเอ่ยปากกินยันเขาจึงเกือบเชื่อทั้งหมด
อวิ๋นอี่ถามด้วยใบหน้านิ่งเฉย “ในตอนนั้นพวกของเราคนหนึ่งอยู่รั้งท้ายเพื่อขวางทาง พวกนายมันใส่ไหมว่าเขาตายแล้ว”
หลี่เสียนอีขมวดคิ้ว “แน่นอน พวกเรา 6 คนร่วมมือกันกำจัดเขา”
“แล้วศพของเขาอยู่ที่ไหน” อวิ๋นอี่ซัก
“มันหายไป” หลี่เสียนอีส่ายหน้า “ไม่ใช่คนของพวกนี้เอาศพไปเหรอ ในตอนที่พวกเรากลับไปหาศพมันก็หายไปแล้วแต่มีเรื่องประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง รอยเลือดบนพื้นก็หายไปด้วยมีเรื่องแปลกมากมาย”
“มีคนรู้เรื่องนี้กี่คน” อวิ๋นอี่ถาม
“รวมฉันด้วยทั้งหมดแปดคน” หลี่เสียนอีเชื่อเรื่องที่อวิ๋นอี่พูดหลายอย่างจึงตัดสินใจบอกความลับบางอย่างไป
“คนอื่นตอนนี้อยู่ที่ไหน”
หลี่เสียนอีย้อนความจำสักพัก “เวลามันนานมากแล้ว พวกเขาบางก็ป่วยตาย บ้างก็เกิดอุบัติเหตุ ตอนนี้เหลือแค่ฉันคนเดียว”
“พวกนาย…มั่นใจว่าเขาตายแล้วหรือ” อวิ๋นอี่ขมวดคิ้ว “หรือพวกนายมั่นใจว่าฆ่าเขาในชีวิตจริงตายไปแล้วไม่ใช่ในความฝันของพวกนาย”
ความฝัน! หลี่เสียนอีคิดหนัก
บางครั้งตอนที่ผู้คนหัวเราะคนอื่นและถามว่า นายอยู่ในความฝันหรือ
แต่หลี่เสียนอีรู้ว่าอวิ๋นอี่ไม่ได้หัวเราะเยาะเขา แต่…เธอกำลังยืนยันความจริงกับเขาอย่างจริงจัง!
“เขามีชื่อว่าเจ๋อเมิ่ง” พยัคฆ์จื๋อพูด “เขาถนัดในการสร้างความฝัน สามารถดึงคนที่ยังสติเข้าสู่ความฝันได้ง่ายๆ “