การที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน
ซึ่งรับรู้ได้จากลางสังหรณ์และสาเหตุบางอย่าง
กล่าวอีกนัยนึงเลยก็คือมันจะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอนที่ไม่ใช่จากความบังเอิญ
ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง
—-เพราะงั้นถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับผมก็คงดี
“ยินดีต้อนรับครับ คุณลูกค้าต้องการจะรับเมนูอะไรเหรอครับ”
เวลาลูกค้าเข้ามาผมก็มักจะยิ้มให้เสมอถึงมันอาจจะดูแปลกไปหน่อยก็เถอะถ้าผมเป็นคนพูดเองแต่ผมค่อนข้างมั่นใจในการปั้นหน้ายิ้มของตัวเองเลยนะในแง่ของการบริการ….ใช่แล้วครับ
สิ่งนี้แหละคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมของงานพาร์ทไทม์นี้
ถึงแม้นั่นจะไม่ใช่ใจจริงก็ตามแต่คุณก็ยังได้เงินถึงแม้คุณจะเจอลูกค้าที่หน้ารำคาญแค่ไหนคุณก็ยังหาเงินจากพวกเขาได้
เพราะงั้นในขณะที่ทำงานผมจะไม่ทำตัวขี้เกียจเพราะแค่ขยันเพิ่มนิดหน่อยก็ได้เงินเพิ่ม แล้วการทำแบบนี้ก็ดีกว่าเอาเวลาไปอ่านหนังสือตั้งเยอะ
แต่ถึงแบบนั้น….รอยยิ้มของผมในตอนนี้มันไม่ใช่รอยยิ้มที่แจ่มใสตามปกติแต่เป็นรอยยิ้มที่แข็งทื่อเป็นรอยยิ้มที่ใครดูก็รู้ว่ารอยยิ้มแบบนี้มันเสแสร้งชัวร์ๆ
และถึงแม้ตัวผมอยากที่จะผ่านพ้นสถานการณ์ในตอนนี้ไปซักแค่ไหนแต่ก็ทำได้แค่ฝืนยิ้มเท่านั้น
สาเหตุที่ผมเป็นแบบนี้เลยก็คือ—-
“ค่ะ ฉันขอสั่งแฮมเบอร์เกอร์เซ็ต A กับเฟรนช์ฟรายไซส์ L ส่วนเครื่องดื่มของเป็นชามะนาวนะคะ”
เสียงของลูกค้าคนนี้เป็นเสียงที่คุ้นเคยเหมือนเพิ่งจะได้ยินเมื่อไม่นานมานี้
ใช่แล้วครับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมก็คือ วาคามิยะ ริน เทพธิดาของโรงเรียนผมเองและก็เป็นคนเมื่อวานที่ผมเดินไปส่งเธอที่บ้านด้วย แต่ว่านะ ไหงคราวนี้เธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้เนี่ย
แปลก!! สถานการณ์ในตอนนี้มันแปลกเกินไปแล้ว
มันเป็นเรื่องบังเอิญเหรอ? ไม่น่าจะใช่ แล้วเธอต้องการอะไรละ? หรือเธอมาที่นี่เพื่อจะมาบอกผมว่าให้เก็บเรื่องเมื่อวานเป็นความลับเหรอ?
ผมไม่เข้าใจเลยนอกจากนี้เธอก็เอาแต่ดูมือถือไม่แม้แต่จะเหลือบมองมาที่ผมเลยด้วยซ้ำ
ทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็คงจะเดาได้คร่าวๆแล้วว่าเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นในที่ทำงานพาร์ทไทม์ของผมและในตอนนี้ผมก็ใส่ชุดและหมวกของงานพาร์ทไทม์อยู่ซึ่งมันเป็นเครื่องแบบทั่วๆไปตามฉบับของร้านอาหารฟาสต์ฟู๊ด
หรือว่าบางทีเธออาจจะแค่มากินอาหารตามปกติเท่านั้นเพราะเธอทำเหมือนไม่มีผมอยู่ในสายตาเลย
เฮ้อ..ถ้างั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย
ใช่แล้วล่ะ วาคามิยะเธออาจจะแค่มาหาอะไรกินเท่านั้น…ผมควรหยุดสงสัยได้แล้ว
หยุดคิดมากได้แล้วตัวเรา ผมกับเธอก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันด้วย…
จากนั้นผมก็สูดหายใจเข้าเล็กน้อยพร้อมกับปรับสีหน้าไปด้วย
“ขอบคุณนะครับ แฮมเบอร์เกอร์ชุด A เฟรนซ์ฟรายไซส์ L แล้วก็ชามะนาวถูกมั้ยครับ”
“ค่ะ”
“เข้าใจแล้วครับ ทั้งหมด 550 เยนครับ”
หลังจากที่วาคามิยะจ่ายเงินเสร็จ เธอก็หยิบถาดอาหารไปนั่งข้างหน้าต่าง
ผมพยายามที่จะไม่มองเธอแต่ตำแหน่งที่เธอนั่งมันดันอยู่ในระยะสายตาของผม
ต้องอดทนเข้าไว้ตัวเรา เดี๋ยวเธอกินเสร็จเธอก็กลับแล้ว
—หนึ่งชั่วโมงต่อมา
วาคามิยะได้นำอุปกรณ์การเรียนขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะพร้อมกับหนังสือเล่มหนาๆดูเหมือนว่าหนังสือเล่มนั้นจะเป็นวิชาคณิตศาสตร์จากนั้นเธอก็จดจ่อไปที่มันอย่างเต็มที่
อย่างที่คิดนักเรียนเกียรนิยมแบบเธอไม่ว่าที่ไหนก็เรียนได้สินะ สุดยอดไปเลย
แต่ถ้าเป็นผมนะถ้าเจอสภาพแวดล้อมแบบนี้ที่มีทั้งดนตรีแล้วก็คนคุยกันเต็มไปหมดผมคงทำไม่ได้แน่ๆ
การที่เธอมีสมาธิในที่แบบนี้ได้แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ในตัวเธอเลยละ
—สามชั่วโมงต่อมา
“ฉันขอโดนัทสองชิ้นกับกาแฟแก้วเล็กที่สุดหนึ่งแก้วค่ะ”
“เข้าใจแล้วครับ กาแฟไซส์ S สินะ ส่วนโดนัทจะเอารสชาติอะไรเหรอครับ”
“อืม…งั้นเอาแบบธรรมดาทั้งสองเลย”
“รวมทั้งหมดก็ 350 เยนครับ”
“เอ่อ…ฉันขอเพิ่มนมกับน้ำตาลอีกหน่อยได้มั้ยคะ”
“ได้ครับผม”
“ขอบคุณค่ะ”
—ห้าชั่วโมงต่อมา
“คุณลูกค้าครับ ตอนนี้ถึงเวลาที่นักเรียน ม.ปลายควรจะกลับแล้วนะครับ…”
วาคามิยะยังคงจดจ่ออยู่กับการเรียนจนถึงเวลา 4ทุ่ม ซึ่งเป็นเวลาที่นักเรียนม.ปลายควรจะกลับแล้ว ผู้จัดการร้านเลยขอให้ผมไปบอกเธอ
“เอ๊ะ? โทคิวากิซัง? อ่ะใช่ลืมไปเลยว่าคุณทำงานอยู่ที่นี่…ตอนนี้ก็ดึกแล้วด้วย..ไม่นะ ฉันไม่ทันระวังอีกแล้ว..”
“แล้วมัวทำอะไรอยู่ละนั่น…”
ทั้งที่เมื่อวานเธอก็เจอเรื่องแบบนี้แต่ก็ยังทำตัวสะเพร่าอยู่งั้นเหรอ…แถมนอกจากนี้เธอยังลืมการมีอยู่ของผมไปด้วยนี่มันทำเอาผมน้อยใจเลยนะเนี่ย
“แป๊บนึงนะคะ ฉันขอโทรบอกพ่อแม่ก่อน…”
บ้าน่ะความรู้สึกเดจาวูนี่มันอะไรกัน
หลังจากที่เธอกดโทรร่างกายของวาคามิยะก็กระตุกอยู่หลายครั้งดูเหมือนจะถูกดุอีกแล้วสินะ
“ขอโทษนะคะ โทคิวากิซัง วันนี้เองก็ช่วยไปส่งฉันที่บ้านได้มั้ย?”
วาคามิยะพูดออกมาทั้งน้ำตาดูเหมือนว่าครั้งนี้เธอจะถูกพ่อแม่ดุหนักกว่าเมื่อวาน
ผมที่ไม่สามารถปฏิเสธแววตาที่จ้องมองมาทางผมได้ผมจึงทำได้เพียงตอบตกลง
การที่ขอด้วยท่าทางแบบนั้นมันโคตรจะขี้โกงเลยนี่หว่า
********
วาคามิยะ(ไม่ได้พูด) : ทุกอย่างเป็นไปตามแผนเหลือแค่มอมยาแล้วพาเข้าห้อง ლ(◕ω◕ლ)