“ฟุว้าา~~ งืมๆ โทวะวันนี้นายนอนน้อยกว่าปกติงั้นเหรอ”
“ฉันไม่อยากโดนคนที่กำลังหาวพูดใส่แบบนี้หรอกนะ”
ผมมองไปที่คาโต้ เคนอิจิ ที่กำลังบิดขี้เกียจซึ่งเขานั้นเป็นเพื่อนร่วมชัันของผมที่มักจะชอบพาผมไปในทางบ้าๆบอๆ
ก็อย่างที่เขาว่ามานั่นแหละในตอนนี้อาการง่วงนอนเล่นงานผมหนักมากเหตุผลหลักๆเลยก็คือช่วงนี้ผมเข้านอนดึกน่ะ
ก็เพราะหลังจากที่ผมทำงานเสร็จมันก็ดึกมากแล้วแต่มันก็ช่วยไม่ได้ละนะ
ด้วยเหตุนี้แหละผมก็เลยรู้สึกง่วงในตอนที่มาโรงเรียนและไม่มีสมาธิกับการเรียนเลย
แต่ถึงอย่างนั้นตัวผมตามปกติก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนอะไรขนาดนั้นอยู่แล้วเพราะงั้นมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมากหรอก…
และที่เคนอิจิสามารถดูออกได้ว่าผมนอนน้อยกว่าปกติก็เพราะพวกเราอยู่ด้วยกันมานาน
ก็อย่างที่ว่ามาถึงในมุมคนอื่นจะเรียกความสัมพันธ์แบบนี้ว่าเพื่อนแต่จริงๆแล้วเราแค่อยู่ห้องเดียวกันมาตั้งแต่ประถมถึงมัธยมปรายแค่นั้นเอง เราไม่ได้มีความสัมพันธ์ถึงขั้นใช้เวลาร่วมกันหรอก
ใช่แล้วละพวกเราแค่ใกล้ชิดกัน
แล้วอีกอย่างสถานะทางสังคมที่พวกเราอยู่ก็แตกต่างกันมากเพราะเคนอิจิเป็นพวกหน้าตาดี ชวนคุยก็เก่ง ผมเลยให้เขาอยู่ในกลุ่ม A เคนอิจินั้นมักจะเป็นศูนย์กลางของการสนทนาอยู่เสมอและคนที่ผมคุยด้วยก็มีแค่เขากับอาจารย์เท่านั้น
ถ้าจะให้พูดว่าวาคามิยะเป็นคนดังเคนอิจิเองก็เหมือนกันเพราะคาแรคเตอร์ที่พูดกับคนอื่นไปทั่วของเขามันทำให้เคนอิจิเป็นที่รู้จักในโรงเรียน
ก็ไม่แปลกหรอก
ก็เขาทั้งดูดี บุคลิกก็สดใส ความฉลาดก็ไม่น้อยหน้าใครอีกทั้งเรื่องกีฬาก็เก่งอีกต่างหาก
และเหนือสิ่งอื่นใดเลยนะเขาเป็นคนที่เทคแคร์คนอื่นเป็นอย่างดีเลยละ
ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้มันมีด้วยงั้นเหรอฟระ
เหมือนจะมีคำพูดอยู่อย่างหนึ่งนะที่ว่า ‘สวรรค์ไม่สามารถประทานพรให้คนเราได้มากกว่าหนึ่ง’ ในความคิดของผมนะ เรื่องแบบนี้มันโกหกกันชัดๆดูเคนอิจิเป็นตัวอย่างสิ
และในช่วงพักกลางวันไอ้หมอนี่ก็มักจะส่งรอยยิ้มแปลกๆมาให้ผมทุกครั้งในตอนที่เราสบตากันก่อนที่เขาจะเดินมาหาผม หรือจะเป็นเพราะความสัมพันธ์อันใกล้ชิดในฐานะเพื่อนที่เป็นโดยไม่พึงปรารถนาของพวกเรา ผมละไม่เข้าใจในตัวของเขาเลยจริงๆ
พูดตามตรงนะเพื่อนของเขามีออกจะเยอะแยะไม่จำเป็นจะต้องมากินข้าวกับผมตลอดก็ได้แท้ๆ…
“เออใช่สิ ขอถามอะไรหน่อยเคนอิจิ”
“หืม? ได้สิ หายากนะเนี่ยที่นายจะถามฉันแล้วมีอะไรละ?”
เคนอิจิเอียงศีรษะด้วยความสงสัยส่วนสายตาที่ดูงัวเงียของเขาเมื่อกี้ก็หายไปราวกับว่ามันเป็นเรื่องโกหกแต่ตรงกันข้ามนัยน์ตาของเขากลับมีแสงระยิบระยับเป็นประกายออกมาแทน
แล้วไหงถึงมองมาที่ผมแบบนั้นละ?
“เออ คือ ช่วงนี้นายกับแฟนของนายเป็นไงบ้างอ่ะ”
“โอ้วววว!!! นายอยากคุยเรื่องความรักสินะ ได้สิๆ”
“อ่ะ ใช่ ใช่ เรื่องความรัก”
เมื่อเห็นเคนอิจิตื่นเต้นมากขึ้น ผมก็รู้สึกเกร็งโดยไม่รู้ตัว
แล้วอีกอย่างนะคุณเมิงจะเอาหน้ามาใกล้ทำหอกไรฟระ มันใกล้เกินไปแล้วเฟ้ย!!
ดูเหมือนว่าคนรอบๆข้างของพวกเราจะได้ยินการสนทนานี้พวกเขาเลยตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ
….ถ้าให้ผมเดาก็คงจะเป็นเพราะทุกคนเป็นพวกชอบฟังเรื่องความรักแล้วยิ่งเป็นเรื่องของพ่อหนุ่มรูปงามตรงหน้าของผมด้วยจึงทำให้พวกเขาสนใจละมั้ง
แล้วทำไมผมถึงถามแบบนี้น่ะเหรอ ก็เพราะผมมีบางอย่างที่อยากรู้น่ะสิ
“พวกเราเข้ากันได้ดีสุดๆเลยละและเมื่อวานพวกเราทั้งคู่ก็ออกไปเล่นกันด้วยละ”
“….ห๊ะ เล่น?”
“หือ? ฉันพูดอะไรผิดไปเหรอ? อ่า! ถ้านายไม่เชื่อละก็ฉันจะให้นายดูหลักฐาน!!”
หลังจากที่เขาพูดเสร็จเขาก็หยิบมือถือขึ้นมาจากนั้นก็เริ่มเลื่อนหารูปพลางผิวปากไปด้วย
“อืมม รูปไหนดีนะ…”
ดูเหมือนว่าในมือถือของเขาจะเต็มไปด้วยรูปถ่ายจากเมื่อวานถึงขนาดทำให้มือถือโหลดไม่ทันเลยทีเดียว นั่นสินะถึงยังไงเขากับผมก็ต่างกันมากเพราะในมือถือของผมนั้นก็มีแต่รูปแคปหน้าจอหลักที่เผลอแคปโดยไม่ได้ตั้งใจ
“นี่ๆ ดูสิ”
“อ่า ได้สิ”
ผมมองดูรูปถ่ายของเคนอิจิ
“เอ๊ะ….แฟนนายคือฟูจิซังเหรอ…?”
“ช่ายๆ รูปนี้เธอน่ารักสุดๆไปเลยใช่มั้ยล่าา ดูสิๆเธอดูมีความสุขมากที่ได้เล่นโบว์ลิ่งครั้งแรก~~ อ่ะดูนี่สิๆอันนี่ก็คือภาพไม่กี่วิต่อมา”
จากที่ฟูจิซังยิ้มรูปต่อไปที่เคนอิจิให้ดูเธอก็กลับมาทำสีหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นถึงฟูจิซังจะเป็นคนที่สวยมากก็เถอะแต่เธอก็มักจะปล่อยบรรยากาศที่ยากจะเข้าถึงออกมา
แต่มันก็เป็นหนึ่งในเสน่ห์ของเธอนี่นะ
“เอ๋ เหมือนเป็นคนละคนกันเลย”
“ใช่ๆฉันรู้ๆ ฉันชอบด้านแบบนี้ของเธอเนี่ยแหละ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็อยากให้ฉันลบรูปพวกนี้ทิ้งเพราะงั้นนายช่วยเก็บเป็นความลับหน่อยนะ”
“คร้าบๆ”
ผมตอบตกลงโดยไม่คิดอะไร
เพราะท้ายที่สุดเรื่องแบบนี้ก็คงหลุดไปถึงฟูจิซังแน่ก็เพราะคนรอบตัวพวกเราได้ยินหมดแล้วไงละทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับเวลาด้วยว่าจะไปถึงหูเธอเมื่อไหร่
เฮ้อ ช่างเค้าเถอะ
“นี่เคนอิจิ นายควรจะเซฟมันลงที่อื่นด้วยนะถ้านายอยากจะเก็บรูปพวกนี้ไว้…”
ด้วยความรู้สึกผิดที่ผมเป็นคนยกหัวข้อนี้ขึ้นมาผมจึงให้คำแนะนำเขาไป
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะ แต่ฉันเซฟไว้ในคอมที่บ้านแล้วละ ไม่ต้องห่วงๆ”
เคนอิจิกระซิบแล้วยิ้มออกมา
อ่า นี่มันก็เป็นหนึ่งในแผนของเขาสินะ เขาเลยจงใจพูดดังๆเพื่อกระจายข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องนี้
พอข่าวถึงหูฟูจิซังเธอก็จะมาลบรูปด้วยตัวเองและคงจะคิดว่ารูปนี้ถูกลบไปแล้ว ผู้ชายคนนี้ช่างร้ายกาจยิ่งนักข้าน้อยขอคาราวะ
“เคนอิจินายคบกับฟูจิซังมานานแค่ไหนแล้วเหรอที่ฉันได้ยินมานายไม่ได้คบกับฟูจิซังหนิแต่เป็นคนอื่น”
“น่าจะช่วงเดือนพฤษภาคมมั้งในช่วงโกวเด้นวีคอ่ะและข่าวลือแบบนั้นมันก็แค่เรื่องหลอกลวงมันไม่จริงหรอก”
“เอ๊ะ งั้นเองเหรอ”
“ใช่ ฉันไม่ได้คบกับ วาคามิยะ ริน และเดี๋ยวเรื่องที่พวกเราคุยกันมันก็ไปกลบข่าวนี้เองแหละ~~”
ใช่แล้วครับเรื่องที่ผมอยากรู้ก็คือเรื่องนี้นี่แหละ
[คาโต้ เคนอิจิ และ วาคามิยะ ริน กำลังคบกัน]
ข่าวลือนี้มันมีมานานแล้วละและถ้าหากว่ามันเป็นเรื่องจริงผมก็อยากจะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องระหว่างผมกับวาคามิยะให้เขาฟังและกล่าวขอโทษเขา
เพราะถ้าหากเคนอิจิมารู้เข้าทีหลังมันคงจะแย่เอามากๆและที่สำคัญมันก็ไม่ดีสำหรับผมเลยถ้าเคนอิจิจากกลุ่ม A มาเป็นศัตรูของผมในกรณีที่เลวร้ายที่สุดก็อาจจะเกิดการเข้าใจผิดว่าผมกำลังพยายามหาทางเสียบแฟนของเขา
แต่สุดท้ายมันก็เป็นแค่ความกังวลเกินเหตุของตัวผมเอง
“อะไรกันๆ เน่ โทวะ~~ หรือว่านายกำลังเล็ง วาคามิยะอยู่งั้นเหรอ~~ ถ้าอย่างงั้นก็สู้ๆนะฉันจะคอยซับพอร์ตนายเอง”
“ไม่ๆๆๆๆ ที่ฉันถามก็แค่สงสัยในข่าวลือเฉยๆ”
“อื้ม แต่นายรู้อะไรมั้ย ดูเหมือนว่าวาคามิยะยังโสดอยู่นะ”
“นายยิ้มแปลกๆแบบนั้นหมายความว่าไง…มันไม่ใช่จริงๆ แต่ถ้าเป็นนายจากกลุ่ม A ก็ว่าไปอย่างเพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับคนที่อยู่กลุ่มที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินอย่างฉัน”
“ทำไมนายถึงชอบถ่อมตัวจังเลยน้าาา”
“ก็เพราะอยู่ในชนชั้นล่างไงล่ะถึงต้องเจียมตัว”
“ฮ่าๆๆ เอาเถอะ ถึงยังไงฉันก็จะคอยซับพอร์ตนายนะโทวะ!!”
“ครับ ครับ”
ผมยิ้มอย่างฝืนๆให้กับเคนอิจิที่กำลังยิ้มแย้มอยู่แต่ว่ารอยยิ้มของเขาก็ได้หายไปทันทีหลังจากที่เห็นร่างของใครบางคน
“…..เคนอิจิ มานี่หน่อย”
“เอ๊ะ เดี๋ยวนะ!? โคโตเนะ!?”
(**ฟูจิ โคโตเนะ แฟนของเคนอิจิ)
“เดินทางปลอดภัยนะครับ~~~”
ผมโบกมือลาเพื่อนของตัวเองพร้อมกับรอยยิ้มที่ผมถนัดในตอนที่ทำงานพาร์ทไทม์
“คนทรยศ~!!”
เคนอิจิพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสารในขณะที่ถูกแฟนของตัวเองลากออกห้อง
ผมมองตามพวกเขาไปแต่ผมก็ได้เบือนหน้าหนีหลังจากที่สังเกตเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างประตู
“…ริน มาช่วยฉันพาไอ้บ้านี่ออกไปที ฉันจะสั่งสอนหมอนี่สักหน่อย”
“โคโตเนะจัง เธอก็รุนแรงไปแล้วนะฉันว่าเธอควรจะค่อยๆคุยกับเขาด้วยใจจริงมากกว่านะ..”
“…แต่สำหรับเด็กดื้อแล้วต้องโดนซะบ้างค่ะ ความรุนแรงเองบางทีก็เป็นหนึ่งในการแสดงใจจริงได้เหมือนกันนะคะ”
“ม่ายยน้าาาา ฉันอยากจะเก็บรูปนี้เอาไว้ฉันจะเก็บมันเป็นมรดกตกทอดของตระกูล”
ในตอนนี้เพื่อน(โดยไม่พึงปรารถนา)ของผมดูน่าสมเพชมากครับแต่ยังไงก็ตามสิ่งที่เขาทำนั้นก็เป็นหนึ่งในแผนการที่เขาวางไว้ ไอ้หมอนี่มันช่างน่าทึ่งจริงๆ
ผมแอบเฝ้าดูการสนทนาของทั้งสามอยู่ห่างๆแต่ชั่วขณะหนึ่งผมรู้สึกได้ว่าผมกับวาคามิยะสบตากัน….
ไม่สิเราต้องคิดไปเองแหงๆ