บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ – ตอนที่ 74 Defying The Odds

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

“นี่คุณเอริกะคิดสร้างอะไรขึ้นมาอีกแล้วกันคะเนี่ย…”

ในช่วงเช้าของอีกสองวันถัดมาไดเอน่าที่นั่งอ่านเอกสารอยู่ในห้องสภานักเรียนอยู่นั้นได้พูดบ่นขึ้นมาเบาๆ กับสิ่งที่ถูกเขียนไว้ในเอกสารที่เอริกะฝากคนส่งมันมาให้กับเธอก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาขัดการใช้ความคิดของเธอเอาไว้ก่อน

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

“เชิญค่ะ”

 

“ขออนุญาตนะครับคุณไดเอน่า”

 

“ว่าไงไดเอน่าจัง”

 

เด็กหนุ่มทั้งสองคนที่เข้ามาภายในห้องหลังจากได้รับคำอนุญาตนั้นก็คือทีออสและเดริคสองหนุ่มผู้ที่พาพวกนากาหนีออกมาจากกราวิทัสนั่นเอง ซึ่งในขณะที่ทีออสพูดทักทายไดเอน่าขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสุภาพนั้นทางด้านเดริคกลับพูดทักทายขึ้นมาด้วยท่าทางเป็นกันเองจนทำให้ทีออสต้องพูดเตือนเพื่อนของเขาไปในทันที

 

“น–นี่! อย่าเสียมารยาทสิเดริค!!”

 

“คิกคิก ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณทีออส เรื่องแค่นี้ฉันไม่ถือหรอกค่ะ”

 

“เฮ้อ… ถ้าคุณไดเอน่าว่าอย่างนั้นก็เอาตามนั้นละกันครับ… แล้วที่เรียกพวกผมมานี่เป็นเพราะว่าจะคุยเรื่องของเดริคเขาหรือเปล่าครับ?”

 

“ใช่แล้วค่ะ เพราะฉันคิดว่าคุณทีออสน่าจะได้รับชิ้นส่วนอะไหล่สำหรับหอนาฬิกาที่เมืองกราวิทัสไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้วใช่มั้ยล่ะคะ?”

 

“อ—เอ๋ะ? อ่า… มันก็ใช่แหล่ะครับ”

 

ทีออสที่ได้ยินไดเอน่าพูดถามกลับมาแบบนี้แถมยังรู้ว่าสิ่งของที่เขาต้องรอรับคืออะไรนั้นถึงกับชะงักไปเล็กน้อย เพราะว่าตอนที่พบกันก่อนหน้านี้เขาได้บอกไดเอน่าไปเพียงแค่ว่ามารอรับสิ่งของที่สั่งทำเอาไว้เพียงเท่านั้นโดยไม่ได้บอกไปว่ามันคืออะไรกันแน่

 

“คิกคิก ไม่แปลกใจไปหรอกค่ะคุณทีออส เพราะว่าพอมีเรื่องเกิดขึ้นที่เมืองต่างๆ ติดๆ กันแบบนี้ทางเราก็เลยจำเป็นที่จะต้องจับตาดูคนที่มาจากต่างเมืองแบบพวกคุณเผื่อเอาไว้ก่อนน่ะค่ะ”

 

“ง… งั้นเองหรอครับ… หวังว่าเดริคเขาคงจะไม่ได้แอบไปทำอะไรให้เกิดปัญหาขึ้นมานะครับ…”

 

“เฮ้ย? ทำไมถึงเป็นฉันเล่า!?”

 

เดริคที่ได้ยินเพื่อนสนิทพูดชื่อของตัวเองขึ้นมานั้นได้หันไปหรี่ตามองทีออสในทันทีจนทำให้ไดเอน่าต้องรีบฉวยโอกาสพูดขึ้นมาก่อนที่ทั้งสองคนจะได้เถียงกันยืดยาวเหมือนครั้งที่แล้วอีก

 

“ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอกค่ะคุณทีออส ฉันก็แค่คิดจะบอกให้พวกคุณได้รู้ก่อนจะได้ไม่รู้สึกผิดใจกันขึ้นมาถ้าเกิดว่าพวกคุณไปรู้เรื่องนี้ทีหลังเท่านั้นแหล่ะค่ะ ถ้ายังไงเรากลับมาคุยเรื่องเป็นงานเป็นการกันก่อนดีกว่านะคะ… ในเมื่อตอนนี้คุณทีออสได้รับของไปแล้วแบบนี้พวกคุณจะต้องกลับไปกราวิทัสกันภายในกี่วันหรอคะ?”

 

“เอ่อ… ต่อให้พยายามจะถ่วงเวลาสุดๆ แล้วก็คงจะต้องเริ่มออกเดินทางกันภายในสามวันน่ะครับ เพราะถ้าขืนช้าไปกว่านั้นพวกทหารที่ว่าจ้างเดริคมาอาจจะรู้สึกสงสัยขึ้นมาได้ว่าพวกเราเอารถที่ขับมาไปทำอะไรอย่างอื่นนอกเหนือจากที่บอกเอาไว้หรือเปล่า”

 

“อื้ม… ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะเคี่ยวอะไรนักหนากับรถเก่าๆ แค่คันเดียวทั้งๆ ที่ในโกดังก็มีที่ใหม่กว่าจอดกันอยู่จะเป็นร้อยคันได้แล้วล่ะมั้ง”

 

“เรื่องนั้นน่าจะเป็นกฎระเบียบของทางวังนั่นแหล่ะค่ะ เพราะว่าต่อให้จะเป็นที่รีมินัสนี่เองก็เถอะ ถ้าเกิดว่ามีคนมาเบิกรถไปใช้ก็ต้องทำเรื่องเอาไว้เหมือนกัน…”

 

ไดเอน่าพูดตอบแขกจากต่างเมืองทั้งสองคนกลับไปก่อนที่เธอจะเหลือบไปมองก้อนสีดำๆ ขนาดเล็กๆ ที่อยู่บนโต๊ะของเธอหรือก็คือเครื่องสื่อสารขนาดเล็กของเอริกะแบบเดียวกับที่นากาเคยมีโอกาสได้ใช้ไปแล้วสองสามรอบก่อนหน้านี้แล้วจึงพูดถามเอริกะที่นั่งฟังอยู่ตั้งแต่ทีแรกขึ้นมา

 

“พวกเขาเหลือเวลาแค่สามวันเองนะคะ คุณเอริกะจะเอายังไงล่ะคะ? ”

 

“หือ? เธอพูดกับใครอยู่น่ะ?”

 

“คุณเอริกะ? หมายถึงคุณเอริกะที่เป็นนักประดิษฐ์คนนั้นนั่นน่ะหรอครับ!?”

 

เดริคกับทีออสที่ไม่รู้จักเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กนั้นได้พูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจที่อยู่ๆ ไดเอน่าก็พูดขึ้นมาเหมือนกับว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องด้วยกันกับพวกเขา และในขณะที่ทีออสกำลังหันไปมองซ้ายมองขวาเพื่อหาตัวนักประดิษฐ์คนดังในสายงานของเขาอย่างเอริกะอยู่นั้นไดเอน่าก็ได้ใช้นิ้วจิ้มไปที่เครื่องสื่อสารขนาดเล็กสองสามทีก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อคนที่อยู่ปลายสายไม่ยอมตอบกลับมาสักที

 

“นี่คุณเอริกะได้ยินมั้ยคะเนี่ย…?”

 

“ได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้งเลยจ้าไดเอน่าจัง~”

 

แกร๊ก…

 

เสียงของเอริกะที่ดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงปิดประตูนั้นได้ทำให้สองสหายจากกราวิทัสต้องรีบหันกลับไปดูในทันที ซึ่งเดริคที่เห็นว่าคนที่เพิ่งจะเข้ามาใหม่เป็นเพียงแค่หญิงสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งนั้นเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก ในขณะที่ทางด้านทีออสนั้นกลับเบิ่งตากว้างด้วยความตกตะลึงและพูดถามขึ้นมาเสียงดังเหมือนกับไม่เชื่อสายตาตัวเอง

 

“ผ—ผมสีแดงทวินเทลกับเสื้อกาวน์… นี่คุณคือคุณเอริกะที่เป็นยอดนักประดิษฐ์แห่งรีมินัสคนนั้นจริงๆ น่ะหรอครับ!?”

 

“ถ้าเกิดหมายถึงคนที่สร้างนู้นสร้างนี่ให้กับวังหลวงของรีมินัสล่ะก็คงจะหมายถึงฉันเองนั่นแหล่ะ… นี่ชื่อฉันดังจนไปถึงกราวิทัสเลยงั้นหรอเนี่ย~ แหม่เขินจังเลย~”

 

“ไม่มั้ง… ฉันไม่เคยเห็นจะเคยได้ยิ—-”

 

“มันก็แน่อยู่แล้วสิครับ! ตอนที่อาจารย์ของผมกำลังออกแบบหอนาฬิกาเขาบ่นอยู่แทบจะทุกวันเลยนะครับว่าถ้าได้คุณเอริกะมาช่วยร่วมออกแบบด้วยก็คงจะดีน่ะครับ!!”

 

ทีออสรีบยื่นมือไปเบียดหน้าของเดริคที่เหมือนว่ากำลังจะพูดอะไรไม่เข้าท่าออกมาอีกครั้งพร้อมกับรีบพูดแทรกขึ้นมาเสียงดังด้วยความตื่นเต้น ส่วนทางด้านไดเอน่าที่เห็นว่าทีออสเหมือนจะตื่นเต้นที่ได้เจอคนดังจนอาจจะคุยนู้นคุยนี่กับเอริกะไม่หยุดนั้นก็ได้รีบหาจังหวะโยนเครื่องสื่อสารขนาดเล็กกลับไปให้เอริกะแล้วพูดขึ้นมาในทันที

 

“นี่ค่ะคุณเอริกะ วันนี้ฉันยอมให้เป็นกรณีพิเศษแต่ว่าวันหลังก็ช่วยใช้มันสำหรับการสื่อสารให้สมกับชื่อของมันหน่อยสิคะไม่ใช่ว่าเอามันมาดักฟังคนอื่นคุยกันแบบนี้น่ะค่ะ”

 

“แฮะๆ ขอบใจมากจ้ะไดเอน่า แล้วก็ขอโทษที่เมื่อกี้ฉันแอบฟังพวกเธอคุยกันด้วยนะ แต่ว่ามันจำเป็นที่จะต้องใช้ในการประกอบการตัดสินใจน่ะ”

 

“ตัดสินใจ? อย่าบอกนะครับว่าที่คุณไดเอน่าบอกว่าอาจจะหาคนมาช่วยเดริคเขาได้นี่หมายถึงคุณเอริกะน่ะครับ!? แล้วนี่คุณเอริกะพอจะช่วยเดริคเขาได้หรือเปล่าน่ะครับเพราะถ้าปล่อยไว้เฉยๆ มีหวังเดริคเขาจะได้อดตายเข้าสักวันแน่ๆ เลยล่ะครับ!!”

 

“ฉันไม่ได้ลำบากขนาดนั้นหรอกน่า…”

 

เดริคที่ได้ยินแบบนั้นได้พยายามพูดขึ้นมาเสียงเบาๆ เพราะถึงแม้ว่าเขาอาจจะมีปัญหาเรื่องการเงินอยู่บ้างจริงๆ ก็ตามแต่ว่าเขาก็ไม่ได้ลำบากถึงขั้นใกล้จะอดตายอย่างที่ทีออสพูดขึ้นมาแม้แต่น้อย

 

“อื้ม~ ถึงฉันจะพอคิดหาวิธีช่วยได้ก็เถอะ แต่ว่าพอพวกเธอเป็นเด็กจากเมืองอื่นแบบนี้นี่มันก็มีปัญหาอยู่บ้างน่ะสิ”

 

“เป็นเรื่องเกี่ยวกับวังหลวงกราวิทัสสินะครับ…”

 

“นั่นแหล่ะจ้ะ ถ้ายังไงฉันฝากให้ไดเอน่าจังช่วยอธิบายให้ฟังน่าจะเข้าใจง่ายกว่านะเพราะว่าฉันไม่ได้เชี่ยวชาญด้านการเมืองอะไรขนาดนั้นน่ะ~”

 

“แหม่ ถึงคุณเอริกะจะไม่เก่งเรื่องการเมืองแต่ว่าถ้าเป็นเรื่องของการเลี่ยงกฎหมายเนี่ยคงจะไม่มีใครสู้คุณเอริกะได้หรอกค่ะ”

 

ไดเอน่าพูดหยอกเอริกะกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มๆ ก่อนที่เธอจะกลับเข้าสู่โหมดประธานนักเรียนอีกครั้งพร้อมกับหันไปทางเดริคและทีออสเพื่อที่จะเริ่มอธิบายให้กับเด็กหนุ่มทั้งสองคนฟัง

 

“เอาล่ะ… คุณเดริค คุณทีออส ถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้วพวกคุณถูกนับว่าเป็นประชาชนของเมืองกราวิทัสโดยสมบูรณ์ใช่มั้ยล่ะคะ?”

 

“เอ่อ… ก็น่าจะใช่ล่ะมั้ง…”

 

“ถ้าหมายถึงว่ามีพ่อแม่เป็นคนกราวิทัสแล้วก็เกิดในเมืองกราวิทัสกันทั้งคู่ล่ะก็ใช่แล้วล่ะครับ เรื่องนั้นมันทำไมหรอครับ?”

 

“ก็เพราะว่าเป็นแบบนั้น ทั้งฉันทั้งคุณเอริกะก็เลยไม่สามารถดึงตัวพวกคุณมาได้ง่ายๆ ไงล่ะคะ แล้วยังไม่นับว่าในตอนนี้พวกคุณกำลังทำงานให้กับทางวังหลวงกราวิทัสอยู่อีกด้วย เพราะงั้นถ้าเกิดว่าทางฉันหรือว่าทางคุณเอริกะดึงตัวพวกคุณมาตอนนี้เลยทางเมืองกราวิทัสคงจะไม่ยอมอยู่เฉยแน่นอนค่ะ”

 

“แบบนั้นเองหรอครับ…”

 

ทีออสที่ได้ยินแบบนั้นเข้าไปได้มีสีหน้าเศร้าหมองลงเล็กน้อยเพราะว่าเขาคาดหวังกับความช่วยเหลือจากไดเอน่าเอาไว้มาก แต่ถึงอย่างนั้นทีออสก็ไม่ได้กล่าวโทษอะไรไดเอน่าออกมาเพราะเขาเองเข้าใจดีว่าใครๆ ก็ต่างเป็นห่วงความปลอดภัยในชีวิตของตัวเองเช่นกัน

 

แต่ถึงแม้ว่าทีออสนั้นจะมีท่าทีหงอยๆ ทางด้านเดริคที่คิดว่าถ้าได้รับความช่วยเหลือก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นอะไรนั้นก็ได้พูดขึ้นมาแบบไม่คิดอะไรมากเลยแม้แต่น้อย

 

“ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็ช่วยไม่ได้ล่ะเนอะไดเอน่าจัง ถึงฉันจะอยากออกมาให้พ้นๆ ที่นั่นเร็วๆ ก็เถอะ แต่ว่าถ้าเรื่องมันเป็นแบบนี้ฉันก็แค่กลับไปใช้แผนเดิมหรือก็คือทำงานเก็บเงินให้ได้เยอะๆ แล้วก็ค่อยย้ายออกมาหลังจากเก็บเงินได้มากพอแล้วนั่นล่ะ”

 

“แต่ว่าตรงที่คุณเดริคพูดขึ้นมานั่นแหล่ะค่ะที่คุณเอริกะดันสามารถหาช่องโหว่จนน่าจะยื่นมือเข้าไปช่วยพวกคุณได้น่ะค่ะ…”

 

“คุณเอริกะมีวิธีที่พอจะช่วยได้งั้นหรอครับ!?”

 

“อื้อ~ ถึงฉันจะดึงตัวพวกเธอมาใช้งานโดยตรงเลยไม่ได้ก็เถอะ แต่ว่าถ้าเกิดเป็นกรณีการว่าจ้างชั่วคราวมันก็ไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ยล่ะ เพราะว่าฉันเป็นลูกค้าจากต่างเมืองที่บังเอิญได้เดริคที่เป็นเด็กรับจ้างอิสระมาช่วยงานตอนที่เขาอยู่ในรีมินัสแล้วดันรู้สึกถูกใจในความสามารถของเขาก็เลยสนใจจะว่าจ้างเองนี่~”

 

“อื้ม… ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาจริงๆ นั่นแหล่ะ เพราะฉันเห็นพวกคนทำงานรับจ้างคนอื่นก็ออกไปรับงานมาจากหมู่บ้านต่างๆ หรือว่าเมืองอื่นอยู่บ้างเหมือนกันแถมพวกนั้นก็ไม่ได้โดนว่าอะไรเลยด้วย”

 

เดริคพยักหน้าตอบเอริกะกลับไปในขณะที่ทีออสก็เริ่มที่จะมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่เขาถอดใจไปแล้ว แต่ว่าก่อนที่พวกเขาจะได้ดีใจไปมากกว่านั้นเอริกะก็ได้ชิงพูดขัดพวกเขาขึ้นมาซะก่อน

 

“ถึงฉันจะพูดว่าอย่างนั้นก็เถอะนะ ตอนนี้ฉันมีงานด่วนชิ้นนึงที่จำเป็นจะต้องให้พวกเธอทำก่อนที่พวกเธอจะกลับไปกราวิทัสกันน่ะ พอดีว่าทางฉันมีปัญหานิดหน่อยก็เลยทำเรื่องยืมรถมาจากทางวังไม่ได้น่ะ… แล้วถ้าเกิดว่าพวกเธอทำงานได้ดีกว่าที่ฉันคาดเอาไว้ก็ถือว่าผ่านการทดสอบเลยดีมั้ยล่ะ?”

 

“หมายถึงเป็นการทดลองงานงั้นสินะ เอาสิ… แต่ถ้าจะให้พูดกันตามตรงถ้าฉันกลับไปที่กราวิทัสแล้วเธอจะว่าจ้างฉันยังไงล่ะ? ถ้าเกิดว่าจะส่งคนไปแจ้งเรื่องงานให้ฉันกว่าจะหากันเจอมันก็เสียเวลาจะตายนี่ แบบนั้นสู้ให้คนส่งข่าวของเธอไปทำเรื่องที่คิดจะจ้างฉันเอาเลยไม่ง่ายกว่าหรอ”

 

“หึหึ เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเดริคคุง~ ถ้าเธอคิดจะเป็นห่วงจริงๆ ล่ะก็เป็นห่วงว่าพวกเธอจะแอบยังไงให้ฉันตามหาตัวไม่เจอจะดีกว่า~ แล้วที่สำคัญถึงพวกเธอจะไม่รู้ แต่มันก็มีงานบางอย่างที่จำเป็นต้องใช้คนของเมืองนั้นๆ เป็นคนทำเองอยู่ด้วยนะ~”

 

เอริกะส่งเสียงหัวเราะกลับไปก่อนที่เธอจะเหลือบไปเห็นสายตาของทีออสที่เหมือนว่าจะยังคงเป็นกังวลกับเรื่องบางอย่างอยู่จนทำให้เธอต้องพูดอธิบายออกมาชัดๆ ให้เขาฟัง

 

“อ่ะ แล้วก็ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะจ๊ะ ฉันจะพยายามไม่มอบงานผิดกฎหมายให้กับพวกเธอละกัน เพราะงั้นวางใจได้เลยว่าพวกเธอจะไม่โดนพวกทหารของกราวิทัสตามล่าตัวแน่นอน แถมระหว่างที่ไม่มีงานจากฉัน เธอจะไปทำงานพิเศษอย่างอื่นก่อนฉันก็ไม่ถืออะไรด้วยนะ~”

 

“แค่จะพยายามไม่มอบเองหรอคะคุณเอริกะ…”

 

ไดเอน่าที่ได้ยินคำพูดของเอริกะเข้าไปนั้นถึงกับต้องหรี่ตาหันไปมองเธอในทันที ในขณะที่ทางด้านเดริคนั้นก็พยายามที่จะพูดเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ว่าจ้างในอนาคตคนใหม่ของเขาออกมา

 

“หึ เรื่องนี้ฉันก็ไม่ได้อยากจะอวดหรอกนะ แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องงานผิดกฎหมายล่ะก็ฉันเองก็เคยมีประสบการณ์มาบ้างแล้วเหมือนกันเพราะว่าบางทีพวกทหารของกราวิทัสก็มาจ้างให้ฉันทำอะไรแบบนั้นอยู่บ้างน่ะ”

 

“ไม่อยากจะอวดแล้วนายจะไปบอกเขาทำไมเล่าเดริค!”

 

“ถ้างั้นก็เอาเป็นว่าทั้งสองคนตกลงรับงานด่วนที่ฉันบอกไปสินะ? ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะจ๊ะเดริคคุง~”

 

“อื้ม! งั้นเธอลองว่ามาสิว่าจะให้ฉันไปทำอะไรน่ะ ถ้าเป็นไปได้ก็ขอเป็นงานที่น่าจะทำเสร็จได้ภายในสองสามวันละกันนะ เพราะขืนกลับไปช้ากว่านี้พวกนั้นจะสงสัยกันได้น่ะ”

 

เดริคพูดตอบเอริกะกลับไปอย่างขันแข็งจนทำให้เอริกะต้องเผยรอยยิ้มออกมาก่อนที่เธอจะพูดอธิบายเนื้อหาการว่าจ้างในครั้งนี้ให้พวกเขาฟัง

 

“เอาจริงๆ มันก็เป็นแค่งานส่งของนิดๆ หน่อยๆ เฉยๆ นั่นแหล่ะ เอาเป็นว่าหลังจากนี้เดี๋ยวพวกเธอขับรถไปพบกับเพื่อนของฉันที่แถวๆ หน้าประตูเมืองทางฝั่งตะวันออกละกันแล้วเดี๋ยวพวกเขาจะเป็นคนอธิบายให้ฟังเอง พอไปถึงแล้วก็มองหาผู้ชายผมขาวกล้ามใหญ่ๆ กับผู้หญิงที่มีหูกับหางจิ้งจอกผมสีแดงน่ะ เด่นขนาดนั้นน่าจะหาตัวเจอได้ไม่ยากหรอก”

 

“เห… งานขนของที่ข้างนอกเมืองงั้นหรอ? เอาเถอะอย่างน้อยก็ฟังดูดีกว่าพวกงานที่ฉันเคยได้จากทหารของกราวิทัสล่ะนะ เอาล่ะ รีบไปกันเถอะทีออส!”

 

“อื้ม!”

 

เดริคที่ได้ยินว่ามันเป็นงานขนของง่ายๆ นั้นได้ตกลงยอมรับงานนี้แบบไม่คิดอะไรมากก่อนที่เขาจะรีบเดินนำทีออสออกไปในทันทีโดยมีเอริกะโบกมือลาไล่หลังทั้งสองคนไป และเมื่อสองสหายจากต่างแดนได้จากไปแล้ว เอริกะก็ได้เดินไปนั่งบนโซฟาพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาอย่างอารมณ์ดี

 

“ฮ่าาา~ ได้คนช่วยแบกเสาสัญญาณให้แทนแบบนี้ค่อยดีหน่อย~”

 

“จะเรียกว่าโชคดีก็ได้นะคะเนี่ยที่พวกคุณเดริคเขาเป็นคนมาส่งพวกนากาคุงแทนทหารของกราวิทัสน่ะค่ะ… นี่ค่ะน้ำชา”

 

ไดเอน่าพูดตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เธอจะเดินไปยังมุมชงชาและนำชามาเสิร์ฟให้กับเอริกะ ซึ่งเอริกะนั้นก็รับมันมาก่อนจะกระดกมันเข้าปากรวดเดียวจนหมดแก้วก่อนที่เธอจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างชื่นใจ

 

“ฮ่า~ ถึงคาเฟอีนจะน้อยกว่ากาแฟอยู่บ้างก็เถอะแต่ก็พอจะช่วยได้บ้างล่ะนะ~”

 

“คาเฟอีนนี่มันอะไรกันอีกล่ะคะนั่น? ถ้าอยากจะให้คนอื่นเขารู้เรื่องด้วยก็อย่าใช้ภาษาโบราณที่คนอื่นเขาไม่รู้จักกันแบบนั้นสิคะ”

 

“ฮะฮะ โทษทีๆ มันเผลอหลุดปากไปหน่อยน่ะ ถ้ายังไงฉันขอชาอีกสักแก้วละกันเนอะ~”

 

“เชิญเทเองได้ตามสบายเลยค่ะ”

 

ไดเอน่าตอบเอริกะกลับไปโดยไม่คิดที่จะบริการแขกอย่างเอริกะเลยแม้แต่น้อยเพราะเธอมั่นใจว่าเอริกะก็คงจะกระดกมันทีเดียวหมดอีกครั้งและร้องขอเพิ่มอีกเรื่อยๆ โดยไม่คิดจะค่อยๆ จิบชาเพื่อดื่มด่ำกับกลิ่นหรือว่ารสชาติของมันอย่างแน่นอน

 

และในขณะที่เอริกะกำลังเทน้ำชาใส่แก้วของตัวเองอยู่นั้นไดเอน่าก็ได้หยิบเอาเอกสารแผ่นที่เธออ่านอยู่ก่อนที่พวกเดริคจะมาถึงมาอ่านดูอีกครั้งแล้วจึงเอ่ยปากถามเอริกะขึ้นมา

 

“แล้วเจ้าแท่งแหล็กที่คุณเอริกะเขียนเอาไว้ว่ามันเป็นเสาสัญญาณนี่มันสำคัญถึงขนาดรอให้อาจารย์เอริซาเบธพ้นกำหนดบทลงโทษห้ามยืมรถจากทางวังไม่ได้เลยหรอคะ?”

 

“ก็สำคัญขนาดที่ว่าฉันยอมจ่ายเงินหนึ่งพันคริสต้าให้กับพวกเดริคเขาเพื่อเป็นค่าจ้างในการขนมันไปติดตั้งใหม่เลยน่ะนะ”

 

“หนึ่งพัน—!? แค่แท่งเหล็กแท่งเดียวเนี่ยนะคะ!?”

 

“อื้อ~ ก็หลังจากที่อันเก่ามันถูกโจมตีจนพังเละเทะระบบสื่อสารที่เชื่อมไปทางแพนเทร่าก็เลยถูกตัดขาดไปเลยน่ะสิ นี่ยังดีนะที่พวกเซซิเรียเขาช่วยป้องกันตัวเครื่องหลักเอาไว้ได้น่ะ ไม่งั้นกว่าจะซ่อมเสร็จคงจะอีกนานเลย”

 

เอริกะตอบไดเอน่ากลับไปด้วยท่าทีสบายๆ จนดูไม่ออกว่ามันเป็นเรื่องเคร่งเครียดอย่างที่เธอกำลังพูดอยู่จริงๆ หรือเปล่ากันแน่ ซึ่งนั่นก็ทำให้ไดเอน่าได้ตัดสินใจที่จะสอบถามถึงสาเหตุที่พักนี้เอริกะดูเหมือนจะเร่งรีบเตรียมการสำหรับรับมือในเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ดูในทันที

 

“ทั้งอุปกรณ์สื่อสารระยะไกล ทั้งยูนิตชนิดใหม่ที่ไม่เคยเห็นสำหรับพวกนักเรียน แล้วไหนจะยังมีวิชาเรียนพิเศษอีกสามวิชาที่คุณเอริกะเสนอขึ้นมา… นี่คุณเอริกะกำลังจะเตรียมไปสู้กับอะไรอยู่กันแน่คะเนี่ย…”

 

“เตรียมไปสู้งั้นหรอ…? หึหึ”

 

เอริกะส่งเสียงหัวเราะในลำคอออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะหันไปมองท้องฟ้าสีครามด้านนอกหน้าต่างแล้วจึงพูดขึ้นมาเบาๆ

 

“จะเรียกว่าสู้ก็ฟังดูดีเกินไปหน่อยนะ… ต้องเรียกว่าฉันกำลังพยายามกระเสือกกระสนหาทางรอดให้พวกเราน่าจะดีกว่า…ล่ะมั้ง…”

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

Status: Ongoing
เมื่อคำสัญญาจากอดีตได้หวนคืนกลับมาเพื่อทวงคืนสิ่งที่ถูกหยิบยืมไป การเดินทางของคนถูกทิ้งกลุ่มหนึ่งเพื่อจะช่วยเหลือมนุษยชาติจึงได้เริ่มต้นขึ้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน