บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ – ตอนที่ 110 Opened Curtains

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

“เดี๋ยวก่อนเอริกะ…”

“ฮื๊ม~?”

 

เสียงร้องห้ามของท่านผู้อำนวยการที่ดังขึ้นมาในวินาทีสุดท้ายนั้นได้ทำให้เอริกะชะงักเท้าของตนลงไปก่อนที่เธอจะเหลือบตาไปมองท่านผู้อำนวยการด้วยสายตาเฉียบแหลม

 

ซึ่งท่านผู้อำนวยการที่เพิ่งจะเอ่ยปากร้องห้ามเอริกะเอาไว้นั้นก็ได้ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงที่เบื้องหน้าของเอริกะพร้อมกับคุกเข่าลงข้างหนึ่งราวกับอัศวินที่กำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าราชินี ซึ่งการกระทำของเขานั้นก็ถึงกับทำให้ไดเอน่าและเหล่าขุนนางตำแหน่งสูงอีกสามคนที่เหลือนอกจากเรจจิต่างพากันมองเขาด้วยสายตาตื่นตระหนกในทันที

 

“ฉันต้องขอโทษเธอแทนขุนนางไร้มารยาทคนนั้นด้วย… แต่ถ้าเป็นไปได้เธอช่วยอย่าทำลายสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ของเธอทิ้งเลยจะได้หรือเปล่า…”

 

“เอ๋~? ถ้างั้นท่านผู้อำนวยการจะช่วยตอบฉันสักหน่อยได้หรือเปล่าล่ะคะว่าที่ท่านพยายามขอร้องฉันอยู่นี่ท่านทำไปเพื่ออะไรน่ะ? เพื่อที่คุณตัวแทนรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานคนนั้นจะได้ไม่ต้องถูกส่งไปประหารเพราะว่าทำให้สิ่งประดิษฐ์ล้ำค่าของฉันถูกทำลาย หรือว่าเพื่อความก้าวหน้าทางด้านวิทยาการของเมืองรีมินัส หรือว่าท่านก็แค่ทำไปเพื่อที่โรงเรียนของท่านจะได้อยู่รอดปลอดภัยหลังจากที่เรื่องนี้ไปถึงหูเบื้องบนเข้าให้น่ะ”

 

สิ่งที่เอริกะพูดถามขึ้นมานั้นได้ทำให้ท่านผู้อำนวยการนิ่งเงียบไปอยู่สักพักหนึ่ง เพราะเขาเองก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าทุกสิ่งที่เอริกะพูดขึ้นมานั้นมันก็เป็นเรื่องที่เขาต้องการอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่เขาต้องการที่สุดจนถึงกับต้องยอมคุกเข่าให้กับเอริกะนั้นก็กลับไม่ใช่เรื่องพวกนั้นแต่ว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญกว่านั้นมากต่างหาก

 

“เพื่อประชาชน… ที่ฉันทำไปทั้งหมดนี่ก็เพื่อประชาชนทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นประชาชนของรีมินัสหรือไม่ก็ตาม… สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ของเธอมันสำคัญเกินกว่าที่จะปล่อยให้มันถูกทำลายไปเพราะคำพูดของคนเพียงแค่คนเดียว…”

 

“โฮะโห~”

 

คำตอบของท่านผู้อำนวยการนั้นดูเหมือนว่าจะถูกใจเอริกะอยู่ไม่ใช่น้อยเมื่อดูจากท่าทางของเอริกะที่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาทาบแก้มและยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ราวกับสาวน้อยวัยแรกแย้มที่กำลังเขินอาย

 

“เป็นคำตอบที่ดีมากเลยจ้ะ! เอาล่ะๆ ลุกขึ้นมาได้แล้ว ฉันก็เคยบอกไปตั้งหลายรอบแล้วนี่ว่าคนอย่างนายไม่สมควรที่จะต้องลงไปคุกเข่าให้คนอื่นแบบนั้นน่ะ~”

 

เอริกะเอ่ยปากพูดขึ้นมาพร้อมกับก้มลงไปหยิบเอาแบตเตอรี่พกพาขนาดเล็กที่เกือบจะถูกทำลายลงไปขึ้นมาถือเอาไว้ ก่อนที่เธอจะดึงตัวท่านผู้อำนวยการให้ลุกขึ้นมายืนตามเดิมและยัดแบตเตอรี่พกพาเข้าใส่มือของเขาไปด้วย

 

“เอาเป็นว่าฉันยกเจ้านี่ให้กับนายเป็นค่าชดเชยที่นายต้องมาคุกเข่าให้กับฉันแบบเมื่อกี้นี้ก็แล้วกัน~ เอาจริงๆ คำตอบที่ว่าเพื่อประชาชนทุกคนนั่นก็สมกับที่เป็นนายดีเหมือนกันนะ มันทำเอาฉันเกิดสงสัยขึ้นมาเลยนะว่าทำไมคนอย่างนายถึงเลือกที่จะมาเป็นแค่ผู้อำนวยการโรงเรียนแบบนี้กันน่ะ ฉันว่านายเหมาะที่จะไปทำงานดูแลบ้านเมืองแทนพวกคณะตลกพวกนั้นอีกนะเนี่ย~”

 

“ฉันก็แค่ตอบไปตามที่คิดก็เท่านั้น… แล้วฉันเองก็รู้ตัวดีว่าฉันไม่เหมาะกับงานปกครองแบบที่เธอคิดอยู่มากนักหรอก…”

 

“ยิ่งนายพูดแบบนี้ฉันก็ยิ่งเสียดายแทนเมืองนี้ที่ได้พวกตัวตลกที่คิดว่าตัวเองเหมาะกับงานปกครองเข้าไปดูแลใหญ่เลยให้ตายสิ… นี่ๆ นายสนใจจะมาทำงานให้ฉันแทนมั้ย ถึงฉันจะไม่มีห้องทำงานหรูๆ แบบตำแหน่งในวังหลวงให้ แต่ว่างานที่นายจะได้ทำมันจะส่งผลดีต่อพวกชาวเมืองจริงๆ นะ~”

 

“นี่เธอชวนฉันมาเป็นรอบที่สามแล้วนะ… แล้วเธอก็น่าจะรู้ดีว่าฉันจะตอบปฏิเสธกลับไปเหมือนเดิมไม่ว่าเธอจะชวนฉันอีกสักกี่ครั้งก็ตามน่ะ…”

 

ท่านผู้อำนวยการพูดบอกปัดคำเชิญชวนของเอริกะกลับไปตามตรงก่อนที่เขาจะเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองเพื่อนำแบตเตอรี่ไปเก็บในลิ้นชักของโต๊ะทำงานของเขา ในขณะที่ทางด้านเอริกะนั้นก็ได้หันกลับไปแสยะยิ้มให้กับขุนนางทั้งสี่คนก่อนจะพูดขู่พวกเขาไปอีกครั้ง

 

“เอาเป็นว่ามันก็ตามนั้นนั่นแหล่ะ ฉันน่ะเกลียดคนที่เอาคำว่าน้ำใจขึ้นมาอ้างเพื่อที่ตัวเองจะได้ปัดภาระไปให้คนอื่นเป็นที่สุดเลยล—”

 

“คุณเอริกะคะ!!”

 

แต่แล้วในขณะที่เอริกะกำลังพูดขู่เหล่าขุนนางที่นั่งหน้าซีดอยู่นั้น อยู่ๆ เอริซาเบธที่จับตาดูหน้าจอทั้งสี่ภาพที่ถูกฉายขึ้นมาจากอุปกรณ์ฉายภาพทรงโดมของเอริกะก็ได้ร้องเรียกตัวเจ้าของอุปกรณ์ขึ้นมาเสียงดังจนทำให้เอริกะถึงกับต้องหยุดการข่มขู่ของเธอเอาไว้ก่อนและหันกลับไปมองทางด้านเอริซาเบธด้วยความสงสัย

 

“มีอะไรหรอเอริซาเบธ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”

 

“มีรถบรรทุกติดเกราะกับขบวนคุ้มกันกำลังวิ่งตรงเข้ามาทางประตูเมืองทิศใต้ค่ะ!”

 

“หะ– ตอนนี้เนี่ยนะ?”

 

คำพูดของเอริซาเบธนั้นได้ทำให้เอริกะสะบัดสายตามองไปยังหนึ่งในหน้าจอที่ลอยอยู่กลางอากาศในทันทีและได้พบกับภาพของรถบรรทุกขนาดใหญ่แบบเดียวกับที่พวกนากาเคยนั่งที่ถูกดัดแปลงเสริมด้วยแผ่นโลหะหนาจนทำให้บริเวณกระบะรถด้านหลังกลายเป็นกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่มีช่องว่างติดลูกกรงติดอยู่แทน

 

อีกทั้งบริเวณรอบๆ รถบรรทุกติดเกราะคันนั้นเองก็ยังมีขบวนอัศวินคุ้มกันที่สวมใส่ชุดเกราะอัศวินที่ดูหรูหรากว่าปกติมากกำลังขี่ม้าเดินล้อมอยู่เพื่อคอยรักษาความปลอดภัยอีกด้วย

 

ซึ่งในทันทีที่ทุกคนได้เห็นการแต่งกายของขบวนอัศวินคุ้มกันนั้นเหล่าขุนนางทั้งสามคนในห้องเองก็ได้หันไปมองทางด้านดั๊ดเลสที่เป็นผู้ช่วยของรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมกันในทันทีจนทำให้เขาต้องรีบพูดอธิบายออกมา

 

“นั่นน่าจะเป็นขบวนรถขนนักโทษจากต่างเมืองที่จะถูกนำมาตัดสินโทษในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้น่ะครับ”

 

“แต่ฉันแจ้งขอความร่วมมือให้ระงับการขนย้ายสิ่งของหรือว่าขนย้ายกำลังคนระหว่างเมืองไปให้ทุกกระทรวงแล้วไม่ใช่หรอคะ แล้วก่อนหน้านี้คุณก็เป็นคนบอกเองว่าแจ้งให้หลายๆ ฝ่ายทราบแล้วด้วย”

 

“ผมก็ส่งข้อความของคุณเอริกะไปให้ท่านรัฐมนตรีแล้วนะครับ แต่ว่าในเมื่อยังมีขบวนเคลื่อนย้ายเข้ามาอยู่แบบนี้ก็ดูท่าทางว่าสารที่ส่งไปอาจจะยังไปไม่ถึงหรือไม่ก็ท่านรัฐมนตรีเขาอาจจะไม่คิดว่าพวกนักโทษเป็นบุคคลสำคัญหรือเป็นกำลังคนที่คุณเอริกะขอเอาไว้ก็ได้ล่ะมั้งครับ…”

 

“แล้วทำไมถึงไม่รีบบอกฉันมาก่อนล่ะคะ!?”

 

“ก็ผมต้องรีบมาเข้าร่วมประชุมของคุณเอริกะก็เลยไม่มีเวลารอฟังคำตอบของท่านรัฐมนตรีนี่ครับ! ถ้าจะให้ผมรอรับคำตอบจริงๆ เผลอๆ ป่านนี้ผมอาจจะยังมาไม่ถึงที่นี่เลยนะครับนั่น!”

 

คำพูดอธิบายของดั๊ดเลสนั้นได้ทำให้เอริกะรู้ตัวว่าตัวเองเผลอสบประมาทความล่าช้าของระบบการทำงานในวังหลวงรีมินัสไปซะแล้ว แต่ว่าในเมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นมาแล้วเธอก็ได้แต่ต้องรีบเตรียมการรับมือให้พร้อมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพียงเท่านั้น

 

“เอริซาเบธกดปุ่มให้ตัวอุปกรณ์ขยายภาพประตูเมืองทางทิศใต้ขึ้นมาแล้วก็ควบคุมกล้องให้กวาดไปทั่วๆ ท้องฟ้าเดี๋ยวนี้เลย! ส่วนอลิซเธอพยายามใช้ความสามารถของเธอตรวจสอบพลังวิซธาตุไฟให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะฉันได้ยินมาว่าพวกนั้นหาตัวคนใช้วิซธาตุไฟมาร่วมมือด้วยได้แล้ว!”

 

“ถ้าฉันตรวจเจออะไรแปลกปลอมก็จะรีบบอกก็แล้วกัน”

 

“ปุ่มย้ายภาพๆ …อ่ะ—อันนี้สินะคะ”

 

ในขณะที่อลิซได้พูดตอบเอริกะกลับไปพร้อมกับเรียกดาบของเธอออกมาและหลับตาลงเพื่อตั้งสมาธิในการตรวจสอบหาร่องรอยการใช้พลังวิซธาตุไฟเป็นวงกว้างอยู่นั้น ทางด้านเอริซาเบธก็ถึงกับต้องยกมือขึ้นมาเกาหัวตัวเองพร้อมกับกวาดตามองอุปกรณ์ฉายภาพของเอริกะเพื่อมองหาปุ่มย้ายภาพและปุ่มควบคุมกล้องที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมา ส่วนทางด้านไดเอน่าที่เห็นว่าเอริกะไม่ได้พูดสั่งอะไรเธอออกมาก็ได้พูดถามขึ้นมาด้วยเช่นกัน

 

“จะให้ทางด้านฉันช่วยอะไรด้วยมั้ยคะคุณเอริกะ?”

 

“ถ้างั้นไดเอน่าจังช่วยไปเตรียมตัวรับมือควบคุมความสงบเผื่อว่าพวกเด็กนักเรียนจะเกิดความตื่นตระหนกกับเหตุโจมตีขึ้นมาสักหน่อยก็แล้วกัน… ส่วนท่านผู้อำนวยรบกวนช่วยลงไปบอกให้อาจารย์อารอนเตรียมตัวรักษาคนเจ็บสักหน่อยก็แล้วกันค่ะ!”

 

“ค่ะ! ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนละกันนะคะคุณเอริกะ”

 

“ไปบอกอาจารย์อารอนงั้นสินะ…”

 

ไดเอน่าที่ได้รับคำสั่งมาจากเอริกะได้พยักหน้าตอบเธอกลับไปด้วยความอารมณ์ดีที่จะได้หยุดรักษามาดประธานนักเรียนสุดแสนเคร่งขรึมที่แทบจะทำให้ใบหน้าของเธอเหน็บกินอยู่แล้วไปสักที อีกทั้งเธอยังไม่รู้สึกกังวลใจอะไรเลยแม้แต่น้อยเพราะเธอคิดว่าในเมื่อเอริกะเป็นคนสั่งการเองแบบนี้เดี๋ยวเรื่องทุกอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นก็คงจะถูกจัดการจนเสร็จเรียบร้อยอย่างง่ายดาย ในขณะที่ทางด้านท่านผู้อำนวยการเองนั้นก็พูดทวนคำสั่งของเอริกะออกมาเบาๆ แล้วจึงรีบเดินนำไดเอน่าออกจากห้องทำงานของตนเองไป

 

และเมื่อเอริกะเห็นว่าทุกคนเริ่มต้นทำตามที่เธอสั่งไปแต่โดยดีแล้วเธอก็ได้หันไปมองทางอุปกรณ์ฉายภาพของเธอและกดลงไปบนปุ่มที่ขาแว่นเพื่อที่จะได้สั่งให้ตัวกล้องที่ติดอยู่บริเวณหน้าประตูทางทิศใต้เงยหน้าสูงและกวาดไปกวาดมาบนท้องฟ้าสีครามแทนเอริซาเบธที่ยังคงหาปุ่มควบคุมกล้องไม่เจออยู่ในทันที

 

“ถ้าเกิดเป้าหมายที่พวกนั้นพูดถึงไม่ได้หมายถึงรถคันนี้ก็โชคดีไป… แต่ถ้าเกิดว่ามันใช่ขึ้นมาล่ะก็.. โถ่โว้ย!!”

 

“เอ่อ… ถึงภาพท้องฟ้าแบบนั้นมันจะสวยดีก็เถอะ แต่ผมว่าถ้าเกิดคุณเอริกะเป็นห่วงขบวนรถนั่นจริงๆ ล่ะก็ให้… ‘กล้อง’ ของคุณเอริกะจับภาพบนพื้นน่าจะดีกว่าล่ะมั้งครับ… ถึงผมจะไม่คิดว่านักโทษในขบวนรถนั่นจะถูกชิงตัวไปได้ง่ายๆ เพราะว่ามันเป็นรถเสริมเกราะรุ่นพิเศษที่กระทรวงยุติธรรมทำเรื่องยืมไปจากทางกองทัพเพื่องานแบบนี้นี้โดยเฉพาะที่ต่อให้จะเป็นปืนใหญ่พลังวิซรุ่นล่าสุดของแพนเทร่าก็ยังทำให้มันเป็นรอยไม่ได้เลยนะครับ—–”

 

“รบกวนช่วยหุบปากไปด้วยค่ะคุณเวลอฟ!! ถ้าเกิดว่าศัตรูของพวกเราเขาใช้แค่วิซธรรมดาๆ ฉันคงจะไม่เดือดร้อนขนาดนี้หรอกค่ะ! อลิซ เธอตรวจเจออะไรบ้างหรือเปล่า!?”

 

“ไม่นะ… ตอนนี้พวกที่ใช้วิซอยู่ก็มีแค่พวกเด็กนักเรียนที่นั่งเรียนกันอยู่ในห้องเรียนกับพวกอาจารย์บางคนที่อยู่ในห้องพักครูน่ะ”

 

“ถ้างั้นเธอก็ไม่ต้องตรวจสอบแล้ว! เธอรีบเตรียมตัวออกไปประจำการที่ประตูทางทิศใต้เดี๋ยวนี้เลย!!”

 

“ค—คุณเอริกะคะ ข้างบนจอนั่น…”

 

ในขณะที่เอริกะกำลังหันไปพูดสั่งอลิซออกมาอยู่นั้น ทางด้านเอริซาเบธที่จับตามองดูภาพบนจอภาพอยู่ก็ได้เอ่ยปากเรียกเอริกะขึ้นมาเมื่อเธอสังเกตเห็นเส้นแสงสีฟ้าพุ่งตัดน่านฟ้ามาด้วยความรวดเร็วก่อนที่มันจะหยุดอยู่นิ่งๆ บนท้องฟ้าบริเวณใกล้ๆ กับขบวนรถเจ้าปัญหาที่ว่านั่น

 

“นั่นไง— เป้าหมายของพวกนั้นอยู่ที่ขบวนรถจริงๆ ด้วย! อลิซเธอรีบออกไปเร็ว!”

 

“รู้แล้วล่ะน่า!!”

 

เพล้ง!!

 

อลิซที่ได้ยินเสียงร้องสั่งของเอริกะได้พุ่งตัวไปทางกระจกหน้าต่างแบบที่เธอทำครั้งที่แล้วในทันที แต่ว่าในเมื่อคราวนี้ไม่มีท่านผู้อำนวยการมาเลื่อนโต๊ะทำงานและเลื่อนเปิดกระจกให้มันก็เลยให้อลิซจำเป็นต้องพุ่งทะลวงกระจกหน้าต่างออกไปทางด้านนอกก่อนที่เธอจะใช้ไอพ่นจากพาร์ทส่วนล่างช่วยลดความเร็วในการร่วงหล่นเอาไว้และใช้ล้อที่ซ่อนไว้ใต้พื้นรองเท้าพุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วสูง

 

“จะทันมั้ยนะ… ขอให้ทันทีเถอะ…”

 

เอริกะที่เฝ้าจับตาดูจุดแสงสีฟ้าบนหน้าจอได้แต่พูดออกมาด้วยความกังวล แต่ถึงอย่างนั้นคำภาวนาของเธอก็ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผลเมื่อเธอสังเกตเห็นว่าจุดแสงสีฟ้าได้ส่องแสงสว่างมากกว่าปกติออกมาอยู่ชั่วขณะ

 

“ไม่ทันแล้วสินะ… เฮ้อ…”

 

เอริกะที่เห็นดวงแสงสีฟ้าส่องแสงสว่างเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยนั้นสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าเจ้าของปีกแสงสีฟ้าที่ลอยตัวอยู่บนนั้นคงจะเตรียมการโจมตีเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วเธอจึงได้แต่ต้องถอนหายใจออกมา และสิ่งที่ปรากฏขึ้นในจอภาพถัดจากนั้นก็คือการที่มีเส้นอะไรบางอย่างสีดำพุ่งแหวกอากาศลงมาด้วยความเร็วสูงก่อนที่มันจะพุ่งทะลวงเข้าไปในห้องคนขับจนทำให้ห้องคนขับที่อยู่ด้านหน้าตัวรถถึงกับระเบิดแตกกระจายออกไปเป็นเสี่ยงๆ ในทันที

 

“ร…รถหุ้มเกราะที่เพิ่งสั่งมา…”

 

“พลังทำลายนั่นมันอะไรกัน…”

 

ตึ้ง!!

 

“แล้วพวกคุณจะมามัวเหม่ออะไรอยู่กันล่ะคะ!? รีบๆ ไสหัวออกไปทำหน้าที่ปกป้องบ้านเมืองกันได้แล้ว!! ส่วนพวกตัวแทนทั้งสองคนก็รีบๆ กลับไปรายงานพวกหัวหน้าตัวตลกของพวกคุณด้วยว่าที่เรื่องมันฉิบหายได้ขนาดนี้ก็เป็นเพราะพวกมันนั่นล่ะ!!”

 

เอริกะที่เห็นเหล่าขุนนางทั้งสี่คนกำลังอึ้งทึ่งอยู่กับพลังทำลายของแท่งโลหะสีดำนั้นได้รีบตะโกนเรียกสติของพวกเขาขึ้นมาเสียงดังพร้อมกับขึ้นเสียงพูดไล่พวกเขาออกไปโดยไม่สนใจถึงตำแหน่งอันสูงส่งของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

 

แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่เหล่าขุนนางทั้งสี่คนทำก็เป็นเพียงแค่หันกลับมามองทางด้านเอริกะด้วยความเหม่อลอยราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในจอภาพของเอริกะจะเป็นเรื่องจริงจนทำให้เอริกะต้องตวาดใส่พวกเขาอีกครั้งหนึ่ง

 

“เอ้า! รอบ้าอะไรกันอยู่ล่ะ!? ถ้าเกิดว่าจะรอจนกว่าทหารพวกนั้นตายกันหมดแล้วค่อยคิดขยับก้นกันล่ะก็ไปเปลี่ยนอาชีพเป็นสัปเหร่อแล้วปล่อยให้คนที่เหมาะสมกว่าเข้ามาทำงานแทนซะไป๊!!”

 

“—!! พวกเรารีบไปกันเถอะครับท่านเวลอฟ ท่านแซนดร้า คุณเรจจิ!!”

 

“ม—ไม่ต้องบอกก็รู้อยู่แล้วล่ะน่า!!”

 

คำพูดของเอริกะนั้นได้ทำให้ดั๊ดเลสที่เป็นตัวแทนของรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมถึงกับสะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะรีบร้องเรียกให้คนอื่นๆ ลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อไปจัดการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้นที่ด้านหน้าประตูเมืองทางทิศใต้ในทันที

 

และหลังจากที่เหล่าขุนนางเดินออกจากห้องทำงานของท่านผู้อำนวยการไปกันหมดแล้ว ทางด้านเอริกะก็ได้รีบหันกลับไปจ้องมองทางด้านจอภาพของเธอและพบเข้ากับภาพของกระป๋องขนาดเล็กๆ ที่กำลังกลิ้งไปมาอยู่รอบตัวรถและกำลังปล่อยกลุ่มควันสีส้มออกมาเป็นจำนวนมาก

 

“นั่นมันระเบิดควันงั้นหรอ… ไม่ใช่สิ แก๊สพิษหรือไม่ก็แก๊สน้ำตางั้นหรอ!?”

 

เอริกะที่ในตอนแรกคิดว่าควันสีส้มพวกนั้นเป็นเพียงแค่ระเบิดควันธรรมดาๆ ได้รีบเปลี่ยนความคิดของเธอในทันทีที่สังเกตเห็นเหล่าอัศวินคุ้มกันรถขนนักโทษต่างพากันถอดหมวกเกราะของพวกเขาออกมาและใช้มือขยี้ตาของตัวเองอย่างรุนแรงราวกับว่าพวกเขารู้สึกระคายเคืองเป็นอย่างมากก่อนที่พวกเขาจะค่อยๆ ทรุดตัวล้มลงไปดิ้นทุรนทุรายกับพื้นกันทีละคนๆ

 

และหลังจากที่กลุ่มควันสีส้มเหล่านั้นฟุ้งกระจายหายไปหมดแล้วก็ได้มีเด็กสาวผมสีทองที่ถือไม้กระบองเหล็กติดไฟเดินนำกลุ่มของทหารในชุดเกราะหนังกับหมวกสีน้ำเงินเหมือนกับทหารยามของเมืองรีมินัสออกมาจากพุ่มไม้ใกล้ๆ กัน

 

ซึ่งเด็กสาวคนนั้นก็ค่อยๆ เดินไล่ทุบศีรษะของเหล่าอัศวินที่ไร้ทางสู้จนพวกเขานอนแน่นิ่งกันไปทีละคนก่อนที่เธอจะก้มลงไปหยิบพวงกุญแจขึ้นมาจากร่างของอัศวินรายหนึ่งและเดินไปยังประตูหลังรถกระบะเพื่อพาตัวนักโทษชายที่มีหูแมวและผมสีม่วงพร้อมกับนักโทษอีกจำนวนหนึ่งออกมา

 

“คุณเอริกะ พวกเราทำอะไรไม่ได้เลยหรอคะ!?”

 

“ตอนนี้คงทำได้แต่หวังให้อลิซไปถึงที่นั่นทันแค่นั้นล่ะ… เพราะฉันดันดูถูกความห่วยของระบบที่นี่มากไปหน่อยจนเคลื่อนย้ายกลุ่มอื่นๆ ไปประจำการอยู่ที่เมืองอื่นกันหมดแล้ว…”

 

แอ๊ดดดดด!! แอ๊ดดดดดดด!! แอ๊ดดดดดด!!

 

“คุณเอริกะคะ!! เจ้าเครื่องนี้มันบอกว่ามีคนพยายามต่อสายตรงติดต่อเข้าไปหาคุณเอริกะสามสายพร้อมๆ กันเลย จะให้ทำยังไงดีคะ!?”

 

“เธอกดรับไปทีละสายเลย เจ้าเครื่องนั่นมันเชื่อมอยู่กับเครื่องสื่อสารของฉันเอาไว้อยู่แล้ว…”

 

“รับทราบค่ะ!!”

 

ปิ๊บ!

 

ปังปังปังปังปัง!!

 

ในทันทีที่เอริซาเบธกดรับสายของเครื่องสื่อสารอันหนึ่งอันก็ได้มีเสียงปืนดังลั่นออกมาให้พวกเธอได้ยินอย่างต่อเนื่องก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงของนิลิมดังแทรกขึ้นมา

 

“เอริกะ! ที่ทางเหนือของกราวิทัสมีกลุ่มคนติดอาวุธพยายามจะมาบุกโจมตีเมืองกราวิทัสอยู่ เธอจะให้ฉันเข้าไปช่วยพวกเขาหรือเปล่า!?”

 

“อื้ม เธอนำกลุ่มทหารรับจ้างที่ประจำการอยู่ที่นั่นเข้าไปช่วยเหลือทหารของทางเมืองได้เลย แล้วก็ระวังตัวด้วยล่ะเพราะถ้าเกิดพวกนากาเขารู้ว่าเธอได้รับบาดเจ็บเพราะคำสั่งของฉันขึ้นมาพวกเด็กๆ สองคนนั้นเขาเอาฉันตายแน่… เอริซาเบธไปสายถัดไปได้เลย!”

 

ปิ๊บ

 

“หลบเร็วครับทีเอร่า!!”

 

“ว๊าย—!?”

 

ตู้ม!! โคร๊มมมม!!

 

เสียงร้องเตือนของเดดาลัสและเสียงร้องด้วยความตกใจของทีเอร่าก่อนจะตามมาด้วยเสียงระเบิดดังลั่นนั้นถึงกับทำให้เอริซาเบธที่เพิ่งจะกดรับการติดต่อจากทั้งสองคนใจหายวาบ แต่ว่าก่อนที่ทั้งเอริซาเบธและเอริกะจะได้พูดอะไรขึ้นมาทีเอร่าที่เหมือนว่าจะยังอยู่รอดปลอดภัยดีอยู่ก็ได้ส่งเสียงตอบกลับมาอีกครั้งซะก่อน

 

“น–หนูทีเอร่าที่ประจำอยู่ที่แพนเทร่ากับพี่เดดารัสค่ะ! เมื่อกี้นี้กำแพงคุกที่อยู่ทางตะวันออกของเมืองเพิ่งจะโดนอะไรก็ไม่รู้ระเบิดไปจนแหว่งเลยค่ะ ถึงตอนนี้จะยังปลอดภัยดีอยู่แต่ถ้าเกิดว่ามีระเบิดขึ้นมาอีกสักครั้งสองครั้งล่ะก็— เดี๋ยวสิพี่ชายคนนั้นจะไปไหนน่ะ!?”

 

“วู่วววววว!! ฉันน่ะไม่ต้องรอรับคำสั่งจากพวกแกหรอกเฟ้ย!!”

 

ตู้ม!!!

 

“เหวอออออออ!!!”

 

“อ—เอ่อ… พี่ชายทหารรับจ้างที่ใส่ผ้าคลุมแดงคนตะกี้นี้โดนระเบิดปลิวกระเด็นไปแล้วค่ะพี่เอริกะ!! แล้วตอนนี้พวกพี่ๆ นักโทษก็แห่กันหนีออกมาจากคุกกันแล้วด้วย ถ้าเป็นไปได้หนูขอกำลังเสริมหน่อยก็ดีนะคะ!!”

 

“เข้าใจล่ะ! เอริซาเบธเดี๋ยวเธอกดรับสายสุดท้ายให้ฉันแล้วก็เอาเจ้านี่ไปแจ้งให้กองกำลังส่วนหนึ่งที่ประจำอยู่ที่แพนเทร่าไปช่วยสนับสนุนพวกทีเอร่าเขาหน่อย!”

 

“รับทราบค่ะ!”

 

เอริซาเบธพูดตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เธอจะรีบยื่นมือไปคว้าเอาเครื่องสื่อสารอีกอันหนึ่งที่เอริกะโยนมาให้เอาไว้และกดรับสายการติดต่ออันสุดท้ายพร้อมกับเริ่มทำการติดต่อหากำลังเสริมไปให้ทีเอร่าไปด้วย

 

ปิ๊บ!

 

เคล๊ง! เคล๊ง!!

 

“นี่เซซิเรีย ตอนนี้ฉันกำลังสู้กับกองกำลังกลุ่มหนึ่งอยู่ใกล้ๆ กับเมืองซายูกิ! คนพวกนี้ไม่ใช่พวกแฟรี่แล้วเกินกว่าครึ่งหนึ่งก็มีความสามารถในการใช้วิซระดับสูงด้วย! หนึ่งในหัวหน้าของพวกนั้นเหมือนว่าจะเป็นคนของเมืองซายูกิที่ใช้ดาบใหญ่ติดไฟ เธอแจ้งกลุ่มอื่นๆ ให้เตรียมพร้อมรับมือกับคู่ต่อสู้ที่ใช้วิซด้วย!!”

 

“ย๊ากกกกกก!!”

 

เคล๊ง—ปึ๊ก—!!

 

ในขณะที่เซซิเรียกำลังพูดอธิบายสถานการณ์ออกมาอยู่นั้นก็ได้มีเสียงร้องของชายหนุ่มคนหนึ่งดังลั่นขึ้นมาก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงของการปะทะอาวุธสั้นๆ ครั้งหนึ่งและมีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของชายหนุ่มคนเดิมตามมา

 

“อั๊ก!?”

 

“ให้ตายสิ— พวกทหารของเมืองซากิกับเมืองยูกิที่เดินมาตรวจตราแถวนี้เข้ามาร่วมตะลุมบอนกันจนมั่วไปหมดแล้ว! เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะหาเวลาติดต่อกลับไปอีกทีก็แล้วกัน!!”

 

“เข้าใจแล้ว! ระวังตัวด้วยนะเซซิเรีย! เอริซาเบธเธอแจ้งกลุ่มอื่นๆ กับพวกทีเอร่าด้วยว่าศัตรูไม่ได้มีแค่พวกแฟรี่แต่ว่ามีพวกคนที่สามารถใช้วิซได้ด้วย!”

 

“ได้ยินแล้วค่ะ!!”

 

เอริซาเบธที่ได้ยินเอริกะพูดสั่งงานมาอีกรอบได้หันกลับมาพยักหน้าตอบอีกฝ่ายกลับไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหันกลับไปพูดใส่เครื่องสื่อสารอย่างเอาเป็นเอาตาย

 

และในขณะเดียวกันนั้นเอริกะก็ได้หันกลับไปดูบนจอภาพของเธอที่ในขณะนี้กำลังฉายภาพของเด็กสาวผมสีทองถือไม้กระบองเหล็กติดไฟที่ดูเหมือนว่าจะกำลังพูดสั่งให้ทหารชุดน้ำเงินคนหนึ่งยกร่างของนักโทษอีกคนที่ถูกแท่งโลหะแทงทะลุลำตัวออกมาจากตัวรถก่อนที่พวกเธอจะค่อยๆ พากันเดินเข้าไปหลบอยู่ในแนวต้นไม้อย่างไม่รีบร้อน

 

“ส่วนที่นี่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นแผนการชิงตัวนักโทษงั้นสินะ… แต่ถ้าได้ตัวนักโทษไปหมดแล้วทำไมถึงยังไม่รีบหนีไปอีกล่ะ… เดี๋ยวนะ—”

 

เอริกะที่เห็นเหล่าผู้บุกรุกค่อยๆ เดินจากไปแบบไม่รีบร้อนอะไรมากนักนั้นได้ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และรีบสั่งให้กล้องของเธอที่ติดอยู่บริเวณหน้าประตูเมืองกวาดไปมาเพื่อมองหาอะไรบางอย่างในทันที

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะได้พบกับสาวใช้ผมสีดำยาวที่มีนัยน์ตาว่างเปล่าไร้ชีวิตชีวาที่ถือแผ่นเหล็กที่มีปุ่มกดสีแดงตรงกลางเอาไว้ในมือที่กำลังยืนหลบอยู่หลังต้นไม้ไม่ห่างไปจากจุดเกิดเหตุมากนัก

 

“ยัยนั่นมัน—”

 

แต่ว่ายังไม่ทันที่เอริกะจะได้พูดอะไรออกมาภาพบนอุปกรณ์ฉายภาพของเธอก็ได้ปรากฏภาพของกลุ่มทหารรักษาความปลอดภัยที่กำลังวิ่งออกมาสำรวจดูจุดเกิดเหตุกันอย่างรีบร้อนเพื่อเข้าไปช่วยเหลือเหล่าอัศวินที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นพวกนั้น

 

“อลิซเธอวิ่งไปถึงไหนแล้ว! ถ้าเธอใกล้จะไปถึงแล้วรีบบอกให้ทหารพวกนั้นถอยกลับออกมาจากซากรถซะ ยัยนิโคลอยู่ที่นั่นด้วย!!”

 

“หา? เฮ้ย! พวกนายอย่าเข้าไปใกล้ซากรถคันนั้นนะ!!”

 

ถึงแม้ว่าอลิซจะรู้สึกสับสนกับคำสั่งของเอริกะอยู่บ้างแต่ว่าเธอก็รีบร้องห้ามเหล่าทหารประจำเมืองพวกนั้นแต่โดยดี

 

แต่ถึงแบบนั้นก็ดูเหมือนว่าเหล่าทหารยามพวกนั้นจะไม่ได้สนใจเสียงร้องห้ามของอลิซที่พวกเขาคิดว่าเป็นเพียงแค่เด็กสาวชาวบ้านธรรมดาๆ เลยแม้แต่น้อยและรีบวิ่งเข้าไปช่วยพยุงร่างของเหล่าอัศวินขึ้นมา

 

“แย่ล่ะสิ… เธอรีบถอยออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะอลิซ!!”

 

กริ๊ก—

 

ตู้ม!! ตู้ม!! ตู้ม!!

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

Status: Ongoing
เมื่อคำสัญญาจากอดีตได้หวนคืนกลับมาเพื่อทวงคืนสิ่งที่ถูกหยิบยืมไป การเดินทางของคนถูกทิ้งกลุ่มหนึ่งเพื่อจะช่วยเหลือมนุษยชาติจึงได้เริ่มต้นขึ้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท