บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ – ตอนที่ 130 Shoulder to Shoulder

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

หลังจากที่เอริกะขับรถพานากากลับมาถึงเมืองรีมินัสในช่วงเย็นของวันเดียวกันนั้นเธอก็ได้ส่งนากาลงที่เบื้องหน้าของเรือนจำเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตัวเมืองชั้นในบริเวณที่อยู่ใกล้ๆ กับกำแพงเมือง ซึ่งสภาพของตัวเรือนจำที่ดูหรูหราในระดับหนึ่งนั้นก็ทำให้นากาสามารถทราบได้ในทันทีว่ามันคงจะไม่ใช่เรือนจำที่มีเอาไว้สำหรับประชาชนธรรมดาๆ อย่างแน่นอน

และนั่นก็ทำให้นากาได้แต่เบ้ปากเล็กน้อยกับความสองมาตรฐานของพวกเหล่าขุนนางและผู้มีอันจะกินในตัวเมืองชั้นในแห่งนี้ก่อนที่เขาจะเดินตรงเข้าไปภายในตัวอาคารและเอ่ยปากแจ้งจุดประสงค์การมาเยือนของเขาให้เจ้าหน้าที่ที่นั่งประจำการอยู่ด้านในทราบในทันที

 

“ผมมาขอเยี่ยมพบไดเอน่าครับ”

 

“……….”

 

เจ้าหน้าที่หนุ่มของทางเรือนจำที่ได้ยินชื่อนักโทษที่นากาพูดขึ้นมานั้นได้ขมวดคิ้วเล็กน้อยและทำท่าเหมือนกับว่าจะเอ่ยปากไล่นากาออกไป แต่ว่าทันใดนั้นเองเขาก็ได้เหลือบไปเห็นเอริกะที่กำลังนั่งเท้าคางทำหน้ายิ้มๆ อยู่กับหน้าต่างรถยนต์ขนาดเล็กที่ปกติแล้วมันจะถูกขับโดยขุนนางขั้นสูงของทางวังเข้าซะก่อนจนทำให้เขาต้องรีบเปลี่ยนคำพูดของตนในทันที

 

“ถ้าเกิดคุณหมายถึงไดเอน่า เซมฟิร่าคนนั้นล่ะก็ เธอคนนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้พบกับแขกผู้มาเยือนครับ”

 

“ไม่ได้รับอนุญาตให้พบ? พอจะบอกเหตุผลให้ผมทราบหน่อยได้หรือเปล่าครับว่าทำไม?”

 

“เรื่องนี้ผมไม่ได้รับอนุญาตให้พูดครับ ผมคงจะบอกได้แค่ว่านักโทษหญิงไดเอน่าจะครบกำหนดรับโทษในอีกสองวัน… ถ้าคุณอยากจะพบเธอก็ให้มารอพบในอีกสองวันข้างหน้าก็แล้วกันครับ”

 

“งั้นหรอครับ…”

 

ถึงแม้ว่านากาที่ได้ยินคำพูดบอกปัดของเจ้าหน้าที่คนนั้นจะรู้สึกหงุดหงิดไม่ใช่น้อยแต่ว่าเขาก็ได้แต่ต้องพยายามเก็บอาการของตนเองเอาไว้ก่อนเพราะว่าก่อนที่เขาจะลงมาจากรถเอริกะได้เอ่ยปากเตือนเขาเกี่ยวกับเรื่องของการวางตัวเอาไว้ก่อนแล้ว และนั่นก็ทำให้นากาได้แต่ต้องเดินหน้ามุ่ยกลับไปหาเอริกะที่กำลังนั่งเท้าคางอยู่กับหน้าต่างรถยนต์จนทำให้อีกฝ่ายเอ่ยปากทักขึ้นมา

 

“กลับมาเร็วขนาดนี้แสดงว่าพวกเขาไม่ยอมให้เข้าพบสินะนากาคุง”

 

“อื้ม… มันก็อะไรประมาณนั้นแหล่ะ เห็นเขาบอกว่าให้มารอพบในอีกสองวันข้างหน้าหลังจากไดเอน่าถูกปล่อยตัวแล้วแทนน่ะ”

 

“อ่าหะ เอาจริงๆ ฉันก็กะเอาไว้แล้วล่ะว่าพวกเขาจะต้องพูดแบบนี้น่ะ… เชื่อหรือเปล่าล่ะว่าถ้าเกิดตาคนเฝ้ายามนั่นไม่ได้สังเกตเห็นรถของฉันเข้าซะก่อนนี่เขาจะบอกนายว่าไดเอน่าจังไม่ได้ถูกกักตัวเอาไว้ที่นี่ซะด้วยซ้ำน่ะ~”

 

“ขนาดนั้นเลยหรอ…?”

 

“ก็ขนาดนั้นเลยนั่นแหล่ะ~ ก็ไดเอน่าจังเขาเป็นถึงลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูลดังนี่นา ถ้าไม่ใช่ทางตระกูลของเธอก็คงจะเป็นทางเรือนจำเองนี่ล่ะที่ต้องการจะปิดเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับเพราะว่าไม่อยากให้เรื่องมันวุ่นวายน่ะ”

 

เอริกะพูดตอบนากากลับมาแบบไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงไดเอน่ามากนัก เพราะเธอเชื่อว่าทางเรือนจำคงจะไม่กล้าทำอะไรเกินเลยต่อลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูลเซมฟีร่าอย่างแน่นอน ในขณะที่ทางด้านนากาเองก็ได้แต่เหลือบหันกลับไปมองทางด้านเรือนจำด้วยสีหน้าเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิดจนเอริกะถึงกับอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากพูดถามขึ้นมา

 

“นายอยากเข้าไปเยี่ยมไดเอน่าจังเขาขนาดนั้นเลยหรอน่ะนากาคุง?”

 

“อ่า… ยิ่งเห็นพวกเขาปิดเรื่องของไดเอน่าไว้เป็นความลับขนาดนี้ฉันก็ยิ่งเป็นห่วงมากไปกว่าเดิมอีกน่ะ”

 

“อื้ม… ถ้านายอยากจะเข้าไปเยี่ยมไดเอน่าจังเขาจริงๆ ล่ะก็ฉันน่าจะพอทำเรื่องให้นายได้อยู่ล่ะนะ แต่ว่ากว่าฉันจะจัดการอะไรเสร็จมันก็คงจะถึงวันพรุ่งนี้พอดีน่ะ”

 

“วันพรุ่งนี้เลยงั้นหรอ…”

 

นากาที่ได้ยินแบบนั้นได้แต่ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะถึงแม้ว่าเอริกะจะทำท่าทางเหมือนกับว่าไม่เป็นห่วงอะไรไดเอน่ามากนักแต่ว่าสำหรับเขาที่รู้สึกไม่ค่อยจะไว้ใจทางตัวเมืองและเหล่าคนมีอำนาจในเมืองสักเท่าไหร่นักก็กลับไม่สามารถคลายความกังวลได้เลย

 

ซึ่งในขณะที่นากากำลังรู้สึกกังวลอยู่นั้นอยู่ๆ ก็ได้มีเสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ฟังดูค่อนข้างจะคุ้นหูดังขึ้นมาให้เขาได้ยิน

 

“นั่นใช่นากากับคุณเอริกะหรือเปล่านะครับนั่น!!”

 

“หืม…?”

 

เสียงของเด็กหนุ่มที่ฟังดูคุ้นหูที่ดังขึ้นมาจากอีกฝั่งหนึ่งของถนนได้ทำให้นากาเงยหน้าขึ้นไปมองทางต้นเสียงด้วยความแปลกใจก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงของเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งดังขึ้นตามมา

 

“ใช่จริงๆ ด้วยวุ้ย นายนี่ตาดีชะมัดเลยนะทีออส”

 

เด็กหนุ่มทั้งสองคนที่เอ่ยปากร้องเรียกชื่อของนากาและเอริกะขึ้นมานั้นก็คือ ทีออส และเดริค เด็กหนุ่มสองคนที่นากาเคยได้พบเจอที่เมืองกราวิทัสในตอนที่เขาถูกทางวังหลวงของที่นั่นส่งจดหมายเชิญมานั่นเอง ซึ่งในขณะนี้ทีออสที่กำลังเดินนำหน้าเดริคที่หิ้วกระเป๋าใบใหญ่เอาไว้กับตัวก็ได้พาเพื่อนของเขาเดินตรงข้ามถนนมาเพื่อเข้ามาหาพวกเขาอยู่จนทำให้นากาได้แต่ต้องเอ่ยปากถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

 

“เดริคกับทีออสหรอ? นี่พวกนายย้ายมาอยู่ที่รีมินัสกันสำเร็จแล้วหรอเนี่ย?”

 

“เรื่องนั้นเอาจริงๆ ก็เกือบจะสำเร็จแล้วล่ะครับ แค่ว่าเดริคเขาดันไปเจอตออันเบ้อเริ่มเข้าให้จนพลาดโอกาสไปแค่นิดเดียวเองน่ะ… ส่วนที่พวกผมมาที่นี่วันนี้ก็แค่มารับเอาชิ้นส่วนที่สั่งเอาไว้เหมือนกับคราวที่แล้วนั่นแหล่ะ แต่ว่ารอบนี้ดันมีคนตามมาคุมด้วยอีกต่างหากเพราะว่าคราวที่แล้วพวกผมดันกลับไปช้ากว่ากำหนดนิดหน่อยน่ะ…”

 

“ส่งคนมาคอยคุม? หมายถึงส่งพวกทหารหรืออัศวินอะไรพวกนั้นมากับพวกนายน่ะหรอ ฉันไม่เห็นจะมีใครแถวนี้เลยนี่”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดของทีออสได้หันซ้ายหันขวาพยายามมองหาตัวคนคุมที่ว่านั่น แต่ว่าเขาก็กลับมองไม่เห็นว่าจะมีใครเดินตามมาคุมเด็กหนุ่มทั้งสองเลยแม้แต่น้อยจนต้องพูดถามขึ้นมา ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะที่เหมือนจะพอคาดเดาอะไรได้เอ่ยปากพูดหยอกล้อเด็กหนุ่มทั้งสองคนขึ้นมา

 

“จุ๊ๆ ถ้าจะให้ฉันเดานี่เรื่องมันก็คือว่าเจ้าพวกตัวตลกในกราวิทัสเกิดสงสัยขึ้นมาว่าพวกเธออาจจะแอบเอารถไปทำอะไรมาจนกลับไปช้า คราวนี้พวกเขาก็เลยส่งขุนนางยศต่ำๆ หรือว่าทหารสักคนนึงตามมาจับตาดูพวกเธอแต่ว่าพวกเธอก็ดันหลอกทิ้งเขาเอาไว้ที่ไหนสักที่แล้วงั้นสินะ~”

 

“ก็ตามที่เอริกะจั—— โอ๊ยๆ มันก็ตามที่คุณเอริกะพูดขึ้นมานั่นล่ะ ตะกี้นี้พวกฉันเพิ่งจะวางแผนทิ้งยัยนั่นเอาไว้กับมายะจังที่โรงเรียนได้น่ะ นี่ถ้าเกิดยัยนั่นรู้เข้าว่าพวกฉันไม่ได้เอาของไปเก็บตามที่บอกเอาไว้ล่ะก็มีหวังได้โดนบ่นจนหูชาแน่…”

 

เดริคที่โดนทีออสแอบเหยียบเท้าอย่างแรงเพราะใช้คำที่ฟังดูสนิทสนมกับเอริกะมากจนเกินควรนั้นได้แต่ต้องรีบแก้ไขคำพูดของตนเองอย่างรวดเร็วพร้อมกับพูดนินทาผู้คุมของพวกเขาที่ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้หญิงอย่างไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่น้อยในขณะที่ทางด้านทีออสนั้นก็ได้แต่ต้องรีบหาเรื่องมาเปลี่ยนหัวข้อการพูดคุยด้วยความกลัวว่าเพื่อนของตนจะเผลอพ่นอะไรที่ไม่สมควรออกมาจากปากอีกครั้ง

 

“ฮะฮะ ถึงคุณเซียเธอจะดูเคร่งเกินไปสักหน่อยก็เถอะแต่ว่าเธอก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นนะเดริค…”

 

“เหวย— นี่นายไปเป็นพวกเดียวกับพวกขุนนางแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กันน่ะทีออส… นี่อย่าบอกนะว่านายโดนผมลอนๆ สีขาวของคุณเซียนั่นล่อลวงไปแล้วน่ะ!?”

 

“หา!? นายจะบ้าหรือไง!? ฉันก็แค่พูดไปตามความจริงเท่านั้นนั่นแหล่ะ”

 

ทีออสที่ได้ยินคำพูดของเดริคได้ขึ้นเสียงเถียงเขากลับไปในทันที แต่ถึงอย่างนั้นเดริคก็กลับไม่ทำเป็นไม่สนใจเพื่อนของตนและหันไปเอ่ยปากพูดสอบถามนากาขึ้นมา

 

“ว่าแต่ที่นี่คือเรือนจำที่ไดเอน่าจังถูกพาตัวมาใช่มั้ยน่ะ? เห็นมายะจังเขาบอกมาว่ามันน่าจะอยู่แถวๆ นี้น่ะ”

 

“อื้ม… ที่นี่นั่นแหล่ะ…”

 

“….เป็นอะไรหรือเปล่าน่ะครับนากา ท่าทางของนายดูแปลกๆ นะครับ”

 

ท่าทางของนากาที่ดูเศร้าๆ ลงไปหลังจากที่เขาได้พบเจอกับเดริคและทีออสอีกครั้งหนึ่งจนทำให้ภาพของพรีมูล่าที่เกาะอยู่บนหลังคารถกระบะเพื่อพุ่งเข้าไปช่วยเหลือเขาและเซซิลที่สวนหน้าปราสาทกราวิทัสผุดกลับเข้ามาในหัวของเขาอีกครั้งได้ทำให้ทีออสที่ดูเหมือนว่าจะเป็นคนช่างสังเกตมากกว่าเดริคเอ่ยปากถามนากาขึ้นมาด้วยความสงสัย ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะที่นั่งฟังเด็กหนุ่มทั้งหลายพูดคุยกันอยู่ต้องรีบพูดแทรกขึ้นมาในทันที

 

“คือว่าเมื่อวานนี้หลังจากที่มีการโจมตีที่ประตูเมืองเกิดขึ้นแล้วก็เกิดการโจมตีตามมาที่หมู่บ้านต่างๆ รวมไปถึงหมู่บ้านของนากาคุงเขาด้วยน่ะ ถ้าเธออยากจะรู้เรื่องนี้ก็เดี๋ยวเอาไว้ค่อยหาโอกาสไปคุยกับฉันที่บ้านก็แล้วกันเนอะ~”

 

“เห… ที่เมืองรีมินัสนี่ก็โดนโจมตีด้วยเหมือนกันหรอน่ะ ตอนที่ฉันเพิ่งจะมาถึงแล้วเห็นประตูเมืองพังยับขนาดนั้นฉันก็นึกว่าพวกเขากำลังทุบทิ้งสร้างใหม่เล่นอยู่ซะอีก”

 

“ฉันก็บอกแล้วไงว่ามันน่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่นี่เหมือนกันน่ะ มันจะมีใครที่ไหนไปทุบประตูเมืองเพื่อสร้างใหม่เล่นกันหะเดริค?”

 

“เอ้า อย่างน้อยๆ มันก็มีเจ้าพวกบ้าที่เมืองของเราที่ชอบทำอะไรแบบนั้นอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่หรือไง?”

 

“เออ… มันก็จริงแฮะ…”

 

คำตอบกวนๆ ของเดริคถึงกับทำให้ทีออสชะงักไปในทันที เพราะว่าวันดีคืนดีเหล่าขุนนางว่างงานในเมืองกราวิทัสของพวกเขาก็มักจะเบิกงบมาสร้างนู้นทุบนี่เล่นกันเป็นประจำอยู่ทุกๆ ปีทั้งๆ ที่ของเก่ามันก็ยังอยู่ดีของมันอยู่แท้ๆ

 

ซึ่งในขณะที่ทีออสกำลังรู้สึกเหนื่อยใจกับเมืองของเขาอยู่นั้นทางด้านเดริคก็ได้เดินเข้าไปหานากาและยกแขนขึ้นมาคล้องคอของเขาเอาไว้ก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ

 

“เออนี่นากา เห็นมายะจังเขาบอกว่าพวกคนคุมเขาไม่ยอมให้ใครเข้าพบไดเอน่าจังใช่มั้ยล่ะ แต่ฉันคิดว่าฉันพอจะนึกแผนอะไรดีๆ ขึ้นมาได้นิดหน่อยน่ะ นายสนใจจะลองทำดูหรือเปล่า?”

 

“แผนหรอ…?”

 

“ช่าย~ แผนที่จะทำให้นายได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมไดเอน่าจังเขายังไงล่ะ!”

 

“ถ้าเกิดว่าเป็นแผนที่หลุดออกมาจากปากของเดริคล่ะก็นายอย่าไปฟังน่าจะดีกว่านะครับนากา…”

 

“อย่าเพิ่งขัดแล้วก็ให้นากาเขาลองฟังดูก่อนสิฟระ!!”

 

เดริคที่ได้ยินทีออสกุมขมับพร้อมกับพูดเตือนออกมานั้นได้หันไปพูดว่าเพื่อนเขาด้วยน้ำเสียงอันดังในทันทีก่อนที่เขาจะวางกระเป๋าสะพายที่เขาแบกเอาไว้บนหลังตั้งแต่แรกลงกับพื้นและเปิดสิ่งของภายในที่น่าจะเป็นส่วนสำคัญของแผนการออกมาให้นากาดูจนทำให้นากาได้พบว่าสิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ภายในกระเป๋าใบใหญ่ของเดริคนั้นก็คือเครื่องดื่มมึนเมามากมายหลายชนิดนั่นเอง

 

“ฉันขอเดานะว่าเธอกำลังคิดจะมอมเหล้าคนที่ประจำการอยู่ข้างในนั้นใช่มั้ยเนี่ยเดริคคุง…?”

 

ทันใดนั้นเองเอริกะที่ชะโงกหน้าออกมาจากตัวรถเพื่อมองดูอุปกรณ์ในแผนการของเดริคด้วยเช่นกันก็ได้พูดขึ้นมาจนทำให้เดริคถึงกับสะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะรีบพูดบ่ายเบี่ยงออกมาอย่างรวดเร็ว

 

“อุ้ย—- ถ้ายังไงก็ช่วยเรียกมันว่าเป็นการกระทำของพลเมืองดีที่เอาของขวัญมามอบให้กับเจ้าหน้าที่ที่ทำงานกันอย่างขยันขันแข็งเป็นการตอบแทนจะดีกว่านะครับคุณเอริกะ~ ว่าแต่แล้วนายจะเอายังไงล่ะนากา สนใจจะลองทำตามแผนของฉันมั้ยล่ะ”

 

“มันจะได้ผลหรอน่ะ…? ว่าแต่แล้วนี่นายแบกเหล้าตั้งเยอะขนาดนี้ไปไหนมาไหนทำไมกันเนี่ย?”

 

นากาที่ได้เห็นขวดเหล้าจำนวนมากในกระเป๋าของเดริคได้แต่กะพริบตาปริบๆ พูดถามเขากลับไปด้วยความสงสัยจนทำให้ทางด้านเดริคที่ไม่ได้เห็นว่าเรื่องนี้มันจะต้องเก็บเป็นความลับอะไรอยู่แล้วได้พูดตอบเขากลับมาแต่โดยดี

 

“มันก็สาเหตุเดียวกับที่ทำให้ทางเมืองส่งคุณเซียมาจับตามองฉันไปพร้อมๆ กับทีออสในฐานะผู้ต้องสงสัยนั่นแหล่ะ… ถ้าจะให้สรุปสั้นๆ ก็คือว่าอยู่ๆ บาร์เหล้าที่ฉันเข้าไปทำงานพิเศษมันก็ระเบิดจนวอดวายไปน่ะ”

 

“นั่นมันก็สั้นไปแล้ว!! …คือเรื่องมันมีอยู่ว่าเดริคเขาไปทำงานพิเศษที่บาร์เหล้าแห่งนึงตามปกตินั่นแหล่ะครับ แต่เห็นเดริคเขาบอกว่าเขาแค่ออกไปซื้อส่วนผสมที่ขาดอยู่แค่ไม่ถึงสิบห้านาทีร้านที่เขาไปทำงานพิเศษมันก็ระเบิดไปแล้วน่ะครับ เอาจริงๆ ผมก็บอกให้เดริคเขาลองติดต่อหาเจ้าของร้านเพื่อตกลงเรื่องค่าเสียหายนี่ดูก่อนแล้วแท้ๆ นะครับนั่น…”

 

“หะ—ร้านระเบิด—? แล้วมีใครเป็นอะไรหรือเปล่าน่ะ?”

 

“ก็ค่อนข้างจะโชคดีน่ะที่ไม่มีใครเป็นอะไรเลยน่ะ เพราะว่าลุงเจ้าของร้านเขาออกไปทำธุระที่นอกเมืองอยู่ ส่วนลูกค้าคนที่ดื้อจะเอาเครื่องดื่มนั่นให้ได้ก็หนีออกมาได้อย่างปลอดภัยเหมือนกัน”

 

“งั้นหรอ… แต่แบบนี้มันก็หมายความว่าเหล้าพวกนี้คือของที่นายกะจะซื้อไปชดใช้ของในร้านที่เสียหายไปสินะ… แล้วนายเอามันมามอมเหล้าทหารพวกนี้มันจะดีหรอน่ะ?”

 

นากาที่ได้ยินว่าไม่มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์บาร์เหล้าระเบิดของเดริคนั้นได้มีท่าทีโล่งใจขึ้นมามากแล้วจึงเอ่ยปากถามเขากลับไปด้วยความเกรงใจในขณะที่ทางด้านทีออสเองก็ได้เอ่ยปากพูดสนับสนุนขึ้นมาด้วยเช่นกัน

 

“นั่นสิ ไม่ใช่ว่านายควรจะเก็บเงินชดเชยที่ลูกค้าคนนั้นให้เอาไว้สำหรับแผนการย้ายบ้านของนายหรือไงน่ะเดริค ขืนนายเอาเหล้าพวกนี้มาใช้แบบนี้เดี๋ยวก็ได้หมดตัวอีกรอบหรอก”

 

“เอ๊ย นายพูดเกินไปน่าทีออส คราวก่อนที่พวกเรามาที่รีมินัสนี่พวกเราก็ได้ไดเอน่าจังเขาช่วยสนับสนุนเรื่องที่พักให้ไม่ใช่หรอ คนเราเวลาได้รับอะไรมาถ้ามีโอกาสตอบแทนก็ต้องตอบแทนกลับไปไม่ใช่หรือไง”

 

“แต่นายเล่นใช้เงินเพื่อตอบแทนคนอื่นแบบไม่ดูสภาพของตัวเองแบบนี้อยู่บ่อยๆ ก็เลยเดือดร้อนเรื่องเงินจนต้องไปทำงานให้เจ้าพวกนั้นมันขูดรีดขูดเนื้ออยู่บ่อยๆ ไม่ใช่หรือไง!”

 

ถึงแม้ว่าทีออสจะไม่มีปัญหาอะไรกับคติที่เมื่อมีบุญคุณก็ต้องทดแทนของเดริคสักเท่าไหร่นัก แต่ว่าเพื่อนของเขาก็มักจะชอบเข้าไปช่วยเหลือคนอื่นที่กำลังตกที่นั่งลำบากจนตัวเองลำบากไปด้วยอยู่บ่อยครั้งจนเขาอดไม่ได้ที่จะต้องพูดเตือนบ่อยๆ ถึงแม้ว่าเดริคจะไม่ค่อยจะสนใจคำเตือนของเขาก็ตามที

 

และเมื่อดูจากท่าทางและคำพูดของเดริคในครั้งนี้แล้วทีออสก็มั่นใจว่าเดริคคงจะไม่ฟังคำเตือนของเขาในครั้งนี้ด้วยเช่นเดียวกันเมื่ออีกฝ่ายได้หันกลับไปพูดกับนากาหน้าระรื่นเหมือนกับว่าไม่ได้ยินคำเตือนของเขาเลยแม้แต่น้อย

 

“น่าๆ เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า แล้วนายว่าไงล่ะนากา สรุปว่าสนใจจะลองทำตามแผนของฉันหรือเปล่า?”

 

“เอ่อ…”

 

นากาที่ถูกเดริคพูดถามขึ้นมานั้นได้แต่ลังเลที่จะพูดตอบกลับไปเพราะเขาไม่มั่นใจว่าแผนการมอมเหล้าเจ้าหน้าที่ของเดริคจะได้ผลหรือไม่อีกทั้งเขายังรู้สึกเกรงใจที่เดริคจะต้องมาเสียสละเหล้าพวกนี้เพื่อช่วยเหลือเขาทั้งๆ ที่เมื่อดูจากคำพูดของตัวเดริคเองเมื่อครั้งที่แล้วแล้วอีกฝ่ายก็ดูท่าทางจะมีปัญหาเรื่องเงินอยู่มากพอตัวอยู่ด้วย

 

ซึ่งท่าทางลำบากใจของนากานั้นก็ได้ทำให้เอริกะที่กำลังนั่งตากลมเย็นๆ ฟังหนุ่มๆ ทั้งสามคนพูดคุยกันอยู่ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี

 

“ถ้างั้นก็เอาแบบนี้ดีมั้ยเอ่ย~ ตอนนี้พวกเธอก็เอาเหล้าพวกนี้ไปมอมเจ้าหน้าที่ข้างในนั่นให้เมากันจนสลบไปเลย แล้วเดี๋ยวฉันจะช่วยออกเงินค่าเหล้าชุดใหม่ให้กับเดริคคุงเอง~”

 

“เอ๋ะ—!? / อ่ะ—แบบนั้นมันจะดีหรอครับ…”

 

เดริคกับทีออสที่ได้ยินข้อเสนอของเอริกะต่างก็พากันหันขวับไปมองทางเธอด้วยความแปลกใจกันในทันที ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะที่เห็นแบบนั้นได้พูดอธิบายออกมาด้วยท่าทีกวนๆ

 

“อื้ม เพราะยังไงวิธีนี้มันก็เร็วกว่าการที่ฉันจะไปทำเรื่องขอเข้าพบให้กับนากาคุงอยู่แล้วนี่นา เอาเป็นว่าเดริคคุงเสนอราคาค่าเหล้าพวกนี้มาได้เลย อ้อแล้วก็อย่าลืมบวกค่าเสียเวลาของเธอเข้าไปด้วยนะ ถือซะว่าฉันจ้างเธอทำงานนี้ให้นากาคุงเขาก็แล้วกัน~”

 

“ถ…ถ้าคุณเอริกะว่าอย่างงั้นมันก็ได้แหล่ะ…”

 

เดริคที่ได้ยินว่าตัวเองจะได้รับค่าจ้างด้วยนั้นได้มีท่าทีลุกลี้ลุกลนนิดหน่อยก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับเอริกะอยู่สักพักหนึ่งแล้วจึงหันกลับมาบอกนากาด้วยท่าทีขันแข็ง

 

“เอาล่ะ นายรออยู่ที่นี่ก่อนสักแป๊บนึงก็แล้วกันนะนากา เดี๋ยวฉันจะแสดงให้ดูเองว่าการเจรจาที่แท้จริงน่ะมันต้องทำกันยังไง~”

 

“เจรจาบ้าอะไรกันล่ะ นี่มันเรียกว่าติดสินบนกันชัดๆ …”

 

ทีออสที่ได้ยินคำพูดของเดริคที่ยกกระเป๋าสะพายของเขาขึ้นมาถือเอาไว้อีกครั้งหนึ่งและเดินตรงไปทางประตูเรือนจำได้แต่ต้องยกมือขึ้นมากุมหัวตัวเองก่อนที่เขาจะรีบก้าวเท้าเดินตามเพื่อนของตนไป

 

ซึ่งในทันทีที่เจ้าหน้าที่ของเรือนจำสังเกตเห็นเด็กหนุ่มอีกสองคนเดินตรงเข้ามาหาพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ในมือที่ดูเหมือนว่าจะบรรจุอะไรบางอย่างเอาไว้แน่นนั้นเขาก็ถึงกับต้องหรี่ตาลงด้วยความสงสัยก่อนจะเอ่ยปากพูดสอบถามขึ้นมา

 

“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ?”

 

“อ๋อ ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่พอดีว่าคุณพ่อของผมเขาบอกว่าเคยมารบกวนพี่ๆ ทหารยามที่เรือนจำนี้อยู่บ่อยๆ คุณพ่อเขาก็อยากให้พวกพี่ๆ รับของพวกนี้ไปเพื่อแทนคำขอบคุณน่ะครับ”

 

“หา—?”

 

เจ้าหน้าที่ของเรือนจำที่ได้ยินคำพูดของเดริคถึงกับผงะไปด้วยความมึนงง ซึ่งนั่นก็ทำให้ทีออสได้แต่ต้องส่ายหน้าไปมากับข้ออ้างที่เพื่อนของเขาเลือกใช้และรีบเดินเข้าไปเพื่อช่วยกู้สถานการณ์ในทันที

 

“คุณพ่อของเจ้าหมอนี่เป็นพ่อค้าจากเมืองกราวิทัสที่เคยได้ทหารของรีมินัสช่วยเหลือเอาไว้ก่อนหน้านี้น่ะครับ คุณพ่อเขาก็เลยอยากจะมอบของขวัญให้กับเจ้าหน้าที่ของที่นี่สักเล็กน้อยเพื่อเป็นการตอบแทนน่ะครับ”

 

“พ่อค้า…? ทางเรือนจำของเราไม่เคย—”

 

“ทหารคนนั้นเขาอาจจะไม่ได้บอกใครเรื่องนี้ก็ได้นะครับ! ถ้ายังไงขอผมพบกับหัวหน้าหน่วยของคุณสักหน่อยจะได้หรือเปล่าล่ะครับเผื่อว่าจะได้มอบของขวัญให้ได้ถูกคนน่ะครับ”

 

“…….”

 

เจ้าหน้าที่หนุ่มที่ประจำการอยู่ที่เคาน์เตอร์ต้อนรับได้ชะงักนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินคำพูดของเดริคที่รีบพูดแทรกขึ้นมาเสียงดัง เพราะว่าปกติแล้วมันก็คงจะไม่มีใครเที่ยวไปป่าวประกาศว่าตนเองได้ไปช่วยเหลือคนนู้นคนนี้ที่นั่นที่นี่มาอยู่แล้วเพราะไม่งั้นมันจะกลายเป็นการโอ้อวดว่าตัวเองเป็นคนดีจนดูน่าเกลียดจนเกินไป ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่หนุ่มคิดได้แบบนั้นเขาก็ได้ตัดสินใจที่จะลองไปแจ้งให้หัวหน้าหน่วยของเขาทราบแต่โดยดี

 

“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนช่วยรออยู่ตรงนี้สักครู่นะครับ”

 

หลังจากที่เจ้าหน้าที่หนุ่มพูดจบแล้วเขาก็เดินตรงหายเข้าไปด้านในประตูด้านหลังเคาน์เตอร์อยู่สักพักใหญ่ๆ ก่อนที่เขาจะเดินกลับออกมาพร้อมกับชายคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยเครื่องแบบทหารที่ติดประดับไปด้วยตราเกียรติยศจำนวนมาก

 

ซึ่งนายทหารคนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ดูแลเรือนจำแห่งนี้ก็ได้ขมวดคิ้วจ้องมองเดริคกับทีออสอยู่สักพักหนึ่งด้วยความหงุดหงิดก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดสอบถามเจ้าหน้าที่หนุ่มขึ้นมา

 

“ไอ้หนูสองคนนี่น่ะหรอ?”

 

“ค—ครับ”

 

“ไร้สาระชะมัด… เอาเถอะ… ไหน มีอะไรก็ว่ามาสิไอ้หนู”

 

“คือว่าคุณพ่อของผมเขาฝากของพวกนี้มาให้พี่ๆ ทหารที่นี่แทนคำขอบคุณที่พี่ๆ เคยทำตาม ‘คำขอ’ ของเขาน่ะครับ”

 

เดริคที่โดนนายทหารตำแหน่งสูงพูดถามขึ้นมาได้พูดตอบกลับไปอย่างไหลลื่นพร้อมกับเปิดกระเป๋าของเขาเล็กน้อยให้อีกฝ่ายได้เห็นเครื่องดื่มมึนเมาคุณภาพดีจำนวนมากที่ถูกบรรจุไว้ภายใน ซึ่งนั่นก็ทำให้สีหน้าหงุดหงิดของนายทหารสลายหายไปในพริบตาก่อนที่เขาจะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและกระดิกนิ้วเรียกให้เดริคเดินตามเขาเข้าไปด้านในตัวอาคาร

 

“หืม…. เข้ามาเล่าเรื่องเต็มๆ ด้านในนี่มา ส่วนแกรออยู่ตรงนี้ก่อน”

 

“ค—ครับผม”

 

เจ้าหน้าที่หนุ่มที่ได้รับคำสั่งมาจากหัวหน้าของเขาได้ขานตอบรับกลับไปเสียงดังในขณะที่เดริคก็ได้หิ้วกระเป๋าของตนเดินตามหลังนายทหารผู้ที่เป็นหัวหน้าหายเข้าไปในประตูด้านหลังเคาน์เตอร์อยู่สักพักใหญ่ๆ แล้วจึงกลับออกมาโดยไร้ซึ่งกระเป๋าและสิ่งของที่ถูกบรรจุอยู่ภายในด้วยสีหน้าชื่นบานที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนก่อนที่เขาจะเดินนำทีออสกลับออกมาจากเรือนจำเพื่อกลับมารวมกลุ่มกับนากาและเอริกะ

 

ซึ่งในขณะที่เดริคกับทีออสกำลังเดินกลับออกมาอยู่นั้นก็ได้มีเจ้าหน้าที่เรือนจำอีกสองสามคนรีบวิ่งออกมาจากห้องและวิ่งหายไปตามโถงทางเดินก่อนที่พวกเขาจะรีบวิ่งกลับมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่รายอื่นๆ และหายกลับเข้าไปในห้องด้านหลังอีกครั้งหนึ่งจนดูราวกับว่ามีคำสั่งเรียกระดมพลฉุกเฉินอย่างไรอย่างนั้นจนทำให้เอริกะที่เฝ้ามองดูถึงกับส่ายหน้าไปมาและพูดขึ้นมาแบบปลงๆ

 

“ถึงจะไม่อยากให้มันได้ผลแต่มันก็ได้ผลทุกทีล่ะนะแผนการแบบนี้เนี่ย~”

 

“เธอหมายถึงอะไรล่ะนั่นเอริกะ…?”

 

“ก็หมายถึงเรื่องที่ว่าทหารพวกนั้นกำลังจะเอาเหล้าที่เดริคคุงให้ไปเป็นของขวัญไปเริ่มปาร์ตี้กันจนนายสามารถเข้าไปข้างในนั้นได้แล้วยังไงล่ะนากาคุง~”

 

เอริกะพูดตอบนากากลับไปในขณะที่ทางด้านทีออสที่เดินตามหลังเดริคมาก็ได้เอ่ยปากพูดกับนากาขึ้นมา

 

“เมื่อกี้นี้เดริคเขาตะล่อมให้คุณหัวหน้าเรือนจำยอมผ่อนผันให้นายเข้าไปพบกับคุณไดเอน่าได้แล้วล่ะครับนากา แต่เห็นเขาบอกว่าคงจะให้เข้าไปด้านในเรือนจำไม่ได้เพราะว่าด้านในนั้นมันจะต้องมีการลงบันทึกคนเข้าออก เพราะงั้นพวกเขาก็เลยจะส่งคนมาพานายไปทางสวนด้านหลังที่ติดกับห้องขังของคุณไดเอน่าแทนน่ะครับ”

 

“อ่าหะ…”

 

“ถ้ายังไงนายก็รีบเข้าไปก่อนเถอะนากา เพราะดูท่าทางแล้วว่าคุณพี่ทหารคนที่ถูกส่งมานำทางนายจะไม่ค่อยถูกใจวิธีการของฉันสักเท่าไหร่น่ะ”

 

เดริคที่เหลือบกลับไปมองทางด้านเรือนจำได้เอ่ยปากพูดเร่งรัดขึ้นมาเมื่อเขาสังเกตเห็นเจ้าหน้าที่หนุ่มคนที่ประจำการอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์กำลังยืนรอนากาอยู่ที่หน้าประตูเรือนจำด้วยสีหน้าหงุดหงิดยิ่งกว่าเมื่อตอนที่พวกเขาเข้าไปติดต่อเมื่อสักครู่นี้อีก

 

ซึ่งภาพที่นากาเห็นนั้นก็ถึงกับทำให้เขาสะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะรีบเอ่ยปากขอบคุณเพื่อนจากต่างเมืองทั้งสองคนของเขาและรีบเดินตรงไปทางเรือนจำในทันที

 

“อ่า— ขอบใจมากนะทีออส เดริค”

 

“……….”

 

ในขณะที่นากากำลังเอ่ยปากขอบคุณเพื่อนของเขาอยู่นั้นเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ยืนรอนากาอยู่ก็ถึงกับต้องเหลือกตาขึ้นกับท่าทีของนากาที่ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรกับการใช้สินบนเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการเลยแม้แต่น้อยก่อนที่เขาจะเอ่ยปากร้องเรียกให้นากาเดินตามเขาไป

 

“ตามมา…”

 

“ค—ครับ”

 

น้ำเสียงที่ฟังดูหงุดหงิดและอดกลั้นอารมณ์เต็มเปี่ยมของเจ้าหน้าที่หนุ่มนั้นถึงกับทำให้นากาผงะไปเล็กน้อยด้วยความตกใจก่อนที่เขาจะเดินตามอีกฝ่ายเลียบไปตามตัวอาคารของเรือนจำ

 

“………”

 

ในขณะที่พวกเขาทั้งสองคนกำลังเดินลัดเลาะไปตามสวนด้านหน้าเรือนจำกันอยู่นั้นทางด้านเจ้าหน้าที่หนุ่มที่เห็นสีหน้าหวั่นๆ ของนากาก็ได้มองสำรวจดูการแต่งกายของเด็กหนุ่มผมดำที่ถึงแม้ว่าคุณภาพเสื้อผ้าของเขาจะดูดีกว่าเด็กหนุ่มอีกสองคนมากแต่ก็เรียกไม่ได้ว่าเป็นสินค้าคุณภาพดีเยี่ยมเหมือนกับที่พวกลูกๆ ขุนนางชอบใส่กันบ่งบอกได้ว่าเขาไม่ได้พวกลูกขุนนางที่มักจะชอบโปรยเงินพร่ำเพรื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการแน่ๆ

 

ซึ่งด้วยภาพที่เจ้าหน้าที่หนุ่มเห็นนั้นก็ได้ทำให้เขาเกิดความสงสัยขึ้นมาว่าทำไมชาวบ้านธรรมดาๆ อย่างเด็กหนุ่มผมดำคนนี้ถึงกับต้องขวนขวายไปหาเหล้าชนิดต่างๆ จำนวนมากมาติดสินบนกับหัวหน้าของเขาเพื่อขอเข้าพบกับลูกสาวขุนนางที่ถูกส่งมากักบริเวณที่นี่อย่างเงียบๆ แบบนี้จนอดไม่ได้ที่จะพูดถามขึ้นมา

 

“ไดเอน่า เซมฟีร่าคนนั้นสำคัญถึงขนาดที่ว่านายต้องติดสินบนเพื่อเข้าไปพบเธอให้ได้เลยหรือไง?”

 

“เอ๋ะ— เอ่อ… จะว่ายังไงดีล่ะครับ… คือว่าไดเอน่าเขาเป็นเพื่อนของผมน่ะ แถมเมื่อวานนี้ผมกับคุณแม่ยังได้คุณปู่ของเธอตามคนมาช่วยชีวิตเอาไว้ด้วยอีก ผมก็เลยอยากจะมาขอบคุณเธอน่ะครับ…”

 

“ได้ปู่ของเธอช่วยชีวิตเอาไว้งั้นหรอ…”

 

เจ้าหน้าที่หนุ่มที่ได้ยินเรื่องราวของนากาได้มีท่าทีโอนอ่อนลงมามากก่อนที่เขาพูดถามเด็กหนุ่มขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

 

“ว่าแต่ดูท่าทางว่านายกับเพื่อนอีกสองคนที่แบกเหล้าเข้ามานั่นจะเป็นชาวบ้านธรรมดาไม่ใช่ลูกขุนนางที่ไหนงั้นสินะ?”

 

“ใช่แล้วล่ะครับ ผมมาจากหมู่บ้านโมริโกะที่อยู่ทางตะวันตกน่ะ ส่วนสองคนนั้นเขาเป็นเพื่อนของผมที่มาจากเมืองกราวิทัสน่ะครับ มีอะไรหรือเปล่า?”

 

“ลูกสาวขุนนางที่เป็นเพื่อนกับชาวบ้านแถมปู่ของเธอก็ยังออกโรงช่วยเหลือชาวบ้านธรรมดาๆ งั้นหรอ… เฮ้อ… อย่างน้อยเมืองนี้ก็ยังมีขุนนางดีๆ เหลืออยู่บ้างล่ะนะ…”

 

“……….”

 

คำพูดพึมพำของเจ้าหน้าที่หนุ่มสามารถทำให้นากาพอจะเดาได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเองก็คงจะเป็นลูกหลานของชาวบ้านธรรมดาๆ ที่ต้องมาทำงานคลุกคลีกับพวกขุนนางอย่างนายทหารยศสูงผู้ที่เป็นหัวหน้าเรือนจำแห่งนี้และรู้สึกผิดหวังกับพวกขุนนางท่ามากเห็นแก่ตัวพวกนั้นเหมือนอย่างเขาที่ต้องรู้สึกผิดหวังเมื่อได้รู้ว่าภายในเมืองต่างๆ ไม่ได้สวยหรูเหมือนกับในหนังสือเรียนอย่างแน่นอน

 

แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่นากาจะได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมา เจ้าหน้าที่หนุ่มข้างกายของเขาก็ได้หยุดเท้าลงและเอ่ยปากพูดเตือนนากาขึ้นมาด้วยน้ำเสียงขึงขัง

 

“ถึงนายจะมีเหตุผลที่ทำให้นายอยากเข้าพบกับไดเอน่า เซมฟีร่าให้ได้ก็เถอะ แต่ไม่ว่ายังไงการติดสินบนเจ้าหน้าที่พนักงานก็เป็นเรื่องที่ผิดนะเข้าใจหรือเปล่า นี่ถ้าเกิดว่าฉันเป็นคนที่คุมที่นี่ล่ะก็ นอกจากนายจะไม่ได้เข้าพบเพื่อนของนายแล้วตัวนายกับเพื่อนอีกสองคนเองก็ยังจะต้องถูกจับอีกด้วยนะรู้มั้ย”

 

“เอ๋ะ… เอ่อ…..”

 

“เอาเถอะ… ยังไงตอนนี้ฉันก็เป็นแค่เจ้าหน้าที่ตัวเล็กๆ ที่ไม่มีปัญญาจะไปขัดอะไรเขาได้ล่ะนะ… เอาเป็นว่าวันหน้าวันหลังนายก็อย่าไปติดสินบนใครที่ไหนอีกก็แล้วกัน… ส่วนตอนนี้นายน่าจะมีเวลาจนกว่าจะพระอาทิตย์จะตกล่ะนะ เอาเป็นว่ามีอะไรจะพูดกับไดเอน่า เซมฟีร่าคนนั้นก็รีบๆ พูดเข้าละกัน ห้องของเธอคนนั้นอยู่ที่หน้าต่างบานนั้นน่ะ”

 

เจ้าหน้าที่หนุ่มพูดเตือนนากาออกมาอีกครั้งก่อนที่เขาจะชี้ไปที่หน้าต่างติดลูกกรงบานหนึ่งแล้วจึงเดินย้อนกลับไปทางประตูหลักของเรือนจำในทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้นากาพูดถามอะไรออกมา

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาที่ถูกทิ้งเอาไว้คนเดียวได้แต่ต้องตัดสินใจที่จะเดินไปยังหน้าต่างบานที่ว่าและลองเอ่ยปากเรียกชื่อของไดเอน่าขึ้นมา

 

“ไดเอน่า เธออยู่ข้างในนั้นหรือเปล่า…?”

 

“เอ๋? นากาคุงหรอ? เธอมาได้ยังไงน่ะ— ห–ห้ามปีนขึ้นมามองเด็ดขาดเลยนะ!”

 

เคร๊ง-–เคร๊ง—!

 

เสียงของไดเอน่าที่ร้องขึ้นมาด้วยความตกใจและเสียงที่ฟังดูเหมือนกับเสียงของโซ่เหล็กกระทบกันนั้นถึงกับทำให้นากาชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะรีบพูดขึ้นมาเมื่อเสียงโซ่เหล็กที่ว่านั้นมันยังคงดังไม่หยุดเหมือนกับว่าไดเอน่ากำลังพยายามทำอะไรสักอย่างหนึ่งอยู่

 

“หน้าต่างนี่มันอยู่สูงจะตายไปฉันจะปีนขึ้นไปดูได้ยังไงกันล่ะ…”

 

“ง—งั้นหรอ… ถ้างั้นก็ดีแล้วล่ะ…”

 

น้ำเสียงที่ฟังดูกระอักกระอ่วนของไดเอน่าได้ทำให้นากานึกขึ้นมาได้ว่าอีกฝ่ายที่เป็นถึงประธานนักเรียนและลูกขุนนางตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งคงจะไม่อยากให้คนอื่นมาเห็นสภาพของตัวเองที่ถูกขังเป็นนักโทษสักเท่าไหร่นัก ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาตัดสินใจที่จะนั่งเอนหลังลงไปพิงกับกำแพงเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองอาจจะเผลอไปเห็นอะไรที่ไม่ควรจะเห็นเข้าในขณะที่ทางด้านไดเอน่าก็ได้เอ่ยปากถามนากาขึ้นมาเหมือนกับว่าเธอกำลังพยายามเปลี่ยนเรื่องพูดคุยอยู่

 

“ว่าแต่ทำไมนายถึงมาแอบนั่งคุยกับฉันอยู่ตรงนี้ล่ะ ปกติแล้วทางเรือนจำเขาเปิดโอกาสให้คนรู้จักมาติดต่อขอเข้าเยี่ยมนะรู้หรือเปล่า?”

 

“ฉันลองขอดูแล้วแต่ว่าพวกเขาไม่ยอมให้พบเนี่ยสิ… เห็นเอริกะบอกว่าถ้าเกิดเจ้าหน้าที่คนนั้นไม่ได้เห็นรถที่เอริกะขับมาล่ะก็พวกเขาจะบอกว่าเธอไม่ได้ถูกขังอยู่ที่นี่ซะด้วยซ้ำน่ะ”

 

“เฮ้อ… ก็คงจะเป็นฝีมือของทางบ้านฉันเองนั่นแหล่ะ… แต่แบบนั้นก็ดีแล้วล่ะมั้งนะ เพราะฉันเองก็ไม่อยากให้ใครมาเห็นตัวฉันในสภาพนี้สักเท่าไหร่หรอก…”

 

“จะว่าไปเสียงแกร๊งๆ นั่นมันเสียงโซ่หรือเปล่าน่ะ? ถึงขั้นล่ามโซ่กันแบบนี้ไม่ใช่ว่ามันออกจะเกินไปหน่อยหรือเปล่า…”

 

“แหม่ เขาจะล่ามโซ่นักโทษเอาไว้มันก็ไม่แปลกสักหน่อยนี่ นายไม่ต้องโกรธพวกเขาหรอกน่า”

 

“ถ้าเธอว่าอย่างงั้นล่ะก็นะ…”

 

นากาที่ได้ยินน้ำเสียงที่แสดงความสนิทสนมของไดเอน่าเหมือนกับทุกครั้งที่พวกเขาได้มีโอกาสพูดคุยกันนั้นได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมามากเพราะดูท่าทางแล้วว่าไดเอน่าจะถูกทำเพียงแค่กักบริเวณเอาไว้ในห้องขังนี้โดยไม่ได้ถูกจับไปทรมาณหรืออะไรแบบนั้นตามที่เอริกะบอกเขาเอาไว้จริงๆ

 

“ว่าแต่แล้วนี่นายมาถึงตรงนี้ได้ยังไงน่ะนากาคุง ไหนนายบอกว่าพวกเขาไม่อนุญาตให้เข้ามาเจอฉันนี่นา นี่อย่าบอกนะว่านายแอบปีนกำแพงเข้ามาน่ะ?”

 

“เรื่องนี้ต้องขอบคุณเดริคกับทีออสเขาเลยที่หาวิธีที่ทำให้พวกเจ้าหน้าที่เขาพาฉันมาข้างในนี้ได้น่ะน่ะ เธอรู้จักเดริคกับทีออสเขาหรือเปล่า เด็กผู้ชายสองคนที่อายุพอๆ กับพวกเราที่เป็นคนขับรถพาพวกฉันกลับมาจากกราวิทัสนั่นน่ะ”

 

“อื้ม รู้จักสิ ก่อนหน้านี้ฉันเคยเรียกพวกเขามาสอบถามข้อมูลให้คุณเอริกะอยู่น่ะ… ว่าแต่ถ้าฟังจากเสียงของนายนี่ดูเหมือนว่านายจะอาการดีขึ้นกว่าเมื่อวานนี้แล้วสินะนากาคุง…”

 

“สำหรับเรื่องนั้นฉันก็คงจะต้องขอบใจเธอด้วยล่ะนะไดเอน่า…”

 

“อ—เอ๋!? น—นายไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก ฉันก็แค่ทำในสิ่งที่ประธานนักเรียนควรทำเท่านั้นเอง…”

 

“เออใช่… วันนี้ฉันกลับไปสำรวจดูที่หมู่บ้านของฉันมาด้วยล่ะ…”

 

ในขณะที่ไดเอน่ากำลังเอ่ยปากพูดตอบนากากลับมาอย่างตะกุกตะกักอยู่นั้น ทางด้านนากาก็ได้เปลี่ยนเรื่องพูดขึ้นมาอย่างกะทันหันราวกับว่าเขาเองก็กำลังรู้สึกเขินอายอยู่เช่นเดียวกัน ซึ่งสิ่งที่นากาพูดขึ้นมานั้นก็ได้ทำให้ไดเอน่าถึงกับต้องรีบเอ่ยปากพูดถามขึ้นมาในทันที

 

“นายไปที่นั่นแล้วได้เจอร่องรอยของคุณปู่หรือว่าอาจารย์อารอนบ้างหรือเปล่า!?”

 

“ไม่เลย… ทุกอย่างแถวๆ นั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของทะเลมรกตไปแล้วล่ะ… จะมีที่แปลกหน่อยก็ตรงที่ว่าตรงจุดที่เคยเป็นหมู่บ้านของฉันมันกลายเป็นทุ่งดอกไม้ที่ขนาดแม้แต่เอริกะก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อนน่ะ…. เดี๋ยวสิ นี่เธอรู้เรื่องที่ว่าปู่แม็กซ์กับอารอนไปที่หมู่บ้านของฉันด้วยหรอ?”

 

“อื้อ… เมื่อวานนี้ก่อนที่ท่านปู่ทวดจะออกจากเมืองไปท่านกับอาจารย์อารอนท่านแวะมาบอกฉันเอาไว้ก่อนน่ะ”

 

“เขาบอกเธอเอาไว้ว่าจะไปที่หมู่บ้านโมริโกะหรอ?”

 

“ท่านก็ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ นะ… แต่ท่านปู่ทวดบอกเอาไว้ว่าท่านกับอาจารย์อารอนจะออกไปต่อสู้ครั้งสุดท้าย… ถ้าเกิดว่าท่านไม่ได้กลับมาพร้อมกับทุกๆ คนก็ขอให้ฉันรู้เอาไว้ว่าถึงแม้ว่าท่านจะทำมันไม่สำเร็จแต่ว่าอย่างน้อยสิ่งที่ท่านทำลงไปมันจะช่วยยื้อเวลาให้ทุกๆ คนได้น่ะ เพื่อที่พวกเราจะได้มีเวลาเตรียมตัวในการไขว่คว้าอนาคตเอาไว้ด้วยมือของพวกเราเอง…”

 

“ถ้าเกิดว่าคุณปู่แม็กซ์ทำมันไม่สำเร็จงั้นหรอ…”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดของไดเอน่าได้กำมือแน่นและก้มหน้าลงไปมองมันด้วยความคับแค้นใจ เพราะถ้าฟังจากที่เอริกะและไดเอน่าพูดถึงเรื่องที่ปู่แม็กซ์ทำลงไปเมื่อวานนี้นั้นดูเหมือนว่าชายสูงวัยคนนั้นจะเป็นคนที่เข้าไปหยุดยั้งการต่อสู้ของคุณแม่ของเขากับเด็กสาวในชุดผ้าคลุมคนนั้นจนทำให้พวกเขาสามารถฉวยโอกาสหลบหนีออกมาได้ แต่ถึงอย่างนั้นตัวเขาในตอนนั้นก็กลับแทบจะสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย

 

“คุณปู่แม็กซ์เขารู้เรื่องนี้อยู่แล้วงั้นหรอ…”

 

“นี่นากาคุง… นายสนิทกับอาจารย์อารอนเขาใช่มั้ยล่ะ? ท่านปู่ทวดเขาฝากฉันมาบอกกับนายว่าต่อให้สถานการณ์ในวันต่อๆ ไปจะเป็นแบบไหน แต่ก็ขอให้นายเชื่อว่าสักวันนึงอาจารย์อารอนกับคุณพยาบาลของเขาจะกลับมาอีกครั้งน่ะ…”

 

“นี่เธอจะบอกว่าอารอนยังมีชีวิตอยู่งั้นหรอ!?”

 

คำพูดของไดเอน่านั้นถึงกับทำให้นาการีบเงยหน้ากลับขึ้นมาร้องถามเธอขึ้นมาเสียงดังในทันทีในขณะที่ทางด้านไดเอน่าเองนั้นก็ได้พูดตอบเขากลับมาด้วยความใจเย็น

 

“ก็ถ้าเกิดว่าฟังจากที่ท่านปู่ทวดพูดเอาไว้ก็น่าจะหมายความว่าอาจารย์อารอนเขายังมีชีวิตอยู่น่ะนะ…”

 

“นั่นสินะ… มันต้องเป็นอย่างงั้นอยู่แล้วสิ… เพราะขนาดเอริกะเองก็ยังพูดแบบเดียวกันเลยนี่นะ… เอาเป็นว่าเดี๋ยวหลังจากนี้ฉันจะลองขอร้องให้เอริกะเขาส่งคนออกไปตามหาอารอนกับคุณปู่แม็กซ์ดูก็แล้วกันนะ”

 

“คิกคิก นายบอกให้คุณเอริกะเขาตามหาแค่อาจารย์อารอนคนเดียวก็พอแล้วล่ะไม่ต้องแบ่งคนไปตามหาตัวท่านปู่ทวดด้วยให้เสียเวลาหรอก~”

 

ไดเอน่าที่ได้ยินนากาพูดกลับขึ้นมาด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นอีกครั้งหนึ่งนั้นได้หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดบอกเขาออกมาด้วยน่าเสียงร่าเริง แต่ถึงอย่างนั้นตัวคำพูดของเธอนั้นก็ถึงกับทำให้นากาชะงักไปในทันทีก่อนที่เขาจะพูดถามขึ้นมาด้วยความตกใจ

 

“ห–หา? ทำไมล่ะ!? เธอไม่ต้องกลัวว่าเอริกะเขาจะมองว่าการตามหาปู่แม็กซ์เป็นเรื่องเสียเวลาหรอกนะ ในเมื่อเขาเป็นคุณปู่ทวดของเธอเพราะงั้นเอริกะก็ต้องช่วยออกตามหาอยู่แล้วล่ะ!”

 

“นากาคุงนี่ใจดีจังเลยนะ… แต่ว่าจากที่ฉันรู้จักกับท่านปู่ทวดมาตั้งแต่ยังเด็กนี่ฉันบอกได้เลยว่าที่ท่านปู่ทวดบอกว่าเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายนี่ท่านก็คงจะหมายความตามนั้นจริงๆ นั่นแหล่ะ… เพราะงั้นนายไม่ต้องขอให้คุณเอริกะส่งคนออกไปตามหาท่านให้เปลืองเวลาหรอกนะ…”

 

“ต่อสู้เป็นครั้งสุดท้ายงั้นหรอ…”

 

“อื้ม… ท่านปู่ทวดน่ะถึงจะดูขี้เล่นแต่ว่าท่านก็เป็นคนพูดคำไหนคำนั้นน่ะ เพราะงั้นฉันเองก็ขอให้นายเชื่อที่ท่านปู่ทวดบอกว่าสักวันนึงอาจารย์อารอนจะกลับมาเหมือนกันนะนากาคุง เพราะถ้าเกิดว่าท่านปู่ทวดพูดแบบนั้นล่ะก็ท่านก็คงจะวางแผนอะไรสักอย่างเอาไว้ที่จะทำให้อาจารย์อารอนรอดกลับมาได้อยู่แล้วล่ะ”

 

ไดเอน่าพูดอธิบายออกมาให้นากาฟังด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจจนทำให้นากาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกนับถือในความเข้มแข็งของเด็กสาวที่อยู่ห่างออกไปเพียงแค่หนึ่งกำแพงกั้นมากไปกว่าเดิม

 

“แบบนั้นเองสินะ… ถ้าเกิดว่าเธอเชื่อแบบนั้นถ้างั้นฉันเองก็จะเชื่อด้วยเหมือนกันก็แล้วกันนะไดเอน่า”

 

“ขอบใจมากจ้ะ~ ถ้ายังไงวันนี้นายก็กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวอีกสักสองสามวันค่อยไปเจอกันที่โรงเรียนก็แล้วกันนะ~”

 

“อ่า…! ถ้ายังไงเธอก็ระวังตัวอย่าให้พวกผู้คุมพวกนั้นมาทำอะไรแปลกๆ เข้าให้ล่ะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ร้องเรียกดังๆ เลยเดี๋ยวฉันจะรีบมาช่วยเธอเอง!”

 

“คิกคิก พวกผู้คุมเขาไม่กล้าทำอะไรฉันหรอกจ้ะถ้าพวกเขายังรักชีวิตตัวเองอยู่น่ะ ถ้าอย่างงั้นเอาเป็นว่าไว้ค่อยเจอกันใหม่ที่โรงเรียนก็แล้วกันนะนากาคุง”

 

“อื้อ แล้วเจอกันนะ…”

 

ถึงแม้ว่านากาจะพูดตอบไดเอน่ากลับไปด้วยน้ำเสียงปกติธรรมดาก็ตาม แต่ว่าลึกๆ ในใจแล้วเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดขึ้นมา เพราะว่าจริงๆ แล้วต้นเหตุที่ทำให้ไดเอน่าต้องถูกจับมาขังเอาไว้ในแบบนี้มันก็เป็นเพราะว่าตัวเขาและเพื่อนๆ ที่เป็นคนดึงดันที่จะกลับไปที่หมู่บ้านโดยไม่คิดหน้าคิดหลังก่อน อีกทั้งการที่ไดเอน่าไม่มีท่าทีว่าจะกล่าวโทษเขาเลยแม้แต่น้อยนั้นมันก็ยิ่งทำให้นาการู้สึกผิดมากไปกว่าเดิมอีกซะด้วยซ้ำ

 

“จุ๊ๆ อย่าแม้จะคิดจะต่อยกำแพงให้พังเพื่อพาฉันแหกคุกออกไปเชียวนะจ๊ะนากาคุง ถ้าเกิดว่านายทำแบบนั้นเดี๋ยวทุกคนจะยิ่งเดือดร้อนไปกว่าเดิมอีกนะ~”

 

แต่ทว่าทันใดนั้นเองไดเอน่าที่ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของนากาเดินจากไปก็ได้ส่งเสียงพูดขึ้นมาเหมือนกับว่าเธอสามารถรู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ซึ่งคำพูดของไดเอน่านั้นก็ถึงกับทำให้นากาหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเอ่ยปากลาอีกครั้งหนึ่ง

 

“เธอก็พูดเกินไปน่าไดเอน่า กำแพงหนาขนาดนั้นใครจะไปต่อยให้พังได้กันล่ะ… ถ้างั้นก็เอาไว้ค่อยเจอกันที่โรงเรียนละกันนะ”

 

“จ้าๆ ~ แล้วเจอกัน~”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดตอบรับกลับมาจากไดเอน่าแล้วได้รีบหันหลังกลับและเดินย้อนกลับไปทางเดิมอย่างรวดเร็วราวกับเขากำลังกลัวว่าตัวเองอาจจะหักห้ามใจเอาไว้ไม่ไหวและพยายามพังกำแพงเพื่อพาไดเอน่าที่ยอมรับความผิดแทนเขาหนีออกไปจากที่แห่งนี้จริงๆ

 

ซึ่งเมื่อนากาเดินย้อนกลับมาจนถึงประตูทางเข้าของเรือนจำแล้วเขาก็ได้พบเข้ากับเอริกะที่กำลังยื่นหน้าออกมาจากตัวรถเพื่อสุมหัวทำอะไรบางอย่างอยู่กับทีออสและเดริคที่เหมือนจะได้กระเป๋าสัมภาระที่ว่างเปล่าของเขาคืนมาจากนายทหารผู้ที่เป็นหัวหน้าแล้วเข้าให้

 

“อ่ะ— นั่นไง นากาคุงเขากลับมาแล้วนั่น”

 

ในทันทีที่เอริกะเห็นนากากำลังเดินตรงเข้ามาทางพวกเธอนั้นเธอก็ได้ฉวยโอกาสนี้ในการยัดธนบัตรปึกหนาเข้าใส่มือของเดริคที่ดูเหมือนว่าจะกำลังพยายามพูดปฏิเสธอยู่ในทันทีจนทำให้เดริคที่อยู่ๆ ก็มีเงินก้อนใหญ่ในมือนั้นได้พยายามที่จะยื่นมันคืนให้กับหญิงสาวหัวแดงไป แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเอริกะก็กลับไม่มีท่าทีสนใจว่าจะรับเงินคืนมาจากเดริคเลยแม้แต่น้อยและเอ่ยปากพูดถามนากาขึ้นมาโดยแกล้งทำเป็นเมินเดริคไปอย่างสิ้นเชิง

 

“ว่าไงนากาคุง~ ได้คุยกับไดเอน่าจังเขาเรียบร้อยแล้วหรือเปล่าเอ่ย~”

 

“อื้ม ก็คุยกันจนเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะ… ถ้ายังไงก็ชอบใจพวกนายมากนะเดริค ทีออส”

 

“ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ให้ผมได้ทำตัวเป็นประโยชน์กับคุณไดเอน่าเขาสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน เพราะดูท่าทางว่าเธออยู่ในนั้นคนเดียวก็คงจะเหงาแย่เลยน่ะ”

 

ทีออสที่ได้ยินคำพูดขอบคุณของนากาได้พูดตอบเด็กหนุ่มผมดำกลับไปแล้วจึงยกมือขึ้นมาห้ามปรามเดริคที่ยังคงพยายามยัดเงินคืนใส่มือของเอริกะอยู่จนทำให้เดริคได้แต่ต้องยอมแพ้และยกมือขึ้นมาเกาหัวของตนเองก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“เฮ้อ… ถ้างั้นเดี๋ยวพวกฉันขอตัวไปซื้อของที่ตลาดกันอีกรอบก่อนก็แล้วกัน เอาเป็นว่าไว้ถ้ามีโอกาสก็ค่อยเจอกันใหม่ก็แล้วกันนะ”

 

“อ่ะ— ถ้าพวกเธอจะไปที่ตลาดงั้นจะติดรถฉันไปมั้ยล่ะ ทางนั้นเป็นทางผ่านพอดีเลยนะ”

 

เอริกะที่ได้ยินเป้าหมายต่อไปของพวกเดริคได้รีบยื่นข้อเสนอให้กับพวกเขาในทันที ซึ่งคำพูดของเอริกะนั้นก็ทำให้นากาได้แต่ต้องหันไปเลิกคิ้วจ้องมองเธอด้วยความสงสัย เพราะเขาจำได้ว่าตลาดส่วนที่ขายเครื่องดื่มมึนเมาทั้งหลายแหล่นั้นอยู่คนละทิศกับคลินิกของอารอนหรือว่าคฤหาสน์ตระกูลรีวิสที่เป็นเป้าหมายต่อไปของพวกเขากันไปคนละทิศเลยซะด้วยซ้ำก่อนที่เขาจะคิดขึ้นมาได้ว่าเอริกะก็คงแค่คิดที่จะหาเรื่องถ่วงเวลาเพื่ออู้งานเท่านั้นเอง

 

แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้เอ่ยปากพูดอะไรขึ้นมานั้น ทางด้านทีออสที่เงียบเสียงลงไปสักพักหนึ่งก็ได้พูดปฏิเสธข้อเสนอของเอริกะออกมาซะก่อน

 

“ผมว่าอย่าดีกว่าครับ เพราะว่าต่อให้จะเป็นในเมืองกราวิทัสเองคุณเอริกะเองก็ค่อนข้างจะมีชื่อเสียงในหมู่ขุนนางที่นั่นอยู่บ้าง ถ้าเกิดว่าคุณเซียมาเห็นพวกผมอยู่กับคุณเอริกะเข้าให้เดี๋ยวมันจะเป็นเรื่องเอาได้น่ะครับ เพราะว่าคุณเซียเขาค่อนข้างจะเคร่งเรื่องการติดต่อพบปะคนใหญ่คนโตหรือว่าขุนนางของเมืองอื่นอยู่พอสมควรเลย…”

 

“เห… แต่ว่าฉันเองก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลแถมยังไม่ใช่ขุนนางหรือว่าเจ้าหน้าที่ของเมืองรีมินัสสักหน่อยนี่~”

 

“แต่ว่าสำหรับเมืองอื่นๆ แล้วใครเขาก็มองว่าคุณเอริกะทำงานให้กับเมืองรีมินัสกันทั้งนั้นนั่นแหล่ะครับ… แล้วถ้าเป็นไปได้ผมเองก็ไม่อยากให้คุณเซียเขาต้องลำบากใจด้วย…”

 

“อุ๊ยแหม่~”

 

คำพูดของทีออสนั้นถึงกับทำให้แววตาของเอริกะแพรวพราวขึ้นมาเหมือนกับว่าเธอได้พบเจอเรื่องน่าสนุกอะไรบางอย่างก่อนที่เธอจะยอมปล่อยตัวเดริคและทีออสให้พวกเขาเดินทางไปที่ตลาดด้วยตัวเองแต่โดยดี

 

“ถ้าเกิดว่าแบบนี้มันก็ช่วยไม่ได้สินะ~ ถ้าอย่างงั้นเอาไว้ก่อนที่พวกเธอจะกลับกันก็ช่วยแอบแว๊บไปที่บ้านของฉันสักหน่อยสิ พอดีว่าฉันอยากจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายในเมืองกราวิทัสหลังจากที่พวกเขาประกาศปิดเมืองไปอย่างละเอียดๆ จากคนในน่ะ”

 

“ได้อยู่แล้วสิครับ ถ้ายังไงตอนนี้พวกผมขอตัวก่อนก็แล้วกันนะครับ”

 

ทีออสพูดตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เขาจะดึงตัวเดริคที่ทำท่าเหมือนกับว่าจะกลับไปพยายามยัดปึกเงินคืนให้กับเอริกะอีกครั้งหนึ่งให้เดินตามเขาไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ทางด้านนากานั้นก็ได้สังเกตเห็นท่อนแขนของใครบางคนที่กำลังชูแผ่นเอกสารแผ่นหนึ่งขึ้นสูงอยู่ภายในตัวรถยนต์จนทำให้เขาต้องร้องเตือนเอริกะออกมา

 

“ข้างหลังเธอน่ะเอริกะ”

 

“หืม? ข้างหลัง…? อ่ะๆ นั่นไม่ใช่ของกินนะอีฟจัง~”

 

เอริกะที่ได้ยินคำพูดของนากาได้หันไปมองทางด้านหลังของเธอและได้พบเข้ากับเด็กสาวผมสีขาวที่เธอเพิ่งจะตั้งชื่อให้ว่าอีฟไปเมื่อไม่นานมานี้กำลังคาบแผ่นเอกสารแผ่นหนึ่งเอาไว้ในปาก ซึ่งทางด้านอีฟนั้นก็ได้หันกลับมามองทางเอริกะด้วยความท่าทีแปลกใจโดยที่ยังคงหลับตาอยู่และไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย

 

“……?”

 

“น่าจะเพิ่งตื่นก็เลยหิวล่ะมั้งนั่น สมัยก่อนพอยัยพรีมูล่าตื่นขึ้นมาก็ชอบร้องหาของกินเหมือนกันน่ะ”

 

“หืม~ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะพานายไปส่งที่คฤหาสน์ก่อนแล้วก็ค่อยพาอีฟจังเขาไปตรวจร่างกายที่คลินิกของอารอนก็แล้วกันนะ แล้วเดี๋ยวไว้สักวันพรุ่งนี้ตอนเย็นๆ นายก็ค่อยไปรับตัวเธอที่คลินิกของอารอนก็แล้วกัน เอาล่ะ ขึ้นรถมาได้เลย~”

 

“อื้ม”

 

นากาพูดตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เขาจะเปิดประตูและเบียดกายเข้าไปนั่งภายในรถยนต์ขนาดเล็กและดึงแผ่นเอกสารออกจากปากของอีฟก่อนที่เขาจะเปิดลิ้นชักที่ติดอยู่บริเวณส่วนแผงด้านหน้ารถยนต์เพื่อหยิบเอาไหคุ๊กกี้ที่เอริกะแอบซ่อนเอาไว้ออกมาและส่งขนมภายในออกมาให้กับเด็กสาวผมสีขาวที่กำลังเอาแก้มนุ่มนิ่มของเธอเบียดไปกับกระจกหลังรถเหมือนกับว่าเธอมองเห็นอะไรน่าสนใจอยู่เบื้องหลัง

 

ซึ่งเมื่อนากาลองหันไปมองทางทิศที่ดูเหมือนว่าอีฟจะให้ความสนใจอยู่เขาก็ได้พบเข้ากับทีออสที่กำลังมองตรงมายังอีฟด้วยสีหน้าตื่นตกใจและกำลังทำท่าเหมือนกับว่ากำลังจะเดินกลับมาหาพวกเขา

 

แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้พูดบอกเอริกะว่าพวกเดริคกับทีออสกำลังเดินกลับมาหาพวกเขานั้น เอริกะก็ได้เหยียบคันเร่งจนทำให้รถยนต์ของพวกเขาออกเคลื่อนตัวตรงไปตามถนนและเอ่ยปากพูดชวนนากาคุยเล่นขึ้นมาซะก่อนจนทำให้เขาลืมเรื่องท่าทีของทีออสในครั้งไปอย่างสิ้นเชิง

 

 

หลังจากที่เอริกะใช้เวลาสักพักหนึ่งในการขับรถพานากากลับไปส่งที่คฤหาสน์เวลาก็ได้ผ่านไปจนพระอาทิตย์เริ่มที่จะลับขอบฟ้า ซึ่งในทันทีที่รถยนต์ของพวกเขาขับไปจอดอยู่ที่ด้านหน้าคฤหาสน์คอนแนลที่ดูเหมือนว่าจะเฝ้ารอพวกเขาอยู่ก็ได้รีบวิ่งมาเปิดประตูรั้วให้กับพวกเขาอย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความกังวล

 

“ทั้งสองคนกลับมาแล้วหรอครับ…”

 

“โอ้ ว่าไงคอนแนลคุง มีอาเขาว่ายังไงเรื่องอาการของโมโกะจังบ้างน่ะ”

 

“เอ่อ… จะว่ายังไงดีล่ะครับ…”

 

“นายทำท่าอย่างงี้อย่าบอกนะว่าร่างกายของโมโกะเขามีปัญหาอะไรน่ะ?”

 

ทันใดนั้นเองนากาที่เปิดประตูลงมาจากรถและได้เห็นท่าทางลำบากใจของคอนแนลก็ได้รีบเดินเข้าไปสอบถามเขาด้วยน้ำเสียงร้อนรนจนทำให้คอนแนลมีท่าทีลำบากใจไปมากกว่าเดิมอีก แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่คอนแนลจะได้พูดตอบอะไรนากากลับไปก็ได้มีเสียงของมีอาดังขึ้นมาจากทางประตูของตัวคฤหาสน์เข้าซะก่อน

 

“คือว่าแผลไฟไหม้ที่หูกับใบหน้าของโมโกะจังมันค่อนข้างจะร้ายแรงกว่าที่ฉันคาดเอาไว้นิดหน่อยน่ะจ้ะ…”

 

เสียงของมีอาที่ดังขึ้นมาจากทางด้านประตูของตัวคฤหาสน์นั้นได้ทำให้นาการีบหันไปทางนั้นเพื่อที่จะได้พูดสอบถามขึ้นมาในทันที ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาได้พบเข้ากับโมโกะที่มีผ้าพันแผลพันปิดบริเวณใบหน้าซีกซ้ายที่กำลังยืนแอบอยู่ที่ด้านหลังประตูคฤหาสน์เข้า

 

“โม—-”

 

“—–!!”

 

โมโกะที่สังเกตเห็นว่านากากำลังจะเอ่ยปากเรียกชื่อของเธอขึ้นมานั้นได้สะดุ้งตกใจด้วยสีหน้าหวาดกลัวก่อนที่เธอจะรีบวิ่งหายเข้าไปภายในตัวคฤหาสน์อย่างรวดเร็วจนทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นต้องรีบปล่อยมือของเขาออกจากตัวคอนแนลที่เขากำลังเขย่าอยู่แล้วจึงรีบวิ่งไล่หลังเพื่อนสาวหูแมวของเขาไปในทันที

 

“เดี๋ยวก่อนสิโมโกะ!!”

 

“นากาคุงฟังฉันก่อน—! เมื่อกี้นี้ฉันเพิ่งจะให้ยาโมโกะจังเขาไปน่ะเพราะงั้นตอนนี้เธออาจจะสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่ แล้วก็เรื่องหูสำหรับคนที่มีหูแมวบางคนน่ะจะเป็นเรื่องใหญ่มากนะโดยเฉพาะยิ่งกับเด็กผู้หญิงอย่างโมโกะจังด้วยแล้วน่ะ เพราะงั้นถ้าเธอจะพูดอะไรกับโมโกะจังเขาก็คิดให้ดีๆ ก่อนด้วยนะ”

 

“เข้าใจแล้วครับ!”

 

ปึ้ง—

 

นากาเอ่ยปากพูดตอบมีอาที่ร้องเรียกเขาเอาไว้ก่อนแล้วจึงรีบเร่งฝีเท้าตามโมโกะเข้าไปด้านในตัวคฤหาสน์ก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงกระแทกประตูปิดดังขึ้นมาจากบริเวณที่ห้องนอนของโมโกะตั้งอยู่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าโมโกะน่าจะเพิ่งหนีเข้าไปหลบอยู่ภายในห้องนอนของตัวเองนั่นเอง

 

และนั่นก็ทำให้นากาที่ทราบเป้าหมายของตัวเองแล้วได้ชะลอฝีเท้าลงเพื่อเดินไปทางห้องนอนของโมโกะแล้วจึงค่อยยกมือขึ้นมาเคาะประตูห้องนอนของเพื่อนของเขาและเอ่ยปากเรียกอีกฝ่ายขึ้นมา

 

“โมโกะอยู่ข้างในหรือเปล่า…”

 

“……….”

 

“นี่โมโกะ… เปิดประตูให้ฉันหน่อยสิ….”

 

แอ๊ด….

 

เสียงร้องขอของนากาได้ทำให้ประตูห้องนอนของโมโกะถูกเปิดออกอย่างช้าๆ และเผยให้เห็นร่างของโมโกะที่มีผ้าพันแผลพันปิดใบหน้าทางฝั่งซ้ายไปจนซะเกือบจะทั้งหมดที่ยืนอยู่ที่เบื้องหน้าประตู แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ทำให้นาการู้สึกตกใจจนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่นั้นก็กลับเป็นใบหูแมวข้างหนึ่งของโมโกะที่หายไปจากจุดที่มันควรจะอยู่นั่นต่างหาก ซึ่งสีหน้าตกตะลึงปนตกใจของนากานั้นก็ได้ทำให้โมโกะก้มหน้าลงต่ำและเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

 

“สภาพของฉันมันไม่น่ามองแล้ว…ใช่มั้ยล่ะ…”

 

“ค….คือว่ามันก็….”

 

“ฮึก….”

 

คำพูดที่ฟังดูลังเลของนากานั้นได้ทำให้ดวงตาของโมโกะเริ่มที่จะมีหยาดน้ำก่อตัวขึ้นมาก่อนที่เธอจะทำท่าเหมือนกับว่าจะกระชากประตูให้ปิดลงไปตามเดิม ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาได้แต่ต้องรีบตัดสินใจที่จะคว้าตัวโมโกะเข้ามากอดเอาไว้และลูบหัวของเธอเบาๆ พร้อมกับพยายามพูดจาปลอบเธอใจไปด้วย

 

“เธอเข้าใจผิดแล้วนะโมโกะ… ฉันก็เหนื่อยจนเผลอเหม่อไปหน่อยเท่านั้นเอง… แล้วอีกอย่างนึงสำหรับฉันแล้วต่อให้เธอจะได้รับบาดเจ็บจนมีสภาพเป็นยังไงเธอก็ยังเป็นโมโกะของฉันกับพรีมูล่าเหมือนเดิมนั่นแหล่ะ… เพราะงั้นเธออย่าว่าตัวเองแบบนั้นเลยนะ…”

 

คำพูดของนากาได้ทำให้ร่างกายที่สั่นสะท้านของโมโกะหยุดนิ่งลงก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นมาโอบกอดนากากลับไปแล้วจึงเอ่ยปากพูดตอบเขากลับไปเบาๆ

 

“…อื้อ”

 

“…….”

 

ในขณะที่นากากำลังโอบกอดโมโกะเอาไว้ในอ้อมแขนอยู่นั้นเขาก็ได้เหลือบไปเห็นเอริกะ คอนแนลและมีอาที่เดินตามมาแอบมองด้วยความเป็นห่วงอยู่ที่หัวมุมที่สุดโถงทางเดินในขณะที่ทางด้านอีฟที่เดินตามทุกคนมาและสังเกตเห็นเขาเข้านั้นก็ทำท่าเหมือนกับว่าจะเดินเข้ามาหา ซึ่งนั่นก็มำให้นากาได้แต่ต้องรีบพยักหน้าเป็นสัญญาณให้เอริกะคว้าตัวอีฟเอาไว้ก่อนและตัดสินใจที่จะพาโมโกะเข้าไปพักผ่อนในห้องของเธอ

 

“ถ้ายังไงเดี๋ยวเธอก็กลับเข้าไปนอนพักผ่อนในห้องก่อนเถอะโมโกะ เห็นมีอาเขาบอกว่าเธอเพิ่งจะกินยาไปเองนี่นา…”

 

“……”

 

โมโกะที่ได้ยินคำพูดของนากาได้กำชับอ้อมกอดของเธอที่กอดตัวนากาเอาไว้แน่นกว่าเดิมราวกับกำลังกลัวว่าเขาจะเดินจากเธอไปไหน ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาได้แต่ต้องลูบหัวเธอไปเบาๆ อีกครั้งหนึ่งแล้วจึงเอ่ยปากพูดบอกเธอพร้อมกับพาตัวโมโกะหายเข้าไปข้างในห้องนอน

 

“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจะไม่หนีเธอไปไหนทั้งนั้นแหล่ะ…”

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

Status: Ongoing
เมื่อคำสัญญาจากอดีตได้หวนคืนกลับมาเพื่อทวงคืนสิ่งที่ถูกหยิบยืมไป การเดินทางของคนถูกทิ้งกลุ่มหนึ่งเพื่อจะช่วยเหลือมนุษยชาติจึงได้เริ่มต้นขึ้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท