บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ – ตอนที่ 153 Unsanctioned Mediator

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

“เรื่องแบบนั้นมันจะเป็นไปได้ยังไงกันล่ะครับ!?”

คำพูดของเบรนสันเกี่ยวกับเรื่องที่รีซาน่าเคยทำลงไปในอดีตนั้นได้ทำให้นากาขึ้นเสียงตอบเขากลับไปด้วยความตกใจปนประหลาดใจ แต่ถึงอย่างงั้นทางด้านเบรนสันก็กลับส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยด้วยความลำบากใจ เพราะว่าในตอนที่เขาได้ยินเรื่องนี้มาจากท่านผู้ใหญ่บ้านเขาก็ไม่อยากจะเชื่อมันเหมือนกัน

“พวกเธออาจจะทำใจเชื่อมันไม่ลง แต่ว่าทุกคนในหมู่บ้านนี้ก็รู้เรื่องนั้นกันหมด… ที่ว่าท่านผู้ใหญ่บ้านไปพบร่างของรีซาน่ายืนอยู่ท่ามกลางกองเลือดเนื้อและเศษกระดูกในบ้านของเธอเองนั่นน่ะ… ไม่ว่าพวกเธอจะไปถามใครในหมู่บ้านเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนนั้น พวกเขาก็จะตอบแบบเดียวกันฉันนี่แหล่ะ… ไม่เชื่อพวกเธอก็ลองดูสิ”

 

เบรนสันพูดอธิบายขึ้นมาพลางพเยิดหน้าไปทางชาวบ้านสองสามคนที่กำลังยืนแอบฟังบทสนทนาระหว่างเขากับคนนอกหมู่บ้านอย่างพวกนากาอยู่ ซึ่งนั่นก็ทำให้พวกชาวบ้านเหล่านั้นต้องรีบแยกย้ายกันไปด้วยใบหน้าซีดเซียวราวกับว่าพวกเขานึกถึงเรื่องสยดสยองอะไรขึ้นมาได้

 

แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านนากาที่รู้จักกับรีซาน่ามาได้สักพักใหญ่ๆ แล้วก็กลับทำใจให้เชื่อได้ไม่ลงว่าเด็กสาวร่างใหญ่ที่ดูเป็นคนทึ่มๆ และใจดีคนนั้นจะเคยทำเรื่องอะไรแบบนั้นลงไปได้

 

“มันอาจจะมีอะไรผิดพลาดก็ได้นะครับ! อย่างรีซาน่าคนนั้นเนี่ยนะจะไปทำร้ายคนอื่นแบบนั้นน่ะ!?”

 

“นั่นสิคะ… แถมยังเป็นแม่ของตัวเองแบบนั้นอีกด้วย…”

 

“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่ารีซาน่าเขาทำตัวยังไงเวลาที่อยู่ที่โรงเรียนน่ะ แต่ว่าสำหรับคนในหมู่บ้านนี้ที่เคยเห็นเรื่องแบบนั้นไปแล้ว รีซาน่าก็ไม่ได้ต่างไปจากตัวอันตรายที่อาจจะคลุ้มคลั่งไล่ฆ่าคนเมื่อไหร่ก็ได้สักเท่าไหร่หรอก…”

 

“ต—แต่ว่ารีซาน่าเขา—”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดยืนยันของเบรนสันอีกครั้งหนึ่งได้พยายามที่จะพูดเถียงกลับไปเพื่อแก้ต่างให้กับเพื่อนของเขา แต่ว่ายังไม่ทันที่นากาจะได้พูดออกมาจนจบ เบรนสันก็ได้ยกมือขึ้นมาห้ามเขาและพูดตัดบทขึ้นมาเสียก่อน

 

“แล้วเธอคิดว่าถ้าเกิดรีซาน่าไม่ได้ถูกสาปจนบ้าคลั่งไป ลำพังแค่เด็กคนนึงจะสู้กับคุณยักษ์ใจดีที่เป็นผู้พิทักษ์ของหมู่บ้านกับผู้พิทักษ์สูงสุดอย่างคนที่ดำรงตำแหน่งเดรคในตอนนั้นที่ได้รับเลือกจากเทพมังกรได้ยังไงกันล่ะ…”

 

“เรื่องนั้น…”

 

“พอได้แล้วน่านากา… พวกเราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยเพราะงั้นคงจะพูดอะไรไม่ได้หรอกนะ…”

 

โมโกะที่เห็นว่านากายังคงพยายามที่จะพูดเถียงเบรนสันกลับไปไม่เลิกได้พูดห้ามปรามเพื่อนของเธอขึ้นมา และนั่นก็ทำให้เบรนสันถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเหมือนกับว่าเขาเองก็ไม่ได้ต้องการที่จะโต้เถียงกับใครในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน

 

“เฮ้อ… ฉันเองก็พอจะเข้าใจว่าสำหรับพวกเธอที่ไม่เคยเห็นเรื่องที่รีซาน่าเขาทำลงไปมันอาจจะเป็นเรื่องที่ทำใจเชื่อได้ยาก แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องจริงที่ว่าในวันนี้มีคนเสียชีวิตไปสองคน… คนนึงก็คือคนที่ดำรงตำแหน่งในตอนนั้น ส่วนอีกคนนึงก็คือคุณแม่ของรีซาน่าเขานั่นล่ะ…”

 

หลังจากที่เบรนสันพูดขึ้นมาจนจบแล้วเขาก็ได้มองไปทางนากาที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนรีซาน่าเล็กน้อยแล้วจึงส่ายหน้าไปมาเบาๆ เพราะดูท่าทางว่าเขาคงจะเสียรู้เด็กๆ ทั้งสองคนเบื้องหน้าที่อ้างว่าพวกเขาเพียงแค่เรียนอยู่ห้องเรียนเดียวกันกับรีซาน่าแต่ว่าไม่ได้เป็นเพื่อนกับเด็กสาวร่างใหญ่ไปเสียแล้ว

 

แต่ถึงอย่างงั้นเขาเองก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะพูดเตือนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วยความเป็นห่วงในตัวพวกเด็กๆ เบื้องหน้าที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ระมัดระวังตัวในการเข้าหารีซาน่าเลยแม้แต่น้อย

 

“สำหรับเรื่องของรีซาน่านี่… ฉันรู้ว่าฉันคงจะห้ามอะไรพวกเธอไม่ให้คบหากับรีซาน่าเขาไม่ได้ แต่ถ้ายังไงพวกเธอก็ระวังตัวกันสักหน่อยก็แล้วกัน”

 

“ค่ะ…”

 

โมโกะพยักหน้าตอบเบรนสันกลับไปในขณะที่ทางด้านนากานั้นก็กลับได้แต่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะถึงแม้ว่าชายวัยกลางคนเบื้องหน้าของเขาจะดูมีท่าทีเหมือนกับว่าจะหวาดกลัวในตัวของรีซาน่าอยู่บ้าง แต่ว่าเขาก็ไม่ได้มีท่าทีถึงขั้นที่เรียกได้ว่ารังเกียจรีซาน่าเหมือนอย่างที่ชาวบ้านคนอื่นๆ รวมถึงหัวหน้าหมู่บ้านแสดงออก

 

แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้เอ่ยปากพูดสอบถามอะไรขึ้นมา เบรนสันที่มองสำรวจดูยูนิตเชสเชียร์ที่โมโกะสวมใส่อยู่มาได้สักพักหนึ่งแล้วก็ได้เอ่ยปากพูดถามถึงตัวอุปกรณ์แปลกตาเบื้องหน้าขึ้นมาเสียก่อน

 

“ว่าแต่เจ้าเครื่องที่หนูสวมอยู่นั่นมันคืออุปกรณ์เดินทางสำหรับคนป่วยอย่างงั้นหรอ?”

 

“อ๋อ… ใช่แล้วล่ะค่ะ คือพอดีว่าสภาพร่างกายของหนูมันยังไม่เหมาะสำหรับการเดินทางสักเท่าไหร่ แต่ทางโรงเรียนเห็นว่ามันเป็นเหตุจำเป็นก็เลยเอาเจ้านี่มาให้หนูใช้งานก่อนน่ะค่ะ…”

 

“งั้นหรอ… ยังไงฉันก็ต้องขอโทษที่อาจจะต้อนรับพวกเธอได้ไม่ดีสักเท่าไหร่แถมยังให้คำตอบเรื่องที่พวกเธอต้องการไม่ได้ด้วยก็แล้วกันนะ ทั้งๆ ที่พวกเธออุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกลทั้งๆ ที่ยังบาดเจ็บอยู่แบบนี้แท้ๆ น่ะ”

 

“ไม่เป็นไรหรอกครับเรื่องนั้นน่ะ… ว่าแต่คุณเบรนสันนี่ดูเหมือนจะเปิดรับคนนอกอย่างพวกผมมากกว่าผู้ใหญ่บ้านเมื่อกี้นี้อยู่เหมือนกันนะครับ คือพอดีผมได้ยินรีซาน่าเขาบอกว่าหมู่บ้านของเธอไม่ค่อยจะต้อนรับคนนอกสักเท่าไหร่น่ะ”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดขอโทษที่ฟังดูจริงใจของเบรนสันได้เอ่ยปากพูดถามเขากลับไปด้วยความแปลกใจ ซึ่งนั่นก็ทำให้เบรนสันหลุดเสียงหัวเราะสั้นๆ ออกมา

 

“ฮะฮะ… ก็ถ้าเกิดว่ามันเป็นเรื่องเมื่อสักสิบปีก่อนตอนที่รีซาน่าเขายังอยู่ในหมู่บ้านมันก็อาจจะใช่นั่นล่ะ แต่ว่าเวลาผ่านไปมันก็มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเยอะเหมือนกัน… จะว่าไปเมื่อกี้นี้ฉันเผลอทำของหล่นเอาไว้ตอนที่เจอกับพวกเธอตรงจุดที่หินถล่มลงมาหรือเปล่านะ?”

 

“ใช่แล้วล่ะค่ะ พอดีว่าเมื่อกี้นี้พวกหนูรีบวิ่งตามมาก็เลยไม่ได้เก็บของมาคืนให้น่ะค่ะ…”

 

โมโกะพูดตอบคำถามของเบรนสันกลับไป ซึ่งนั่นก็ทำให้เบรนสันต้องทำสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนที่เขาจะหันไปมองทางด้านหญิงสาวที่มีตำแหน่งเดรคแล้วจึงเอ่ยปากพูดไหว้วานเธอขึ้นมา

 

“ถ้าอย่างงั้นฉันฝากเธอไปรายงานท่านผู้ใหญ่บ้านให้หน่อยสิเดรค ส่วนทางด้านฉันเดี๋ยวพอตามเด็กๆ พวกนี้ไปเก็บอุปกรณ์เสร็จแล้วจะรีบตามไป”

 

“……..”

 

คำขอของเบรนสันนั้นได้ทำให้หญิงสาวที่ดำรงตำแหน่งเดรคต้องขมวดคิ้วจ้องมองเขาเหมือนกับว่าไม่เห็นด้วย และนั่นก็ทำให้เบรนสันจำเป็นต้องพูดเกลี้ยกล่อมเธอขึ้นมา

 

“เธอไม่ต้องคิดมากไปหรอกน่า ฉันก็แค่เสียดายอุปกรณ์พวกนั้นก็แค่นั้นแหล่ะ ขืนไม่รีบไปเก็บกลับมาเดี๋ยวก็ได้โดนตัวอะไรคาบหายไปกันพอดี… คิดซะว่าเห็นใจคนที่ต้องออกไปซื้อของพวกนั้นมาจากแพนเทร่าอีกรอบถ้าเกิดมันหายไปอย่างฉันสักหน่อยก็แล้วกัน”

 

“…อื้ม”

 

คำพูดของเบรนสันในคราวนี้ได้ทำให้หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าเดรคพยักหน้าตอบเขากลับไปแต่โดยดีก่อนที่เธอจะเดินแยกออกจากกลุ่มของพวกเขาหายไปในส่วนลึกของหมู่บ้าน

 

และเมื่อเบรนสันเห็นแบบนั้นเขาก็ได้ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ ให้นากาและโมโกะได้ฟัง

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวพวกเราค่อยคุยกันต่อระหว่างที่เดินไปเก็บของก็แล้วกัน… อย่างน้อยๆ ฉันจะได้ไม่ต้องระวังว่าคนอื่นๆ จะได้ยินสิ่งที่ฉันคิดจะพูดน่ะนะ”

 

“เอ๋? หมายถึงระหว่างที่เดินไปที่แค้มป์ของพวกหนูน่ะหรอคะ?”

 

“อื้ม เพราะว่ายังไงเดี๋ยวฉันก็ต้องหาเวลาไปเก็บอุปกรณ์พวกนั้นอยู่แล้วล่ะ แล้วไหนๆ ก็มีโอกาสแล้ว ฉันก็เลยอยากจะคุยกับพวกเธอเกี่ยวกับเรื่องที่คนอื่นๆ เขาอาจจะไม่สบายใจถ้าได้ยินไปด้วยเลยน่ะ พวกเธอคงจะไม่ว่าอะไรหรอกสินะ?”

 

เบรนสันพูดตอบโมโกะกลับไปพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อเดินนำพวกนากากลับไปยังจุดตั้งแค้มป์ของพวกนากาที่ตั้งอยู่ตรงจุดหินถล่มไปด้วย ซึ่งนั่นก็ทำให้ทั้งนากาและโมโกะต้องรีบลุกขึ้นเดินตามเขาไปโดยมีเสียงของโมโกะพูดสอบถามเพิ่มเติมไปด้วย

 

“ทางด้านพวกหนูไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ แต่ว่าทางด้านคุณเบรนสันจะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรอคะ เพราะเห็นเมื่อกี้นี้ตกใจรีซาน่าเขาจนต้องรีบวิ่งหนีกลับมาที่หมู่บ้านเลยนี่นา”

 

“ฮะฮะ เมื่อกี้นี้ฉันก็แค่เผลอตกใจไปหน่อยเท่านั้นเองแหล่ะน่า พอมาคิดดูดีๆ แล้วเหมือนว่าพวกเธอคงจะมีวิธีอะไรสำหรับรับมือรีซาน่าได้โดยเฉพาะล่ะสิท่า ถึงได้กล้าคบรีซาน่าเขาเป็นเพื่อนได้อย่างสบายใจแบบนั้นน่ะ”

 

“เอาจริงๆ มันก็ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอกครับ เพราะตั้งแต่ที่พวกผมได้พบกับรีซาน่าก็ไม่เห็นว่าเขาจะมีท่าทีว่าจะคลั่งอะไรแบบที่คุณเบรนสันบอกเลยนี่นา… แต่เอาเป็นว่าถ้ารีซาน่าเขาทำท่าจะอาละวาดขึ้นมาเดี๋ยวพวกผมจะช่วยหยุดให้เองก็แล้วกัน”

 

นากาที่กำลังเดินตามหลังเบรนสันไปนั้นได้เกาแก้มพูดตอบชายวัยกลางคนกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่ได้กังวลอะไรมากนัก เพราะเขาคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านของรีซาน่านี่คงจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดอะไรซะมากกว่า

 

ส่วนทางด้านเบรนสันที่เดินนำหน้าพวกนากาจนพ้นเขตหมู่บ้านมาแล้วก็ได้หันไปมามองซ้ายมองขวาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาเมื่อพบว่าไม่มีพวกชาวบ้านคนอื่นๆ อยู่แถวนี้แล้ว

 

“มาถึงขนาดนี้น่าจะไม่มีใครมาได้ยินแล้วล่ะ… พวกเธอมีความเห็นคิดยังไงกับเรื่องกองหินที่ถล่มลงมาปิดทางเข้าหมู่บ้านของพวกฉันบ้างล่ะ?”

 

“หมายถึงกองหินที่ถล่มลงมาทับกันจนแทบจะเป็นกำแพงหินนั่นน่ะหรอคะ?”

 

“ใช่แล้วล่ะ ตอนอยู่ข้างในนั้นฉันไม่ค่อยจะอยากพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องกองหินถล่มนั่นสักเท่าไหร่ เพราะว่ามีชาวบ้านหลายคนอยู่เหมือนกันที่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ฉันอยากจะทำน่ะ”

 

เบรนสันพูดตอบโมโกะกลับไปพลางหันไปมองกองหินสูงใหญ่ที่ทับถมกันจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นกำแพงหินเสียมากกว่าที่อยู่ห่างออกไปเบื้องหน้าด้วยแววตากลุ้มใจ ซึ่งคำพูดของเบรนสันนั้นก็ได้ทำให้นากาต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ

 

“พูดแบบนี้นี่หมายความว่าคุณเบรนสันกำลังคิดจะเจาะหินพวกนั้นเพื่อเปิดทางเข้าหมู่บ้านอยู่งั้นหรอครับ? แต่เห็นรีซาน่าบอกว่าหมู่บ้านของคุณเบรนสันไม่ค่อยจะต้อนรับคนนอกไม่ใช่หรอครับ?”

 

“ฮะฮะ ก็เพราะแบบนั้นนั่นแหล่ะฉันถึงได้ไม่ค่อยอยากจะพูดเรื่องนี้ตอนอยู่ในหมู่บ้านไง บอกตามตรงเลยนะว่ากองหินพวกนั้นน่ะมันทำให้งานของฉันลำบากสุดๆ เลยล่ะ เพราะกว่าฉันจะเข้าออกหมู่บ้านไปซื้อข้าวของจำเป็นได้แต่ละทีก็ต้องอ้อมไปทางป่าด้านนู้นเสร็จแล้วก็ต้องเดินทางอ้อมเทือกเขาขึ้นเหนือไปทางแพนเทร่าอีกทีนึง”

 

“หืม? คุณเบรนสันทำหน้าที่อะไรในหมู่บ้านหรอครับถึงต้องเดินทางเข้าออกแบบนั้นบ่อยๆ น่ะ?”

 

“ฉันหรอ? ฉันทำหน้าที่เป็นคนกลางเวลาที่ทางหมู่บ้านจะต้องติดต่อซื้อขายของจำเป็นกับเมืองต่างๆ น่ะ หลักๆ แล้วก็มีขนของไปขายที่แพนเทร่า แล้วก็ซื้อของใช้สอยกลับมาที่หมู่บ้านนั่นแหล่ะ จะเรียกว่าพ่อค้าก็ได้ล่ะมั้ง”

 

เบรนสันพูดตอบคำถามของนากากลับไปแบบไม่คิดจะปิดบังอะไร ซึ่งคำตอบของเขานั้นก็ได้ทำให้โมโกะต้องพูดถามขึ้นมาบ้างด้วยความประหลาดใจ

 

“เอ๋ แต่ถ้าเกิดว่าหมู่บ้านนี้มีพ่อค้าแบบคุณเบรนสันอยู่ทำไมคนอื่นๆ เขาถึงไม่เคยได้ยินว่ามีหมู่บ้านตั้งอยู่ข้างในเทือกเขานี้เลยล่ะคะ?”

 

“เธอคงจะหมายถึงว่าทำไมเธอไม่เคยได้ยินว่ามีหมู่บ้านที่มีแต่คนที่มีเขาอาศัยอยู่เลยมากกว่าล่ะมั้ง… แต่เรื่องนั้นมันก็ไม่น่าแปลกใจนักหรอก เพราะเวลาฉันออกไปก็ไม่ค่อยจะได้ทำอะไรนอกจากติดต่อซื้อขายสักเท่าไหร่น่ะ แล้วคนที่มีเขาแบบพวกฉันก็ไม่ได้หายากอะไรที่ข้างนอกนั่นด้วยใช่มั้ยล่ะ พวกเขาก็คงจะคิดว่าเป็นพ่อค้าจากหมู่บ้านใกล้ๆ ตัวเมืองเฉยๆ นั่นล่ะ”

 

“ก็นั่นสินะคะ…”

 

“จะว่าไป ถึงจะเห็นพวกเธอแต่งตัวแบบนี้แต่ว่าพวกเธอคงจะไม่ใช่คนของพวกเมืองหลวงโดยกำเนิดใช่หรือเปล่า?”

 

หลังจากที่ได้ยินคำตอบรับจากโมโกะแล้วเบรนสันก็ได้หันกลับมามองการแต่งกายของโมโกะและนากาอันเป็นเครื่องแบบของทางโรงเรียนรีมินัสเล็กน้อยแล้วจึงพูดถามขึ้นมา ซึ่งคำถามของเบรนสันนั้นก็ได้ทำให้โมโกะต้องพูดถามกลับไปอีกครั้งหนึ่ง

 

“เอ๋ะ? คุณเบรนสันรู้ได้ยังไงหรอคะ?”

 

“อื้ม… แบบจะว่ายังไงดีล่ะ พวกคนเมืองหลวงที่ฉันเคยเจอมาส่วนมากจะ… เรียกว่าไงดีล่ะ ถือดี กว่าพวกชาวบ้านจากหมู่บ้านต่างๆ น่ะ แล้วพวกเธอก็ดูไม่เหมือนกับพวกเขาสักเท่าไหร่… ถ้าพวกเธอไม่ว่าอะไรจะช่วยเล่าเรื่องของหมู่บ้านของพวกเธอให้ฉันฟังสักหน่อยจะได้หรือเปล่า?”

 

“หมู่บ้านของพวกผมหรอครับ…”

 

นากาที่ได้ยินคำถามของเบรนสันได้ก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความเศร้าใจ เพราะว่าตัวเขาที่ได้กลับไปที่หมู่บ้านของตัวเองมาแล้วหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นมานั้นรู้ดีว่าที่นั่นมันไม่เหลืออะไรอีกเลยนอกจากทุ่งดอกไม้หลากสีสันที่ตั้งอยู่ใจกลางทุ่งหญ้าเขียวขจีที่สูบพลังวิซของผู้ที่อาจหาญย่างกรายเข้าไป

 

ซึ่งในขณะที่นากากำลังโศกเศร้ากับหมู่บ้านของเขาที่กลายเป็นความว่างเปล่าไปแล้วนั้น ทางด้านโมโกะก็กลับหยุดยืนอยู่กับที่ด้วยใบหน้าซีดเผือดเมื่อความทรงจำในวันที่เธอถูกอลิซลากตัวออกมาจากซากบ้านที่ลุกเป็นทะเลเพลิงได้ผุดกลับมาอีกครั้งจนทำให้เบรนสันที่สังเกตเห็นว่าบรรยากาศได้เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันต้องรีบพูดขึ้นมา

 

“ถ้าพวกเธอไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นอะไรนะ ฉันแค่อยากรู้ว่าที่อื่นๆ มันจะแตกต่างยังไงกับที่นี่บ้างก็เท่านั้นเอง”

 

“อ๋อ เปล่าหรอกครับ… แค่ว่าเมื่อไม่นานมานี้มันเกิดเรื่องขึ้นที่หมู่บ้านของพวกผมจนพวกเรากลับไปที่นั่นไม่ได้แล้วน่ะครับ… ว่าแต่ที่หมู่บ้านของคุณเบรนสันดูเหมือนว่าจะสงบสุขดีสินะครับ”

 

“ก็นะ… ที่นี่มันก็สงบสุขแบบนี้มาตั้งนานแล้วล่ะ ถ้าไม่นับเรื่องของรีซาน่าเขาน่ะนะ…”

 

“ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็ดีแล้วล่ะครับ…”

 

นากาพูดตอบเบรนสันกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ที่ฟังดูไม่ออกว่าเขากำลังรู้สึกอิจฉาที่หมู่บ้านในหุบเขาแห่งนี้ไม่ได้ถูกบุกโจมตีหรือไม่ก่อนที่เขาจะดึงตัวโมโกะที่ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่มาโอบกอดเอาไว้และลูบหัวของเธอเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบใจ

 

ซึ่งท่าทีของเด็กหนุ่มสาวทั้งสองคนนั้นก็ทำให้เบรนสันพอจะทราบได้ว่ามันคงจะมีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นที่หมู่บ้านของเด็กๆ ทั้งสองคนเมื่อไม่นานมานี้อย่างแน่นอน

 

“ถ้าเกิดว่าคำถามของฉันมันทำให้พวกเธอไม่สบายใจฉันก็ต้องขอโทษด้วยนะ…”

 

“ม…ไม่เป็นไรหรอกค่ะ… ปล่อยได้แล้วน่านากา อายคนเขา…”

 

โมโกะที่ได้ยินคำขอโทษจากเบรนสันนั้นได้รีบพูดตอบเขากลับไปพร้อมกับดันร่างของนากาที่กำลังโอบกอดเธอเอาไว้ให้ถอยห่างออกไปก่อนที่พวกเขาจะออกก้าวเดินกันอีกครั้งหนึ่งจนได้พบเข้ากับรีซาน่าที่กำลังนั่งสุมไฟกองใหญ่อยู่ ในขณะที่ทางด้านอีฟนั้นกลับหันมองเข้าไปทางด้านในป่าที่เป็นทางเข้าของพวกเขาและเอียงคอไปมาเหมือนกับว่าเธอกำลังนึกสงสัยอะไรบางอย่างอยู่

 

“กลับมาแล้วรีซาน่า ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือเปล่า?”

 

“อ้าว กลับมากันแล้วหรอคะ ฉันยังเตรียมอาหารไม่เสร็จ— อ่ะ…”

 

รีซาน่าที่ดูเหมือนว่าจะยังคงจัดเตรียมกองไฟสำหรับประกอบอาหารอยู่นั้นได้ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเธอสังเกตเห็นเบรนสันที่ยืนหลบอยู่หลังกองหินกองหนึ่งเข้าก่อนที่เธอจะรีบชะโงกหน้าเข้าไปพูดถามโมโกะที่กำลังเดินมาเข้านั่งลงที่ข้างๆ ตัวอีฟขึ้นมา

 

“น—นั่นมันคุณชาวบ้านคนที่วิ่งหนีไปเมื่อกี้นี้ไม่ใช่หรอคะ ทำไมเขาถึงตามมาด้วยกันล่ะคะโมโกะจัง!?”

 

“ก็เขาขอตามมาเองเธอจะให้พวกฉันทำยังไงล่ะ… แต่คิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไรหรอกมั้งเพราะว่าเขาก็ไม่ได้รีบวิ่งหนีเธอไปเหมือนเมื่อกี้แล้วนี่…”

 

“ถึงโมโกะจังจะว่าอย่างงั้นก็เถอะนะคะ…”

 

รีซาน่าพูดตอบโมโกะกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจสักเท่าไหร่นักพลางแอบเหลือบมองไปยังเบรนสันที่กำลังแอบด้อมๆ มองๆ มาทางเธออยู่ด้วยเช่นเดียวกันจนทำให้นากาที่เพิ่งจะเดินเข้ามาร่วมวงต้องช่วยพูดขึ้นมาด้วยอีกคนนึง

 

“เธอไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นก็ได้น่า ถ้าดูจากตอนที่พวกฉันเข้าไปข้างในนั้นแล้ว ถ้าจะมีใครในหมู่บ้านที่น่าจะฟังเธอพูดบ้างก็น่าจะเป็นคุณเบรนสันเขานี่แหล่ะ เธอก็เห็นสภาพของพวกชาวบ้านคนอื่นๆ แล้วไม่ใช่หรอ”

 

“นั่นสินะคะ… แหะๆ”

 

รีซาน่าหัวเราะตอบนากากลับไปเบาๆ พลางหันกลับไปเขี่ยกองไฟเบื้องหน้าอีกครั้งหนึ่ง ในขณะที่โมโกะนั้นก็ได้เริ่มต้นหยิบวัตถุดิบสำหรับเตรียมอาหารกลางวันออกมาหลอกล่อความสนใจของอีฟกลับมาจากทางชายป่าที่เด็กสาวกำลังให้ความสนใจอยู่

 

ส่วนทางด้านนากานั้นก็ได้หยิบเอาพวกอุปกรณ์ของเบรนสันที่ถูกรีซาน่ารวบรวมมากองรวมกันไว้กลับไปให้เจ้าตัวก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นถึงได้มีก้อนหินถล่มลงมาปิดทางซะจนมิดขนาดนี้กันครับเนี่ยคุณเบรนสัน?”

 

“ก็ไม่รู้เหมือนกันสิ เพราะว่าเรื่องหินถล่มนี่มันก็เกิดขึ้นมาตั้งจะเป็นสิบปีแล้วล่ะ หลังจากตอนที่รีซาน่าเขาถูกไล่ออกไปจากหมู่บ้านพอดี… ตอนที่หน้าที่ค้าขายยังเป็นของคนอื่นอยู่เขาก็ยังพอรับได้น่ะ แต่สำหรับฉัน ฉันว่าการที่ต้องเดินทางอ้อมภูเขาไปมันเป็นเรื่องที่เสียเวลาไปหน่อยก็เลยเสนอไปว่าจะจัดการเปิดทาง… แต่ก็โดนพวกผู้อาวุโสกับท่านหัวหน้าหมู่บ้านคัดค้านมาตลอดจนพวกท่านเพิ่งจะยอมผ่อนปรนลงเล็กน้อยเมื่อไม่นานมานี้นี่เองนั่นแหล่ะ”

 

“เอ๋? นี่ทางหมู่บ้านยังติดต่อค้าขายกับข้างนอกอยู่อีกหรอคะ? ฉันเห็นว่าไม่มีข่าวจากทางหมู่บ้านเล็ดลอดออกมาเลยก็เลยนึกว่าหมู่บ้านล่มสลายไปแล้วแบบที่คุณผู้ใหญ่บ้านบอกเอาไว้ซะอีก… ว่าแต่ยังขายแค่คริสตัลวิซที่ขุดได้อยู่เหมือนเดิมหรือเปล่าคะ?”

 

ในขณะที่เบรนสันกำลังพูดอธิบายออกมาอยู่นั้นเอง ทางด้านรีซาน่าที่ได้ยินเรื่องของทางหมู่บ้านของเธอก็ได้เอ่ยปากพูดถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ ซึ่งนั่นก็ทำให้เบรนสันสะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเกร็งๆ

 

“ก… ก็เป็นแบบนั้นมาตลอดจนกว่าท่านผู้ใหญ่บ้านจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นนั่นล่ะ…”

 

“จะว่าไปเห็นเธอเคยบอกว่าหมู่บ้านของเธอเก็บตัวเงียบไม่ค่อยจะต้อนรับคนนอกสักเท่าไหร่ไม่ใช่หรอรีซาน่า เท่าที่ฉันฟังมานี่ก็เหมือนว่าจะไม่ได้แตกต่างไปจากหมู่บ้านปกติสักเท่าไหร่เลยนะ แค่ว่าอยู่ในหุบเขากลางป่าลึกแค่นั้นเองนี่”

 

ในขณะที่เบรนสันกำลังพูดตอบรีซาน่ากลับไปอยู่นั้น ทางด้านนากาเองก็ได้เอ่ยปากพูดถามเด็กสาวร่างใหญ่ขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งนั่นก็ทำให้รีซาน่าต้องยกมือขึ้นมาเกาแก้มเล็กน้อยก่อนจะพูดตอบกลับไป

 

“ก็เท่าที่ฉันจำได้มันเป็นแบบนั้นนี่คะ อย่างตอนฉันจะออกไปเล่นข้างนอกหมู่บ้านพวกคนในหมู่บ้านเขาก็คอยห้ามไม่ให้ออกไปกัน แถมเมื่อตอนนั้นฉันก็ยังไม่เคยเห็นว่าจะมีพ่อค้าหรือนักเดินทางเข้ามาติดต่อที่หมู่บ้านเลยอีกต่างหาก…”

 

“ก็แล้วจะมีใครเขาอนุญาตให้พวกเด็กๆ เข้าไปเล่นในป่ากันล่ะ… แต่ว่าในเมื่อเธอถูกไล่ออกมาตั้งแต่ยังเด็กแบบนั้นจะเข้าใจผิดไปก็คงจะไม่แปลกล่ะมั้ง”

 

“ใช่มั้ยล่ะคะ! ตอนนั้นฉันยังอายุแค่ไม่กี่ขวบเองแท้ๆ แต่ก็โดนคุณผู้ใหญ่หมู่บ้านเขาไล่ออกมาแล้ว ตอนนั้นฉันถึงกับต้องแอบกระโดดเกาะรถม้าไปจนถึงแพนเทร่าเลยนะคะ แถมหลังจากที่ถูกไล่ออกมาแล้วฉันก็ไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับหมู่บ้านของฉันอีกเลย ฉันก็เลยไม่ค่อยจะแน่ใจว่าหมู่บ้านของฉันมีตัวตนอยู่จริงๆ หรือเปล่าซะด้วยซ้ำน่ะค่ะ”

 

“ก็หลังจากที่เธอออกไปแล้ว เจ้าหน้าผาข้างบนนั่นมันก็ถล่มลงมาปิดทางเข้าออกซะมิดแบบที่เห็นนั่นล่ะ จากเดิมที่เข้าออกยากอยู่แล้วก็ยิ่งเข้าออกยากไปกันใหญ่ เฮ้อ…”

 

ในขณะที่รีซาน่าและนากากำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ทางเบรนสันก็ได้เดินเข้ามานั่งล้อมวงกับพวกเขาและเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยอีกคนจนทำให้ทุกๆ คนต้องหันไปมองทางเขาด้วยความประหลาดใจ และนั่นก็ทำให้เบรนสันชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดถามขึ้นมา

 

“แล้วไหงอยู่ๆ ก็เงียบกันไปหมดซะแบบนั้นล่ะ?”

 

“ป–เปล่าคะ หนูแค่แปลกใจที่อยู่ๆ คุณเบรนสันก็เข้ามาร่วมวงที่มีรีซาน่าเขาอยู่ด้วยเฉยๆ น่ะค่ะ”

 

“อ๋อ… เรื่องนั้น…”

 

คำตอบของโมโกะนั้นได้ทำให้เบรนสันยกมือขึ้นมาเกาหัวเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดอธิบายขึ้นมา

 

“เฮ้อ… เอาจริงๆ ตอนแรกที่ฉันเห็นรีซาน่าฉันก็นึกไปถึงเรื่องที่เธอเคยทำเอาไว้แล้วก็เผลอตกใจไปหน่อยเท่านั้นเอง… แต่ว่าพอได้เห็นรีซาน่าโตมาเป็นผู้เป็นคนแบบนี้แล้วฉันก็เลยคิดว่าน่าจะไม่เป็นอะไรหรอกล่ะมั้ง… อีกอย่างนึงพวกเธอก็รับปากเอาไว้แล้วว่าถ้ารีซาน่าเขาอาละวาดขึ้นมาพวกเธอจะช่วยหยุดเอาไว้ให้เองใช่มั้ยล่ะ”

 

“ใครเขาจะไปเที่ยวอาละวาดมั่วๆ ซั่วๆ กันล่ะคะนั่น แล้วอีกอย่างนึงถึงฉันจะมีธุระกับทางหมู่บ้านนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้คิดจะเข้าไปอาละวาดข้างในนั้นหรอกนะคะ”

 

รีซาน่าที่ได้ยินคำพูดของเบรนสันได้ทำหน้ามุ่ยพูดตอบเขากลับไป ซึ่งนั่นก็ทำให้เบรนสันต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจก่อนที่เขาจะหันไปพูดถามนากาและโมโกะขึ้นมาด้วยสีหน้ายิ้มๆ

 

“อ้าว ไหนพวกเธอบอกว่ารีซาน่าเขาแค่เป็นคนนำทางพวกเธอมาส่งที่หมู่บ้านของฉันไงล่ะ?”

 

“อ่ะ— / อ…เอ่อ…เรื่องนั้นก็…”

 

คำถามของเบรนสันนั้นได้ทำให้นากาและโมโกะชะงักไปพร้อมๆ กัน แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเบรนสันก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ถือสาหาความสักเท่าไหร่นักและออกจะรู้สึกตลกซะด้วยซ้ำที่ตนเองเผลอเสียรู้พวกเด็กๆ ไปได้เขาจึงหันกลับไปพูดถามรีซาน่าขึ้นมาด้วยท่าทีจริงจังแทน

 

“ถ้ายังไงก่อนที่เธอจะเข้าไปทำธุระของเธอข้างในหมู่บ้าน ฉันมีคำถามสักข้ออยากจะถามเธอก่อนจะได้หรือเปล่าล่ะรีซาน่า?”

 

“เอ๋? ก็ต้องได้อยู่แล้วสิคะ”

 

“อื้ม… ถ้างั้นฉันจะขอถามตรงๆ เลยก็แล้วกันนะ… เรื่องที่ท่านผู้ใหญ่บ้านบอกว่าเธอเป็นคนฆ่าเดรคกับคุณแม่ของเธอเสร็จแล้วก็กินศพของพวกเขาเข้าไปจนแทบไม่เหลือนั่นมันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?”

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

Status: Ongoing
เมื่อคำสัญญาจากอดีตได้หวนคืนกลับมาเพื่อทวงคืนสิ่งที่ถูกหยิบยืมไป การเดินทางของคนถูกทิ้งกลุ่มหนึ่งเพื่อจะช่วยเหลือมนุษยชาติจึงได้เริ่มต้นขึ้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท