เฉินปั๋วจือเคยเขียนฎีกาเมื่อสองสามปีก่อน โดยเสนอให้เชื่อมแม่น้ำไป๋ถ่าต่อกับแม่น้ำฉังเจียง แล้วสร้างเขื่อนกั้นน้ำ ทำเป็นที่หลบพายุฝนของเรือขนส่ง แต่เหล่าขุนนางที่มีเหลียงเก๋อเหล่า อาลักษณ์กระทรวงครัวเรือน และโต้วเก๋อเหล่า อาลักษณ์กรมพิธีกรรมเป็นผู้นำในการคัดค้าน คิดว่าสองสามปีมานี้ราชสำนักใช้เงินเป็นจำนวนมากในการซ่อมแซมแม่น้ำ คลังของแว่นแคว้นเริ่มร่อยหรอไม่สามารถแบกรับรายจ่ายที่มากมายได้ ตอนนี้การขยายช่องแม่น้ำสำเร็จแล้วแต่การขยายแม่น้ำไป๋ถ่าต้องล่าช้าไปอีกสองปี ฮ่องเต้เองก็ไม่ได้ตรัสอะไร เจตนาที่เฉินปั๋วจือเข้ามาเมืองหลวงก็เพราะอยากได้แรงสนับสนุนจากฮ่องเต้ เมื่อได้ยินฮ่องเต้พูดเช่นนี้ เฉินปั๋วจือก็ทั้งตกใจและดีใจ
“ฝ่าบาท” เขาคุกเข่าลงบนพื้น “กระหม่อมจะขยายแม่น้ำไป๋ถ่าให้สุดความสามารถ และสร้างเขื่อนโดยเร็วที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
“ดังนั้นเราจึงไม่อยากให้เจ้าสนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้” ฮ่องเต้จับหน้าผากตัวเองด้วยท่าทีลำบากใจ “พรุ่งนี้เราจะเรียกเก๋อเหล่าสองสามท่านมาเข้าเฝ้าเพื่อปรึกษาเรื่องแม่น้ำไป๋ถ่า เจ้าเองก็มาด้วย กลับไปเขียนเเบบแผนมาให้ดี ถึงตอนนั้นเหลียงเก๋อเหล่าหรือโต้วเก๋อเหล่าถามขึ้นมา เจ้าต้องตอบให้ได้”
“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย กระหม่อมจะเตรียมการอย่างสุดความสามารถ” เฉินปั๋วจือก้มหัวให้ฮ่องเต้ด้วยความซาบซึ้ง
ฮ่องเต้พยักหน้า จากนั้นก็ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ
เฉินปั๋วจือรู้ว่าฮ่องเต้ตรัสจบแล้ว ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบเท่ากับให้เขาขอตัวออกไป แต่เรื่องของบุตรชายตัวเอง…หากพูดอีกอาจทำให้คนคิดว่าเขาเป็นคนใจแคบ แต่หากไม่พูด หรือจะปล่อยให้เรื่องจบลงเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?
เขาลังเล
แต่ใครจะไปรู้ว่าสวีลิ่งอี๋ที่อยู่ข้างๆ กลับคุกเข่าลง
“ฝ่าบาท กระหม่อมจะกลับไปนำเงินหนึ่งพันตำลึงส่งไปที่เรือนของใต้เท้าเฉินทันทีพ่ะย่ะค่ะ” พูดจบก็มีท่าทีลังเล “แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ฝ่าบาทโปรดเมตตาพ่ะย่ะค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ไม่ใช่คนเรื่องมาก ฮ่องเต้พูดเช่นนี้แล้ว ตามหลักแล้วเขาได้ทั้งศักดิ์ศรีได้ทั้งหน้า…
ฮ่องเต้แปลกพระทัย ตรัสถามขึ้นว่า “มีเรื่องอันใดก็พูดออกมาเถิด พูดจาตะกุกตะกักเช่นนี้ไม่ใช่นิสัยของเจ้า!”
“ตอนที่คลอดสวีซื่อจิ่น สวีซื่อจุนก็ย้ายออกไปอยู่ลานนอกแล้ว” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างคลุมเครือ “จิ่นเกอเลยโตมากับไท่ฮูหยิน ในบรรดาหลานๆ ไท่ฮูหยินนั้นโปรดปรานเขามากที่สุด จึงทำให้เขามีนิสัยเกลียดชังคนชั่ว ทำอะไรบุ่มบ่าม ฝ่าบาททรงเมตตาแต่งตั้งตำแหน่งผู้บัญชาการให้เขา แต่กระหม่อมอยากส่งจิ่นเกอไปกว่างตง ให้เขาได้รู้จักความลำบากเสียบ้าง ดัดนิสัยของเขา ถือโอกาสเรียนยิงธนูและขี่ม้ากับสวี่หลี่ ใต้เท้าสวี่ ผู้บัญชาการทหารกว่างตงเพื่อตอบแทนความเมตตาของฝ่าบาท ฝ่าบาทโปรดเมตตาพ่ะย่ะค่ะ!” พูดจบก็โขกศรีษะลงกับพื้น
ทำเอาฮ่องเต้แปลกพระทัยไม่น้อย จากนั้นพระองค์ก็แย้มพระโอษฐ์อย่างแผ่วเบา
สวีลิ่งอี๋นะสวีลิ่งอี๋ หมากรุกหมากนี้เดินได้ยอดเยี่ยมจริงๆ!
สกุลสวีและสกุลเฉินมีความคับข้องใจกัน เขาเข้าข้างสกุลสวี ให้พวกเขาชดใช้เงินแค่หนึ่งพันตำลึง แน่นอนว่าเฉินปั๋วจือต้องไม่พอใจ สวีลิ่งอี๋สัญญาว่าจะส่งเงินไปให้สกุลเฉินก่อน จากนั้นก็บอกว่าจะส่งบุตรชายตัวเองไปดัดนิสัยที่กว่างตง ในสายตาของคนนอก สกุลสวีทั้งให้เงิน ทั้งลงโทษบุตรชายตัวเอง สกุลเฉินมีหน้ามีตา ไม่ต้องพูดถึงเฉินปั๋วจือ แม้แต่เขาเองก็ต้องรู้สึกว่าสวีลิ่งอี๋ใจกว้าง สั่งสอนบุตรชายตัวเองอย่างเข้มงวด แต่คนที่รู้กลับอดหัวเราะไม่ได้ สวี่หลี่คือใคร คือผู้บัญชากองร้อยของสวีลิ่งอี๋ เป็นคนเก่าคนแก่ของสวีลิ่งอี๋จนถึงทุกวันนี้ ทุกปีที่มาเยี่ยนจิงก็ยังต้องมาคารวะสวีลิ่งอี๋ ช่วงนี้กว่างตงถูกโจรสลัดบุกรุกอยู่บ่อยครั้ง ตอนนี้มีเหอเฉิงปี้คอยคุ้มกันฝูเจี้ยน ต่อไปต้องจัดการโจรสลัดในกว่างตง ราชสำนักยิ่งมีความมั่นใจ เมื่อส่งกองทหารไปกว่างตง มีสวี่หลี่คอยดูแล สวีซื่อจิ่นก็จะมีความดีความชอบ เมื่อมีความดีความชอบ ตำแหน่งผู้บัญชาการค่ายใหญ่ซีซาน ผู้บัญชาการหนานจิงก็เพียงแค่รอเวลาเท่านั้น
คิดเช่นนี้ เขาก็มองไปที่เฉินปั๋วจือ
สีหน้าของเฉินปั๋วจือเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังสับสนกับพฤติกรรมของสวีลิ่งอี๋
ฮ่องเต้ลอบหัวเราะในใจ
สวีลิ่งอี๋นะสวีลิ่งอี๋ คนอื่นไม่รู้เจตนาของเจ้า แต่เจ้าไม่ต้องคิดที่จะหนีออกไปจากกำมือของเรา
อยากยืมมือเราทำให้บุตรชายของเจ้ามีอนาคตที่ดีเช่นนั้นหรือ เราจะไม่ให้เจ้าสมหวัง! ไม่เพียงแต่ไม่ให้เจ้าสมหวัง แล้วเรายังจะทำให้เจ้ารู้ว่า เรารู้เจตนาของเจ้าตั้งนานแล้ว มองความคิดของเจ้าออกตั้งนานแล้ว!
เจ้าอยากไปกว่างตง เราจะให้เจ้าไปหนานจิง…ไม่ได้ หนานจิงเจริญรุ่งเรือง ผู้บัญชาการหนานจิงสูงส่งกว่าผู้บัญชาการที่อื่นเสียอีก หากไปหนานจิงก็จะไม่ใช่การลงโทษ เมื่อครู่เข้าข้างสวีลิ่งอี๋ไปแล้ว ถึงแม้จะใช้เรื่องแม่น้ำไป๋ถ่าเบี่ยงเบนความสนใจของเฉินปั๋วจือไปแล้ว แต่หากส่งจิ่นเกอไปหนานจิงตอนนี้ เฉินปั๋วจือคงจะฉุนเฉียวอยู่ไม่น้อย
เช่นนั้น… มณฑลซื่อชวนดีกว่า มณฑลซื่อชวนอยู่ห่างไกล…ไม่ได้! บิดาของติงจื้อ ผู้บัญชาการทหารมณฑลซื่อชวนเสียชีวิตด้วยเงื้อมมือของสวีลิ่งอี๋ หากเขารอโอกาสแก้แค้น จิ่นเกอแป็นอะไรไป คงสายเกินไปที่จะเสียใจ…ต้องหาคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับสวีลิ่งอี๋… เช่นนั้นกงตงหนิง ผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจวดีกว่า สวีลิ่งอี๋เคยช่วยชีวิตเขาไว้ สองสามปีมานี้กุ้ยโจวสงบ อาจมีคนก่อความวุ่นวายเป็นครั้งคราว แต่เมื่อกองทัพไปถึงก็สิ้นสุด ถึงแม้ไม่มีกองทัพที่ยิ่งใหญ่แต่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส แล้วอีกอย่างกุ้ยโจวอยู่ห่างไกลกว่ากว่างตง…
คิดเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็ยิ่งพอพระทัย มองไปที่สวีลิ่งอี๋ด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่ออยากจะดัดนิสัยบุตรชาย เราคิดว่า ไปกว่างตงไม่สู้ไปกุ้ยโจว ที่นั่นไม่เลวเลยทีเดียว!”
สวีลิ่งอี๋ตกตะลึง
ฮ่องเต้ยิ่งพอพระทัยมากกว่าเดิม เขายกถ้วยชาขึ้นมาจิบ “เรื่องนี้ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน เฉินปั๋วจือ พรุ่งนี้ยามซื่อเจ้าเข้ามาในพระราชวัง อิงหวา เจ้ากลับไปเตรียมการ อีกสองวันกระทรวงขุนนางจะออกหนังสืออย่างเป็นทางการแล้ว”
ใครจะกล้าขัดคำสั่งของฮ่องเต้
พวกเขาสองคนโค้งคำนับแล้วขอตัวลา
ฮ่องเต้มองดูแผ่นหลังของสวีลิ่งอี๋ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าแผ่นหลังของเขาดูคดงอ…
*****
ออกมาจากพระตำหนักเฉียนชิง เฉินปั๋วจือก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นึกขึ้นมาได้ว่าสวีลิ่งอี๋เป็นคนเสนอส่งบุตรชายออกไปนอกด่าน เขาคิดว่าตัวเองควรทำอะไรสักอย่าง…จึงหันกลับไปหมายจะพูดกับสวีลิ่งอี๋ แต่ใครจะรู้ว่า สวีลิ่งอี๋กลับเดินออกไปทางประตูหลงจงโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ดูเหมือนว่าการยอมรับผิดของสวีลิ่งอี๋ เพียงแสดงให้ฮ่องเต้ดูเท่านั้น
เฉินปั๋วจือยิ้มอย่างเย็นชา จากนั้นก็หันหลังเดินไปทางประตูหลงจงฝั่งตรงข้าม
*****
กลับมาถึงจวน สวีลิ่งอี๋ก็เรียกพ่อบ้านไป๋มา “ไปนำเงินหนึ่งพันตำลึงที่คลังเงินออกมาแล้วให้ฝ่ายรายงานส่งคนนำไปให้จวนของเฉินปั๋วจือที่เยี่ยนจิง”
พ่อบ้านไป๋เลยรู้ว่าสวีลิ่งอี๋เข้าไปในพระราชวังเพราะเรื่องความขัดแย้งกับสกุลเฉิน เขารีบสังเกตสีหน้าของสวีลิ่งอี๋ เห็นเขาสีหน้าเย็นชาแต่สายตากลับเรียบเฉย เขาก็โล่งอก ยิ้มแล้วขานรับ “ขอรับ” จากนั้นก็เดินไปคลังเงิน
สวีลิ่งอี๋ยินอยู่ในห้องหนังสือคนเดียว เขายิ้มมุมปากก่อนจะไปยังเรือนหลัก
สืออีเหนียงและอิงเหนียงกำลังนั่งเย็บปักถักร้อยอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่าง แสงอาทิตย์ที่อบอุ่นในฤดูหนาวสาดส่องเข้ามา พลอยทำให้บรรยากาศดูอบอุ่น
“ปินจวี๋ ชิวจวี๋ อาจารย์เจี่ยน...ทำเสื้อผ้าเด็กน้อยส่งมา ข้าเก็บเสื้อผ้าที่จิ่นเกอสวมตอนเด็ก แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ช่วงนี้เจ้าอย่าเอาแต่เย็บปักถักร้อยอยู่ที่เรือนเลย ไปเดินเล่นขยับร่างกกายให้มากหน่อย”
“ข้าลำบากใจเจ้าค่ะ!” อิงเหนียงหน้าแดงก่ำ
นางกำหนดคลอดกลางเดือนสอง แต่ตอนนี้ยังไม่มีวี่แววอะไรเลย
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปเดินในสวนเป็นเพื่อนเจ้า” สืออีเหนียงวางเข็มและด้ายในมือลง “เดินให้มากจะได้คลอดง่าย”
อิงเหนียงรีบขานรับ “เจ้าค่ะ” อย่างเขินอาย เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นสวีลิ่งอี๋
“ท่านพ่อเจ้าคะ!” นางรีบลุกลงจากเตียงเตา
สืออีเหนียงรีบหันกลับมา “ท่านโหวกลับมาแล้วหรือ!”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “อิงเหนียงก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ!”
อิงเหนียงรู้ว่าวันนี้สวีลิ่งอี๋เข้าไปในวัง นางรีบพูด “ข้ากำลังจะออกไปแล้วเจ้าค่ะ!” จากนั้นก็เดินออกไปกับสาวใช้
“ฮ่องเต้เรียกท่านไปเข้าเฝ้าด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงชงชาให้สวีลิ่งอี๋ด้วยตัวเอง
แต่สวีลิ่งอี๋กลับกอดนาง “ฝ่าบาททรงให้จิ่นเกอไปกุ้ยโจว!” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “กงตงหนิง ผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจวเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายของข้า ส่งจิ่นเกอไปอยู่กับเขา ข้าวางใจที่สุด” จากนั้นเขาก็ถอนหายใจ “ฝ่าบาทยังคงเมตตาสกุลเราอยู่!”
แต่สืออีเหนียงไม่เข้าใจ “เกิดอะไรขึ้น”
สวีลิ่งอี๋ให้นางนั่งบนตักของตัวเอง เล่าที่ไปที่มาของเรื่องราวให้นางฟังเบาๆ
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะกังวล “หากฮ่องเต้ให้จิ่นเกอไปมณฑลซื่อชวนจะทำเช่นไรเล่า ท่านโหวเสี่ยงเกินไปแล้ว!”
“ไปมณฑลซื่อชวน?” สวีลิ่งอี๋หัวเราะเบาๆ “ไม่ไปมณฑลซื่อชวนก็คงดี หากจิ่นเกอไปมณฑลซื่อชวน คงต้องให้ติงจื้อย้ายสถานที่ก่อนที่จิ่นเกอจะไป!” ถึงแม้น้ำเสียงของเขาจะฟังดูเรียบนิ่งแต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น
สืออีเหนียงรู้ว่าสวีลิ่งอี๋ไม่ใช่คนพูดอะไรโดยไม่มีเหตุผล แต่นางคิดไม่ออกว่าเขาจะใช้วิธีอะไร
“ผู้บัญชาการทหารเหล่านั้น ล้วนแต่รับเงินทหาร ทานเสบียงทหาร ไม่มีใครสะอาดบริสุทธิ์ ไม่เช่นนั้น พวกเขาคงไม่ใช้เงินจำนวนมากเอาอกเอาใจคนของกรมกลาโหมและทหารทั้งห้าเหล่าทัพแห่งกองทัพภาคทุกปี ผู้คนจากไปชาก็เย็น[1] ถึงแม้ผู้บัญชาการทหารเหล่านั้นเคยอยู่ภายใต้บังคับบัญชาข้า เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราวต่างๆ ก็เปลี่ยนแปลง ข้าก็แค่เป็นราชครูของไท่จื่อ ไม่ว่ามิตรภาพจะดีแค่ไหนก็จางหายไปได้ เหตุผลที่พวกเขาไว้หน้าข้าก็เพราะว่าข้าอยู่ในราชสำนักพวกเขาอยู่ข้างนอก หากถูกขุนนางราชสำนักกล่าวโทษ ข้ายังพอช่วยพวกเขาพูดได้ หากข้าอยากจัดการติงจื้อก็แค่เปิดเผยเรื่องราวบางเรื่องให้คนของสำนักตรวจการณ์ เขาก็ต้องแบกรับผลที่ตามมา มณฑลซื่อชวนอยู่ห่างไกล ผู้บัญชาการทหารเป็นตำแหน่งที่ดี ไม่รู้ว่ามีตั้งกี่คนที่จับจ้องตำแหน่งนั้น!” พูดจบก็หอมแก้มสืออีเหนียง “เอาล่ะ เรื่องนี้ผ่านไปด้วยดีแล้ว หากจิ่นเกอมีพรสวรรค์จริงๆ อยู่ที่กุ้ยโจวอย่างสุขสงบสักสองสามปี ถึงตอนนั้นค่อยย้ายเขาไปซานตงหรือไม่ก็หูก่วง…ช่วงนี้ซานตงกับหูก่วงเต็มไปด้วยโจร อำเภอจยาเหอต้องถูกตั้งเป็นอำเภอก็เพราะเรื่องนี้ ถึงตอนนั้นหากกำจัดโจรได้ มีความดีความชอบ เช่นนั้นคงไม่มีอะไรยาก แต่หากเขาไม่มีพรสวรรค์ อยู่ที่นั่นสองสามปีก็ถือว่ามีคำอธิบายให้ฝ่าบาท เจ้าไม่อยากให้เขาสนิทสนมกับคนของค่ายใหญ่ซีซาน งั้นเราไปหนานจิงก็ได้ อยู่ใกล้เยี่ยนจิง ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ หากอยากกลับมาเดินทางสองสามวันก็ถึงแล้ว” เขาพูดด้วยท่าทีที่มีความสุข จากนั้นก็ตีก้นสืออีเหนียงอย่างเบามือ “เอาล่ะ รีบไปเก็บหีบให้จิ่นเกอเถิด ข้าคิดว่าอีกสองสามวันหนังสือทางการจากกระทรวงขุนนางก็คงจะมาถึงแล้ว!”
สืออีเหนียงหยิกเขา “ตีอะไรไปทั่วเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะเสียงดัง
*****
เรื่องที่จิ่นเกอจะไปกุ้ยโจวแพร่กระจายไปทั่วเยี่ยนจิงอย่างรวดเร็ว
มีแขกมาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย แต่ละคนล้วนแต่ไม่พอใจ
เว่ยซุ่ยพับแขนเสื้อขึ้น “อะไรกัน! กล้าคิดร้ายกับพวกข้าต่อหน้าฝ่าบาท ข้าไม่เชื่อว่าพวกข้าคนเยอะขนาดนี้ จะทำอะไรเด็กที่มาจากไหวอานอย่างเขาไม่ได้!” วางแผนกับคนของค่ายใหญ่ซีซานไปคิดบัญชีกับเฉินจี๋
หวังเซิ้งที่รับตำแหน่งรองผู้บัญชาการแห่งค่ายใหญ่ซีซานห้ามเขาเอาไว้ “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดบัญชี หากเขาเป็นอะไรขึ้นมา เฉินปั๋วจือต้องคิดว่าเป็นฝีมือของจิ่นเกอแน่นอน จะยิ่งวุ่นวายไปกันใหญ่” พูดจบก็หัวเราะอย่างมีเลศนัย “ลูกผู้ชายสิบปีค่อยล้างแค้นก็ไม่สาย พวกเจ้ารอดูเถิด นอกจากต่อไปนี้เขาจะไม่มาที่เยี่ยนจิงอีก หากเขากล้าเดินเข้ามา ข้าก็จะทำให้เขาคลานกลับไป!”
[1]ผู้คนจากไปชาก็เย็น สำนวนหมายถึง เมื่อคนๆ หนึ่งจากคนๆ หนึ่งไป เมื่อเวลาผ่านไปคนๆนั้ นก็จะถูกลืม เปรียบกับในชีวิตหรือในหน่วยงานเมื่อเราเป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้ที่มีอำนาจ มียศ ผู้คนต่างก็เคารพ แต่เมื่อโดนย้ายออกไปหรือเกษียณก็ไม่มีใครสนใจ