ตอนที่ 710 หลินเพ่ยฆาตกรรมญาติอย่างชอบธรรม
อากาศในกรุงปักกิ่งเย็นลงทุกวัน และก๊อกน้ำกลางแจ้งก็แทบเป็นน้ำแข็งในตอนเช้า กรมประปาต้องทำการละลายน้ำแข็งทุกวันจึงจะปล่อยน้ำให้ไหลออกมาได้
การประกวดนางแบบของห้องเสื้อจิ่นซิ่วดำเนินมาเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว และเรทติ้งยังคงเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่ารายการนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เหล่านักลงทุนที่ซื้อช่วงเวลาข้อเสนอของรายการก็ได้รับผลประโยชน์อย่างมาก
โดยเฉพาะนักลงทุนที่อ้างว่าขายไวน์เพื่อใช้รักษาโรค และผู้จัดการโรงงานก็แสร้งทำเป็นว่าเขายืมเงินของหลานชายมาเพื่อจ่ายค่าโฆษณา
หากธุรกิจการขายไวน์ของพวกเขาไม่ดีขึ้น แม้จะโฆษณาแล้ว โรงงานของพวกเขาก็ต้องปิดตัวลง
พวกเขาไม่คาดคิดว่าในวันที่สองหลังจากโฆษณาออกอากาศ ไวน์รักษาโรคขวดละสิบหกหยวนหยวนขายเกือบหมดทั่วประเทศ ซึ่งทำให้ผู้จัดการโรงงานหนุ่มน้ำตาไหล
ในช่วงปี 1980 การขายไวน์รักษาโรคหนึ่งขวดในราคาสิบหกหยวนนั้นไม่ถูกเลย
ธุรกิจที่ย่ำแย่ของโรงงานผลิตไวน์ที่ใช้รักษาโรคมีสาเหตุมาจากข้อเท็จจริงที่ว่า ไวน์ที่ใช้รักษาโรคนั้นขายแพงเกินไป
แน่นอนว่าของแพงย่อมดีเสมอ ยาจีนราคาสูงชั้นดีมากมายถูกกลั่นลงไปในไว้รักษาโรคนี้ ดังนั้นราคาไวน์จึงค่อนข้างสูง
ผู้จัดการโรงงานไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่า เมื่อโฆษณานี้ดัง ผู้บริโภคจะไม่คิดว่าไวน์ที่ใช้รักษาโรคของเขามีราคาแพง
ในความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าผู้บริโภคจะไม่คิดว่าไวน์ทางการแพทย์ของเขามีราคาแพง แต่ผู้ที่ไม่สามารถจ่ายได้ก็ยังคงไม่สามารถจ่ายได้
ทุกคนรู้ถึงการมีอยู่ของไวน์รักษาโรคของเขาผ่านโฆษณา ดังนั้น การซื้อดูเหมือนว่าผู้บริโภคจะยอมรับราคาของไวน์รักษาโรคของเขาได้ในทันใด
จะเห็นได้ว่าการลงโฆษณาในรายการที่มีเรทติ้งสูงเป็นสิ่งสำคัญ
สถานี CCTV หยุดโฆษณาคั่นรายการทั้งหมดที่เคยเป็นของห้องเสื้อจิ่นซิ่ว และหันมาฉายโฆษณาของลูกค้าแทน
แต่ห้องเสื้อจิ่นซิ่วเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศมาอย่างยาวนาน
ยิ่งตอนนี้ที่มีการประกวดนางแบบเกิดขึ้น เสื้อผ้ายี่ห้อนี้ก็ยิ่งได้รับความนิยม คนหนุ่มสาวต่างซื้อและไล่ตามมากกว่าเมื่อก่อน
ร้านค้าที่โดยตรงทั้งหมดของหลินม่ายในห้างสรรพสินค้าทุกแห่งของเมืองหลวงและร้านค้าเครือข่ายสิบแห่งที่เปิดไม่ถึงหนึ่งเดือนล้วนขายดีอย่างบ้าคลั่ง
อย่างไรก็ตาม การรับเสื้อผ้าไปขายของผู้ประกอบอาชีพอิสระก็ลดลง ซึ่งอัตราการลดลงนั้นไม่น้อยเลย
ผู้บริโภคจำนวนมากป้องกันสินค้าของห้องเสื้อจิ่นซิ่ว เพื่อหลีกเลี่ยงการซื้อเสื้อผ้าจิ่นซิ่วปลอมและคุณภาพต่ำ พวกเขาจึงไม่ได้ไปที่ร้านค้าที่ไม่ใช่ร้านค้าโดยตรงและร้านค้าแฟรนไชส์ ซึ่งทำให้ธุรกิจของผู้ประกอบอาชีพอิสระเหล่านี้แย่ลง
ผู้ประกอบอาชีพอิสระบางคนทนไม่ได้จึงอยากเข้าร่วม
ผู้ประกอบอาชีพอิสระส่วนใหญ่เลือกให้ห้องเสื้อจิ่นซิ่วช่วยในการเปิดร้าน ซึ่งช่วยประหยัดค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ได้เล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ประกอบอาชีพอิสระจำนวนน้อยที่เลือกที่จะครอบครองร้านค้าในเครือของห้องเสื้อจิ่นซิ่วโดยตรง
สุดสัปดาห์นี้ หลินม่ายอยู่ที่สำนักงานเมืองหลวงทั้งวันเพื่อจัดการธุระอย่างเป็นทางการ
จุดประสงค์หลักคือเพื่อจัดการประชุมกับเหรินเป่าจูและคนอื่น ๆ เพื่อหารือเกี่ยวกับรายละเอียดต่าง ๆ ของการส่งเสริมการลงทุนและแฟรนไชส์ของห้องเสื้อจิ่นซิ่วเพื่อให้เข้าใจการทำงานของแฟรนไชส์อย่างเป็นทางการ
หลินม่ายกำหนดให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์ของห้องเสื้อจิ่นซิ่วต้องมีประสบการณ์การขายเสื้อผ้า มีความแข็งแกร่งทางการเงิน และสามารถเปิดร้านแฟรนไชส์ได้ทุก ๆ 10 กิโลเมตรเท่านั้น
ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าร้านแฟรนไชส์แต่ละแห่งมีลูกค้า
ลูกค้าที่มั่นคงเท่านั้นจึงจะมีรายได้ที่มั่นคง
เฉพาะเมื่อรายได้ของผู้ประกอบอาชีพอิสระเหล่านั้นที่เข้าร่วมมั่นคงก็จะสามารถดึงดูดผู้ประกอบอาชีพอิสระที่มีอำนาจมากขึ้นให้เข้าร่วมได้
เหรินเป่าจูและคนอื่น ๆ ได้รับความรู้แจ้งเมื่อได้ยินสิ่งนี้
พวกเขาคิดว่าตราบใดที่พวกเขาจ่ายค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ได้ พวกเขาก็สามารถเข้าร่วมได้
ปรากฎว่ามีเงื่อนไขและข้อจำกัดเกี่ยวกับแฟรนไชส์คือ พวกเขาต้องรับประกันว่าจะทำเงินได้
เหรินเป่าจูและคนอื่น ๆ พูดกันต่อไปว่า จะเป็นการดีกว่าสำหรับพวกเขาที่จะเปิดร้านแฟรนไชส์เพื่อสร้างรายได้ด้วยการดึงดูดนักลงทุนเพื่อสร้างรายได้ให้กับผู้อื่น
การเปิดร้านเครือข่ายที่บ้านเป็นการขายตรงจากโรงงานซึ่งทำกำไรได้มากกว่าการเปิดร้านแฟรนไชส์
หลินม่ายยิ้มพลางกล่าว “พลังของบุคคลมีจำกัด และในทำนองเดียวกัน พลังของบริษัทก็มีจำกัดเช่นกัน ยกตัวอย่างห้องเสื้อจิ่นซิ่ว หากพวกเขาเปิดร้านสาขาของตัวเอง พวกเขาจะเปิดได้สูงสุดเพียงยี่สิบหรือสามสิบร้านต่อปีเท่านั้น หากเปิดมากเกินไปในหนึ่งปี จะใช้เงินทุนจำนวนมาก ซึ่งไม่ดีต่อการพัฒนาองค์กร และการเปิดร้านค้าในเครือสามสิบแห่ง ไม่ว่ากำไรของแต่ละร้านจะมากเพียงใด กำไรรวมก็มีจำกัด แต่หากทำธุรกิจแฟรนไชส์ ก็จะสามารถทำให้ร้านแฟรนไชส์ขยายสาขาไปทั่วเมืองใหญ่ทั่วประเทศได้ภายในหนึ่งปี แม้ห้องเสื้อจิ่นซิ่วจะอำนวยความสะดวกในการจัดส่งเสื้อผ้าให้กับร้านแฟรนไชส์แต่ละแห่ง แต่ประโยชน์ที่จะได้รับนั้นน้อยกว่าการเปิดร้านเองมาก อย่างไรก็ตามการมีร้านแฟรนไชส์มากเกินไปก็คงไม่ใช่เรื่องดี เพราะแม้ยอดขายจะสูงแต่ก็จะได้กำไรน้อย กำไรรวมจะต้องมากกว่ากำไรรวมของร้านค้าในเครือของตัวเองเท่านั้น และข้อดีอีกอย่างของร้านแฟรนไชส์คือมีช่องทางการขายที่แน่นอน จึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสินค้าคงค้าง และยังสามารถต่อสู้กับการละเมิดลิขสิทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย คนซื้อของปลอมน้อยลง คนซื้อของแท้มากขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์”
หลังจากฟังการวิเคราะห์ของหลินม่ายแล้ว ผู้บริหารทั้งหมดก็เข้าใจและคิดว่าเป็นไปได้ ดังนั้นพวกเขาจึงพยักหน้าเห็นด้วย
อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการทั่วไปซุนกล่าวว่าเป็นเรื่องปกติที่จะมีส่วนร่วมในการส่งเสริมการลงทุน
แต่ไม่จำเป็นต้องโอนร้านค้าเครือข่ายที่ทำกำไรทั้งสิบแห่งให้กับแฟรนไชส์ที่ต้องการเข้าร่วม
คำพูดของผู้จัดการทั่วไปซุนได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารหลายคน
ในสายตาของพวกเขา ร้านค้าแฟรนไชส์ทั้งสิบแห่งนั้นเปรียบเสมือนแม่ไก่ที่ออกไข่เป็นทองคำ
การย้ายแม่ไก่ที่ออกไข่ทองคำนั้นเป็นความคิดของคนโง่
หลินม่ายอธิบายให้ทุกคนฟัง
สำหรับร้านแฟรนไชส์ หากหลินม่ายเก็บร้านสาขาไว้ แฟรนไชส์จะไม่พอใจ และพวกเขาจะรู้สึกว่าห้องเสื้อจิ่นซิ่วกำลังแข่งขันกับพวกเขาเพื่อทำธุรกิจ ซึ่งไม่เอื้อต่อการลงทุนในระยะหลัง
ในอนาคตห้องเสื้อจิ่นซิ่วจะถูกเก็บไว้เป็นร้านค้าที่ดำเนินการโดยตรงของห้างสรรพสินค้าเท่านั้น
เนื่องจากธุรกิจนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ จึงไม่มีห้างสรรพสินค้าใดที่จะร่วมมือกับผู้ประกอบอาชีพอิสระ และทุกแห่งจะร่วมมือโดยตรงกับผู้ผลิต
หลังการประชุม เมื่อออกมาจากอาคารสำนักงาน ลมหนาวก็พัดผ่านและหิมะก็ตกลงมาอย่างหนัก
ฟางจั๋วหรานยืนอยู่ข้างเมอร์เซเดส-เบนซ์ของหลินม่ายและรอเธอ
เมื่อเห็นว่าฟางจั๋วหรานมีเกล็ดหิมะบนศีรษะและลำตัว หลินม่ายก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงประโยคที่เธอเคยอ่านในนิตยสารเมื่อชาติที่แล้ว
น้ำค้างแข็งและหิมะโปรยปรายลงมาทั่วหัวของเขาจนมีสีขาวโพลน
เธออดไม่ได้ที่จะน้ำตาคลอเบ้า
ในชีวิตที่แล้วของเธอ เธอทำได้เพียงเฝ้าดูชายตรงหน้าแต่งงานและอยู่กินร่วมกับหลินเพ่ยจนแก่เฒ่า
ชีวิตนี้จะต้องการใครสักคนที่พร้อมจะแก่และตายไปด้วยกัน แบบนั้นก็คงดีไม่น้อย!
เธอวิ่งไปหาฟางจั๋วหราน
ฟางจั๋วหรานเร่งรีบเข้ามาหาเธอ เนื่องจากหิมะบนพื้นหนามาก เขากลัวว่าหลินม่ายจะลื่นล้ม
เขารีบวิ่งไปหาเธอพลางตะโกน “อย่าวิ่ง ระวังล้ม!”
ทันทีที่เขาพูดจบ หลินม่ายก็ลื่นและกำลังจะล้มลง
โชคดีที่ฟางจั๋วหรานวิ่งไปหาเธอแล้วสวมกอดไว้ได้ทันเวลา
ฟางจั๋วหรานถอยหลังไปหลายก้าวก่อนที่เขาจะหยุดนิ่ง
เขากำลังจะพร่ำบ่นหลินม่าย แต่จู่ ๆ เธอก็เขย่งเท้าและจูบริมฝีปากของเขา
จูบนั้นช่างหอมหวาน แต่น่าเสียดายที่เวลาช่างสั้นเหลือเกิน เขาถูกจูบไม่ถึงสิบวินาทีด้วยซ้ำ
ฟางจั๋วหรานไม่พอใจมากและจูบริมฝีปากของหลินม่ายกลับ
เมื่อเห็นเช่นนี้ เหล่าผู้บริหารที่เพิ่งเลิกงานก็ถอยกลับไปยังสำนักงานทีละคน เพราะกลัวว่าจะรบกวนพวกเขาที่กำลังจูบกันอย่างดูดดื่ม
จูบของหมอฟางนั้นยาวนานเสมอ กินเวลาไปกว่าห้านาทีก่อนจะหยุดลง
ทั้งสองขับรถกลับบ้าน และป้าพี่เลี้ยงก็เตรียมอาหารเย็นไว้แล้ว
ทั้งครอบครัวรับประทานอาหารเย็นเสร็จอย่างอบอุ่น และทุกคนมีรอยยิ้มที่มีความสุขบนใบหน้า
หลังอาหารเย็น ทั้งครอบครัวนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นและดูข่าวที่ออกอากาศด้วยกันตามปกติ
คดีฆาตกรรมในเจียงเฉิงที่ออกอากาศเมื่อไม่กี่วันก่อนมีความคืบหน้าแล้ว
ชื่อของผู้เสียชีวิตคือเจี่ยงชุนนี หล่อนเป็นแคชเชียร์ที่โรงงานรองเท้าหนังสือฟางในเจียงเฉิง
สิบเก้าปีที่แล้วในช่วงต้นฤดูร้อน เจี่ยงชุนนีไปยังธนาคารเพื่อถอนเงินและกลับมาจ่ายค่าจ้างให้กับทุกคน
แต่หล่อนถูกหลินเจี้ยนกั๋วและซุนกุ้ยเซียงสังหารระหว่างทางกลับไปยังโรงงาน เพราะพวกเขาต้องการฉกชิงเงินในมือหล่อน หลังทำการสังหาร ทั้งสองนำศพของเธอถูกฝังอยู่ในอัฒจันทร์คอนกรีตของสนามกีฬาที่กำลังสร้างอยู่ในขณะนั้น
เมื่อผู้ประกาศข่าวประกาศชื่อของหลินเจี้ยนกั๋วและซุนกุ้ยเซียง ทุกคนก็ตกตะลึง
คุณย่าฟางถามด้วยความไม่เชื่อ “ม่ายจื่อ เป็นไปได้ไหมที่จะเป็นพ่อแม่บุญธรรมของเธอจะ…”
หลินม่ายจ้องไปยังทีวีและพลางกล่าว “เป็นไปได้ค่ะ หลินเจี้ยนกั๋วและซุนกุ้ยเซียงไม่ใช่คนดีหรือคนชอบธรรมถึงขนาดนั้น”
ทันทีที่เธอพูดจบ ผู้ประกาศก็เสริมว่าคนที่ให้เบาะแสคือหลินเพ่ย ลูกสาวแท้ ๆ ของซุนกุ้ยเซียง
ข่าวนั้นทำให้หลินเพ่ยมีความสุขอย่างมาก
หล่อนสวมชุดนักโทษและพูดคุยกับกล้อง
หากไม่ใช่เพราะความคุ้นเคย หลินม่ายก็แทบจะจำเธอไม่ได้
ใบหน้าของหล่อนเต็มไปด้วยรอยปรุราวกับถูกปืนยิงจนพรุน
ที่น่าขันไปยิ่งกว่านั้นคือ ใบหน้าของหล่อนดูไม่สมประกอบอย่างมาก ด้านหนึ่งใหญ่และอีกด้านหนึ่งเล็ก และจมูกเบี้ยวไปข้างหนึ่ง ซึ่งดูแล้วน่าขันมาก
คุณย่าฟางตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ ก่อนถามหลินม่าย “สัตว์ประหลาดน่าเกลียดในทีวีคือหลินเพ่ยจริง ๆ เหรอ? ทำไมหล่อนถึงน่าเกลียดเหมือนสัตว์ประหลาดแบบนี้?”
หลินม่ายพยักหน้าด้วยความมั่นใจ “หลินเพ่ยตัวจริงค่ะ เหตุผลที่ทำให้หล่อนดูน่าเกลียดก็คือใบหน้าที่ทำศัลยกรรมพลาสติกของหล่อนได้รับความเสียหาย”
คุณย่าฟางรู้สึกประหลาดใจมากที่เทคโนโลยีในตอนนี้ก้าวหน้ามาก การเปลี่ยนรูปลักษณ์ของบุคคลด้วยการทำศัลยกรรมพลาสติกนับว่าไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
คุณปู่ฟางถอนหายใจ “ฉันไม่เคยคิดเลยว่าพ่อและแม่บุญธรรมของเธอจะเป็นฆาตกร!”
คุณย่าฟางเม้มปากด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “คนที่รายงานพวกเขาคือหลินเพ่ย ลูกสาวของพวกเขาเอง! ครอบครัวนี้ช่างน่ากลัว หึๆ!”
แม้คุณย่าฟางจะเห็นด้วยอย่างยิ่งกับการประหารชีวิต แต่นางก็รู้ดีว่าต้องมีจุดประสงค์บางอย่างที่ทำให้หลินเพ่ยยอมสารภาพว่าพ่อกับแม่ของหล่อนเป็นฆาตกร
และแน่นอนว่าผลประโยชน์จากการสารภาพในครั้งนี้ของหลินเพ่ยคือการลดโทษ ดังนั้นคุณย่าฟางจึงดูถูกหล่อน
แต่หลินม่ายไม่ได้สนใจหลินเพ่ยมากเกินไป เพียงจ้องมองข่าวต่อไปอย่างเงียบงัน
รายงานข่าวต่อไปคือ มณฑลเหอหนานได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่รุนแรงตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงถึงฤดูหนาวในปีนี้ และการเก็บเกี่ยวข้าวสาลีในฤดูหนาวลดลงอย่างมาก
หัวใจของเธอพองโตเล็กน้อยเมื่อนึกถึงวิกฤตการณ์อาหารโลกในปี 1986
หลินม่ายไม่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับวิกฤตการณ์อาหาร เพราะตอนนั้นเธออาศัยอยู่ในเจียงเฉิง
แม้ว่าเจียงเฉิงจะไม่ดีเท่าปักกิ่ง แต่ก็เป็นเมืองที่เศรษฐกิจดี
วิกฤตอาหารที่แพร่กระจายไปทั่วโลกในเวลานั้นไม่ได้ทำให้ประชาชนหิวโหยมากนัก แม้ราคาธัญพืชและน้ำมันพุ่งสูงขึ้น แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่คนทั่วไปยอมรับได้
ต่อมาหลินม่ายเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยสำหรับผู้ใหญ่ และด้วยความรู้ที่มากขึ้น เธอจึงตระหนักได้ว่าประเทศนี้ต้องอดอยากทรมานมากเพียงใดในช่วงวิกฤตอาหาร
หลินม่ายรักประเทศของเธอมาก
เมื่อกลับมาเกิดใหม่ เธอจึงปรารถนาจะแก้ปัญหาของประเทศ
เธอไม่มีคุณสมบัติที่จะรายงานต่อผู้มีอำนาจระดับสูง แต่คุณปู่ฟางมี ดังนั้นให้คุณปู่ฟางไปรายงาน
ให้เตรียมการล่วงหน้าเพื่อรับมือกับวิกฤตขาดแคลนอาหารโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
แต่หลินม่ายก็ตระหนักได้ดีว่า เธอเองก็ไม่รู้วิธีรับมือกับปัญหาวิกฤตอาหารที่กำลังจะมาถึง
เธอเพียงต้องการใช้คุณปู่ฟางเป็นสะพานเพื่อเปิดเผยเหตุการณ์สำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกสองข้างหน้าให้ผู้มีอำนาจระดับสูงได้ล่วงรู้ เพื่อที่พวกเขาจะได้เตรียมการรับมือไว้ทันเวลา
เธอไม่เคยสงสัยหรือคลางแคลงใจในความสามารถของผู้มีอำนาจระดับสูง สิ่งเดียวที่เธอคิดคือจะทุกคนข้ามผ่านวิกฤตนี้ไปได้แย่างไร?
แต่การจะเปิดเผยข่าวให้เบื้องบนทราบเพื่อให้เบื้องบนวางแผนล่วงหน้าและเตรียมการได้ทันท่วงทีนั้นก็ถือเป็นการช่วยเหลือที่ดี
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
วิธีกำจัดคนบ้านหลินก็คือไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นค่ะ มองดูคนพวกนั้นกัดกันเอง
หลินม่ายจะพลิกชะตาบ้านเมืองได้ไหมนะ
ไหหม่า(海馬)