เมื่อได้ยินคำพูดที่เป็นห่วงของลู่หลัว จื่อหลัวก็ไม่ตอบกลับอะไร นางรู้นิสัยใจคอที่แท้จริงของคุณหนูของตนเองดี นางไม่ใช่คนที่จะทนทุกข์ได้ ส่วนชิงหลัวกลับมีสีหน้ากังวล แต่สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือเงาสีดำที่ผ่านหลังคาไปเมื่อครู่นี้ได้เปิดแผ่นกระเบื้องออกแล้วมองลงมา นึกไม่ถึงว่าจะเหยียบกระเบื้องเสียไปแผ่นหนึ่ง จึงเกิดเสียงดังกึกกัก แต่หลังจากมองไปที่ผู้หญิงสองสามคนในห้อง พวกนางดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงผิดปกติใดๆ เมื่อรู้ว่าโชคดีก็แลบลิ้นออกมา แล้วแอบดูต่อไป
ดูเหมือนการเคลื่อนไหวจะมากไปหน่อย! ดวงตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์หรี่ลงเล็กน้อย ในใจพลางคิดว่า เป็นใครกันแน่? พ่อบ้านใหญ่ของตระกูลซั่งกวนก็รู้ดีว่าเป็นคนที่ใจเย็นมากเพียงแค่ได้ยินคำพูด คงจะไม่ถึงกับสอดแนมห้องส่วนตัวของหญิงสาวในตอนกลางคืนแบบนี้หรอกกระมัง? แล้วจะไม่ส่งเสียงดังเพียงเพราะคำพูดของตัวเอง
“คุณหนู?” จื่อหลัวเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ขบคิด แล้วลองร้องเรียกดู พวกนางล้วนเป็นผู้หญิงธรรมดา ไหนเลยจะรู้ว่ามีแขกที่ไม่ได้รับเชิญอยู่บนหลังคา ยังคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ จู่ๆ ก็ตกอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด
“อัปยศเหรอ? อาจจะมีบ้าง! แต่ข้าคิดว่า ตราบใดที่ข้าปฏิบัติตามกฎ ไม่ทำอะไรผิดพลาด ฮูหยินซั่งกวนจะไม่ปล่อยให้ข้าได้รับความอยุติธรรม!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะ พลางคิดถึงคนนิรนามที่ปรากฏตัวบนหลังคาเมื่อครู่ใหญ่นั้น
“คุณหนู ดูท่าการแต่งงานครั้งนี้จะไม่ดีอย่างที่เราคิด ถ้าถึงตอนนั้นตระกูลซั่งกวนรังเกียจจริงๆ ล่ะก็…” ลู่หลัวราวกับเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ในตอนนี้ ความจริงการแต่งงานในครั้งนี้ไม่ถือว่าวงศ์ตระกูลเท่าเทียมกัน
“จริงๆ แล้วข้าก็รู้ การแต่งงานครั้งนี้ไม่ถือว่าวงศ์ตระกูลเท่าเทียมกัน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย่อมรู้ว่าลู่หลัวกำลังคิดอะไรอยู่ จิตใจของนางค่อนข้างเรียบง่าย แต่ความภักดีที่มีต่อตัวเองนั้นไม่ต้องสงสัยเลย แล้วกล่าวว่า “ตอนที่ท่านแม่เสียชีวิต เรื่องที่น่ากังวลที่สุดก็คือการแต่งงานของข้า จำได้ว่านางพูดในตอนนั้นว่าการแต่งงานครั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับฮูหยินซั่งกวนด้วย หากฮูหยินซั่ง
กวนชอบข้าละก็ การแต่งงานครั้งนี้จะเป็นไปได้อย่างแน่นอน ในทางตรงกันข้าม ก็มีสิทธิ์ที่จะไม่มีการแต่งงานนี้ขึ้น ไม่ว่าจะมองอย่างไร มันก็คือการตีตัวเสมอตระกูลซั่งกวน”
“แล้วเหตุใดในตอนนั้นตระกูลซั่งกวนถึงพูดคุยเรื่องการแต่งงาน ท่านไม่เพียงเห็นด้วย แต่ยังหักล้างความตั้งใจของไท่ไท่?” ในเวลานั้นตระกูลซั่งกวนกำลังเจรจาการแต่งงาน ไม่นึกเลยว่าไท่ไท่คิดจะเอาตาปลาผสมไข่มุก[1] ให้คุณหนูหกแต่งแทน เยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงปฏิเสธความพยายามของไท่ไท่อย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ลู่หลัวก็รู้เรื่องนั้นดี
“ลู่หลัว ไท่ไท่เห็นว่าตระกูลซั่งกวนนั้นดี แต่ไม่ได้คาดคิดว่าลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของนางนั้น หากแต่งเข้าตระกูลซั่งกวนจริงๆ จะมีผลอะไรตามมา?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูแคลนเยี่ยนไท่ไท่กับลูกหลายคนของนางมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
“แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับท่านนะเจ้าคะ!” ลู่หลัวคิดแต่เรื่องคุณหนูของตัวเอง ส่วนคนอื่นๆ นางไม่ได้คำนึงถึง
“เจ้ามันโง่!” จื่อหลัวเขกหน้าผากของลู่หลัวอย่างไม่ไยดีไปทีหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “ถ้าคิดจะให้คุณหนูหกแต่งเข้าตระกูลซั่งกวน ต้องให้คุณหนูไปอยู่บ้านของคนอื่นก่อนหรือไม่? ด้วยอารมณ์ของไท่ไท่ จะต้องให้คุณหนูแต่งงานกับคนที่มีอำนาจพวกนั้นเป็นอนุภรรยาแน่นอน ไหนเลยคุณหนูจะรับความอัปยศเช่นนั้นได้? อีกอย่าง คุณหนูตื่นเช้าตรู่มาตั้งแต่อายุยังน้อย นางยังเรียนอยู่เมื่อดวงจันทร์อยู่บนท้องฟ้า นอนไม่ถึงสามชั่วยามทุกวัน ต้องเรียนพิณ หมากรุก การเขียนพู่กันและวาดภาพ ต้องเรียนเย็บปักถักร้อย ต้องเรียนรู้การเป็นแม่ศรีเรือน และเรียนรู้ภูมิศาสตร์มนุษย์ ไปเพื่ออะไร? ไท่ไท่รองเลี้ยงส่งเสียดูคุณหนูในฐานะลูกสะใภ้ของตระกูลซั่งกวนมาตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ คุณหนูร่ำเรียนสิ่งเหล่านั้นด้วยความยากลำบากเพียงใดล่ะ!”
“จริงด้วยสินะ!” ลู่หลัวพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะป้าโม่ดูแลสุขภาพของคุณหนูมาตลอด คุณหนูคงต้องจมดิ่งกับการศึกษาที่แปลกพิลึกพิลั่นเหล่านั้นเป็นแน่”
“ใช่แล้ว! ตั้งแต่ข้าเริ่มจำความได้ ความในใจของท่านแม่คืออยากให้ข้าแต่งเข้าตระกูลซั่งกวน สิ่งที่ข้าทำมาตลอดสิบเจ็ดปีเพียงเพื่อเป็นสะใภ้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตระกูลซั่งกวน ถ้าไม่แต่งงานล่ะก็ ไม่ใช่แค่ป้าโม่ แต่ยังรวมถึงท่านแม่ของข้าด้วยที่จะไม่ได้หลับอย่างสงบ! แล้วคุณหนูหกล่ะ? นางทำอะไรเป็นบ้าง? เอาแต่แต่งตัวประทินโฉมอยู่อย่างเดียว ไม่รู้บทกวีและตำราอะไรเลย ทักษะการเล่นหมากรุกก็ธรรมดา แค่เล่นพิณผีผาเก่งเท่านั้น เก่งเพียงอย่างเดียวก็หนีไม่พ้นเรื่องวางแผนคิดร้าย ถ้านางแต่งเข้าตระกูลพ่อค้าแน่นอนว่าต้องเป็นนายหญิงที่ร้ายกาจ ถ้าแต่งเข้าตระกูลซั่งกวน ไม่เพียงจะทำให้ตระกูลเยี่ยนต้องแบกรับความผิดที่ไม่ปฏิบัติตามสัญญา ซ้ำยังทำให้ตระกูลซั่งกวนอับอายขายหน้าอีกด้วย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้จักน้องสาวต่างมารดาไม่กี่คนนั้นของนางเป็นอย่างดี พวกนางต่างสืบทอดการคิดสะระตะอย่างรอบคอบของบิดากับความโง่เขลาเบาปัญญาของมารดา คิดเทียบชั้นกับใครเขาไปทั่ว คิดว่ามันง่ายมากที่จะปีนขึ้นไปงั้นหรือ?
“แล้วคุณหนูไม่เคยคิดหรือว่าคุณชายซั่งกวนจะเป็นคนแบบไหน? ไม่เคยแม้แต่จะสอบถามเรื่องนี้เลยหรือเจ้าคะ?”
ชิงหลัวถามอย่างสงสัย นับตั้งแต่ตระกูลซั่งกวนพูดคุยเรื่องการแต่งงานกับตระกูลเยี่ยน จึงมีการเล่าลือกันมากมายที่โรงน้ำชาในเมืองอู๋โจว คำแทนชื่อของคุณหนูห้าตระกูลเยี่ยนที่ไม่เคยปรากฏชื่อได้เปลี่ยนจากนกกระจอกกลายเป็นหงส์ ความคิดเห็นของมวลชนต่างเชื่อว่า คุณหนูห้าตระกูลเยี่ยนไม่คู่ควรกับคุณชายซั่งกวน
“เคยคิดมาก่อน แต่ตอนนี้ไม่คิด และไม่กล้าคิดด้วย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะในหมู่ผู้คนก็ดี หรือฐานะต่ำต้อยก็ตาม เขาจะเป็นสามีในอนาคตของข้าเสมอ ข้าต้องแต่งงานกับเขา ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้น หลังจากที่เราแต่งงานกัน เขาจะเป็นสวรรค์ของข้า ดินแดนของข้า และทุกสิ่งทุกอย่างของข้า”
“คุณหนู…” ชิงหลัวรู้สึกตื้นตันใจเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าคุณหนูห้าจะเป็นคนที่ถือขนบธรรมเนียมเช่นนี้ ส่วนลู่หลัวกับ
จื่อหลัวแม้จะตกใจมาก แต่ก็ปกปิดการแสดงออกบนใบหน้าอย่างระมัดระวัง เงาดำคนนั้นบนหลังคาก็อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
“เอาล่ะ ดึกมากแล้ว! จื่อหลัว เก็บของพวกนี้ไว้ที่นี่ ค่อยมาเก็บต่อในวันพรุ่งนี้เถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน คิดไปคิดมาก็คิดไม่ออกว่าเป็นใครที่มาแอบมอง จึงไม่มีความคิดจะเล่นละครอีกต่อไป
“เจ้าค่ะ คุณหนู!” จื่อหลัวขานรับ แล้วรอให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขึ้นเตียงนอน หลังจากเห็นนางหลับตา ก็เป่าเทียนให้ดับ จื่อ หลัวเฝ้ายามตลอดทั้งคืนที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยู่ในห้อง จื่อหลัวเอนนอนอย่างระแวดระวังอยู่ข้างนอก ส่วนลู่หลัวกับชิงหลัวกลับไปที่ห้องของพวกนาง
ในขณะที่นอนอยู่บนเตียง เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฟังคนคนนั้นบนหลังคาที่นำกระเบื้องกลับไปวางที่เดิมอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็รีบหนีออกไปอย่างว่องไว เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผ่อนลมหายใจชั่วขณะ ข่มความรู้สึกไม่ให้ไล่ตามไป แล้วค่อยๆ ผล็อยหลับไป
———————————–
“เจ้าพูดอะไร?” ซั่งกวนจิ่นมองซั่งกวนจิงอิ๋งที่ยังไม่เปลี่ยนชุดดำ แล้วมาสร้างความรำคาญให้เขาอย่างปวดเศียรเวียนเกล้า เขาตั้งใจจริงๆ ให้คุณหนูรองที่ใจกล้าบ้าบิ่นแอบไปดูโฉมหน้าของคุณหนูห้าตระกูลเยี่ยนผู้นั้น แต่นึกไม่ถึงว่าคุณหนูรองจะมาเอ่ยขอร้องในเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลหลังจากกลับมาเช่นนี้
“ส่งข้าไปอยู่ใกล้ๆ ว่าที่พี่สะใภ้ในอนาคตด้วยเถอะ!” ซั่งกวนจิงอิ๋งพูดซ้ำไปซ้ำมาอีกรอบ แม้จะไม่เห็นหน้าตาของพี่สะใภ้ในอนาคตจากบนหลังคา นางก็มั่นใจมากว่าผู้หญิงเหล่านั้นที่พยายามจะแต่งงานกับพี่ใหญ่ทุกคนล้วนสวยงาม แต่เมื่อเทียบกับคนที่ยังไม่เคยออกจากบ้านที่เสียงของนางก็นุ่มนวล ไพเราะมาก ซึ่งดีกว่าผู้หญิงเหล่านั้น
“คุณหนูรอง…” ซั่งกวนจิ่นรู้สึกเหมือนกำลังยกหินขึ้นกระแทกเท้าของตัวเองแล้วพูดว่า “ทำไมเล่า? เจ้าไม่ชอบคุณหนูห้าตระกูลเยี่ยนคนนี้ไม่ใช่เหรอ? ไฉนจู่ๆ ถึงเรียกนางว่าพี่สะใภ้?”
“จู่ๆ ก็รู้สึกว่าข้าชอบนางมาก!” ซั่งกวนจิงอิ๋งพูดด้วยรอยยิ้มกริ่ม “นางสวยมาก คำพูดคำจาก็ไพเราะมากเช่นกัน และดูเหมือนจะเรียบร้อยมากทีเดียว แถมนางก็ไม่ได้เป็นคนชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของพี่ใหญ่…ถึงอย่างไร ข้าก็เพิ่งเริ่มชอบนาง! ลุงจิ่น เจ้าส่งข้าไปอยู่ใกล้ๆ ว่าที่พี่สะใภ้ทีเถอะ! เดิมทีข้าอยากไปด้วยตัวเอง แต่กังวลว่านางจะไม่เชื่อข้า และกลัวว่านางจะตกใจเมื่อข้าปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน…”
“คุณหนูรอง การนี้คงไม่เหมาะจริงๆ ประการแรก ถ้าส่งคนไปโดยไม่มีเหตุผลอย่างนี้ คุณหนูห้าตระกูลเยี่ยนจะคิดอย่างไร? และข้าไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ตอนที่ได้พบกับนายท่านเยี่ยนกับคุณหนูห้าตระกูลเยี่ยนในวันนี้เสียด้วย การทำแบบนี้ออกจะล่วงเกินไปแล้ว ประการที่สอง แล้วจะแนะนำเจ้าอย่างไรดี บอกว่าเจ้าเป็นคุณหนูรองของตระกูลซั่งกวนงั้นหรือ? ถ้าไม่ทำให้ผู้คนสะดุ้งโหยงก็จะทำให้ผู้คนดูถูกเจ้าได้! ไม่ได้! ไม่ได้เด็ดขาด!” ซั่งกวนจิ่นคัดค้านโดยไม่ลังเล นี่มันความคิดบ้าบออะไรกัน!
“เจ้าแค่บอกว่าข้าเป็นสาวใช้ของตระกูลซั่งกวนหรือเป็นบ่าวในบ้านก็ได้ การส่งข้าไปก็เพื่อแนะนำเรื่องต่างๆ ในครอบครัวให้ว่าที่พี่สะใภ้ได้รู้จัก ให้ว่าที่พี่สะใภ้ได้รู้ไว้ก่อนว่ามีใครบ้างในตระกูล นี่ก็เป็นเจตนาดีของเจ้าด้วย ไม่ใช่หรือ?”
ซั่งกวนจิงอิ๋งกลับคิดอย่างนั้น ถ้าบอกว่านางเป็นคุณหนูรองของตระกูลซั่งกวน นางจะไม่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของพี่สะใภ้ในอนาคตหรือ? สาวใช้เป็นตำแหน่งที่ดีที่สุด แล้วใช้โอกาสนี้ทำความเข้าใจนิสัยใจคอของพี่สะใภ้ในอนาคตได้
“ไม่ได้! เจ้าผ่านร้อนผ่านหนาวมายังไม่มากนัก คำพูดแค่คำสองคำก็จะเผยพิรุธออกมา เมื่อถึงเวลานั้นกลับจะถูกคนดูหมิ่นได้ อีกอย่าง ต่อไปเจ้าจะได้เห็นคุณหนูห้าตระกูลเยี่ยนในไม่ช้าก็เร็ว แล้วจะลงเอยอย่างไรในเวลานั้น?” ซั่งกวนจิ่นไม่วางใจ แต่ซั่งกวนจิงอิ๋งเป็นเด็กที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรในจิตใจแม้เต่น้อย การมาเช่นนี้ยังไม่โดนคนหลอกก็เลยไม่รู้!
“ลุงจิ่น” ซั่งกวนจิงอิ๋งเขย่าแขนของซั่งกวนจิ่นอย่างออดอ้อน ราวกับจะไม่มีวันยอมแพ้จนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย ซั่งกวนจิ่นเฝ้าดูพวกเขาพี่น้องเติบโตขึ้น บางครั้งก็เอาใจพวกเขามากกว่าซั่งกวนฮ่าวเสียด้วยซ้ำไป
“ไม่ได้ก็คือไม่ได้!” ซั่งกวนจิ่นพูดอย่างเคร่งขรึม “การมารับตัวเจ้าสาวครั้งนี้เจ้าเพียงแค่แอบติดตาม หากไม่ใช่เพราะออกจากลี่โจวมาได้ห้าหกวันแล้วเจอเจ้า เพราะไม่มีคนที่เหมาะสมจะส่งเจ้ากลับไป มิเช่นนั้นเจ้าควรจะได้กลับบ้านไปพักตั้งนานแล้ว ถ้าเจ้ายังดื้อขนาดนี้ ข้าจะส่งคนพาเจ้าเดินทางกลับไปก่อนพรุ่งนี้เช้า”
“ไม่มีที่ว่างให้หารือเลยเหรอ?” ซั่งกวนจิงอิ๋งมองไปที่ซั่งกวนจิ่นอย่างไม่พอใจ พร้อมกับเบ้ปากเล็กๆ ทำท่าออเซาะ ช่างน่าเอ็นดูมากทีเดียว
“ไม่มี!” ซั่งกวนจิ่นพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน ซั่งกวนจิ่นรู้กลเม็ดทุกอย่างของเด็กสาวคนนี้ดี และอย่ามาใช้ไม้นี้ในยามวิกฤติแบบนี้เลย
“ลุงจิ่น เจ้าไม่รักข้าแล้ว…” ซั่งกวนจิงอิ๋งเปลี่ยนกลยุทธ์ทันที ด้วยท่าทางที่น่าสงสารจนอยากจะร้องไห้ แล้วลอบคิดในใจว่า ‘ไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่โดนหลอก!’
“รักไม่รักเจ้าไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก!” ซั่งกวนจิ่นทนไม่ไหวเล็กน้อย คุณชายคุณหนูทั้งสี่ที่เกิดจากฮูหยินซั่งกวนนั้น
ซั่งกวนเจวี๋ยได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดที่สุดตั้งแต่เด็ก แทบไม่มีโอกาสได้ทำตัวเหมือนเด็กน้อยเลย คุณหนูใหญ่ซั่งกวนหลิงหลงฉลาดเกินวัย ตอนเด็กๆ นางจะไม่งอแง นายน้อยคนรองจะขี้เล่นซุกซน ไม่ชอบอยู่ต่อหน้าเขา มีเพียงคุณหนูรองที่แปลกประหลาดคนนี้เท่านั้นที่เรียก ‘ลุงจิ่น’ เต็มปากเต็มคำ นางได้รับการบ่มเพาะจนเติบโตถึงทุกวันนี้ ซั่งกวนจิ่นมีส่วนช่วยอย่างมาก
“ข้ารู้แล้ว! ข้ารู้แล้ว! เมื่อมีหลิงลี่แล้ว ลุงจิ่นจะไม่สนใจข้าอีกต่อไป!” ซั่งกวนจิงอิ๋งร้องด้วยความเสียใจ แต่ก็น่าเสียดายที่ดวงตาของนางวอกแวก จึงเผยให้เห็นความคิดของนาง
หลิงลี่ที่นางเอ่ยออกจากปากนั้นคือซั่งกวนหลิงลี่เป็นลูกสาวของซั่งกวนจิ่น เด็กผู้หญิงอายุเก้าขวบ ฉลาดเฉียบแหลมไม่ได้ด้อยไปกว่าซั่งกวนจิงอิ๋ง ทั้งสองคนรักใคร่กลมเกลียวกันดีมาก
“เอาหลิงลี่มาพูดก็ไร้ประโยชน์” ซั่งกวนจิ่นพูดอย่างโหดร้าย เขาส่งซั่งกวนจิงอิ๋งไปหาคุณหนูห้าตระกูลเยี่ยนไม่ได้ และไม่ต้องพูดถึงว่าคุณหนูห้าตระกูลเยี่ยนจะอ่อนโยนมีคุณธรรมจริงหรือไม่ รู้กันอยู่ว่าซั่งกวนจิงอิ๋งเป็นอย่างไร ลำพังแค่นิสัยใจคอของซั่งกวนจิงอิ๋ง ก็ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม!
“ข้าไม่สนใจอยู่แล้ว ถ้าเจ้าไม่ส่งข้าไป ข้าก็จะไปเอง!” ซั่งกวนจิงอิ๋งที่หมดหนทางจึงขู่ออกมาตรงๆ แล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าลุงจิ่นมองข้าออก จะป้องกันไม่ให้ข้าสร้างปัญหา แต่ลุงจิ่น ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะเพิกเฉยต่อทุกสิ่งทุกอย่างได้ และพาข้ากลับบ้านด้วยตัวเอง ลุงจิ่นเจ้าก็รู้ว่า หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ข้าไม่กล้ารับประกันได้ว่าพวกเขาจะทำงานให้สำเร็จอย่างราบรื่น!”
ซั่งกวนจิ่นมองนางอย่างปวดหัว ประโยคนี้พูดตรงประเด็นจริงอย่างที่ว่า ยกเว้นซั่งกวนจิ่นเอง ไม่มีใครในกลุ่มนี้จะควบคุมซั่งกวนจิงอิ๋งได้ นางจะหนีไปกลางคันเป็นแน่ และหาโอกาสผสมปนเปเข้ามาในกลุ่ม ถ้านางปรากฏตัวต่อหน้าคุณหนูห้าตระกูลเยี่ยนกะทันหัน…ซั่งกวนจิ่นส่ายหัว มันจะเป็นหายนะ!
“เอาล่ะ! ตามที่เจ้าต้องการ ก็บอกว่าเจ้าเป็นสาวใช้ตัวน้อยประจำตัวฮูหยิน มาเพื่อช่วยให้คุณหนูห้าตระกูลเยี่ยนทำ
ความคุ้นเคยกับผู้คนของตระกูลซั่งกวนโดยเร็วที่สุด! เจ้าจำไว้ว่า จะเผยพิรุธไม่ได้!” ซั่งกวนจิ่นพูดอย่างจนปัญญา
“ดี!” ซั่งกวนจิงอิ๋งกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง “ข้ารู้ว่าลุงจิ่นรักข้ามากที่สุด และข้าจะเชื่อฟัง”
ได้เวลาหลอกคนให้เคลิบเคลิ้มอีกแล้ว? ซั่งกวนจิ่นลูบหัวนาง ทำให้นางจนหนทางไม่ได้เลย…
——————————————–
[1] ตาปลาผสมไข่มุก ใช้ในความหมายเชิงลบ หมายถึง การนำของปลอมมาปนกับของจริงเพื่อตบตา หรือแอบอ้างว่าเป็นของดีเพื่อมีเจตนาให้ผู้อื่นเข้าใจผิด