“คุณหนู พ่อบ้านใหญ่คนนั้นของตระกูลซั่งกวนมาอีกแล้ว ตอนนี้อยู่ในห้องโถงใหญ่ มาขอเข้าพบคุณหนูเจ้าค่ะ!”
จื่อหลัวพูดกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความงุนงง ในขณะที่นางกำลังมองไปที่ใบจดรายการสิ่งของที่จื่อหลัวตรวจนับอยู่ด้านนอก
“เขามาคนเดียวหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย วางใบรายการไว้ในมือ แต่คิดในใจว่า ‘เป็นไปได้ไหมว่าคนที่อยู่บนหลังคาเมื่อคืนจะเป็นคนจากตระกูลซั่งกวนจริงๆ?’
“เปล่าเจ้าค่ะ เขาพาคนมาด้วยคนหนึ่ง บอกว่าเป็นสาวใช้ใหญ่ที่รับใช้ประจำตัวฮูหยินซั่งกวน จะพามารับใช้คุณหนูสักพักหนึ่ง ยังบอกอีกว่าประเด็นสำคัญคือต้องการจะเล่าเรื่องราวของตระกูลซั่งกวนให้คุณหนูฟังในระหว่างเดินทาง…แต่คุณหนู ทำไมข้ารู้สึกว่ามันผิดปกติอยู่สักหน่อย นี่มันช่างชั่วร้ายไปแล้ว” จื่อหลัวไม่เพียงสงบสติอารมณ์เมื่อเผชิญกับสิ่งต่างๆ เท่านั้น แต่ยังให้เหตุผลได้อีกด้วย และวิเคราะห์ได้เป็นคุ้งเป็นแคว
“เจ้าว่ามันผิดปกติตรงไหน?” แม้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะมีความคิดของตัวเองอยู่ในใจ แต่นางมักจะเก็บความคิดไว้ในใจมาตลอด จะไม่บอกคนอื่นง่ายๆ ถึงแม้จื่อหลัวจะเป็นคนที่นางไว้ใจได้ แต่ก็ยังไม่ได้พิเศษขนาดนั้น
“ก่อนอื่น หากอยากจะส่งใครสักคนมาบอกคุณหนูเกี่ยวกับกฎของตระกูลซั่งกวนกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน สาวใช้ใหญ่คนหนึ่งจะเข้าใจได้มากแค่ไหนกัน จะให้เหมาะสมยิ่งกว่าต้องส่งคนในระดับแม่นมมา ถึงจะแสดงให้เห็นความเอาใจใส่และสมศักดิ์ศรี อย่างที่สอง ถ้าเป็นเพราะกลัวว่าแม่นมที่มีตำแหน่งเหล่านั้นจะมาวางมาด ทำให้คุณหนูไม่พอใจ กลับจะทำให้รู้สึกไม่ดีกับพ่อบ้านเสียมากกว่า จึงส่งสาวใช้ใหญ่มาแทน แล้วทำไมไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อวานที่ได้พบคุณหนูกับนายท่าน หลับไปคืนหนึ่งแล้วเพิ่งจะมาพูดเรื่องนี้หรือ? ถึงอย่างไรก็ตาม ข้าคิดว่าเรื่องนี้ค่อนข้างมีลับลมคมใน!” จื่อหลัวพูดอย่างจริงจัง
“เรื่องนี้ถูกตัดสินใจเร่งด่วนเป็นแน่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จิบชาคำหนึ่งพลางกล่าวว่า “พ่อบ้านใหญ่ของตระกูลซั่งกวนผู้นั้น อาจถูกบังคับให้ทำเช่นนี้”
“ถูกบังคับให้ทำ? คุณหนูรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ?” จื่อหลัวมองไปที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ดูเยียบเย็นด้วยความประหลาดใจ
“อันที่จริงตระกูลซั่งกวนหวังว่าเราจะรีบไปถึงลี่โจวแต่เนิ่นๆ ก็ด้วยจุดประสงค์อย่างหนึ่ง นั่นคือจะบอกข้าในหลายๆ เรื่องเกี่ยวกับตระกูลซั่งกวนก่อนจะจัดงานแต่ง เพื่อที่ข้าจะได้มั่นใจ และทำตัวได้เหมาะสมหลังจากเข้าประตูวิวาห์ไปแล้ว มีแม่นมชั้นยอดสองสามคนที่อยู่ประจำตัวฮูหยินซั่งกวนมาจัดเตรียมเรือนหอไว้ให้ข้า งานของพวกนางก็คือแจ้งให้ข้าทราบเกี่ยวกับงานบ้านงานเรือนก่อนแต่งงาน แต่พ่อบ้านใหญ่ผู้นั้นมีคนคนหนึ่งที่ทำให้เขาปวดหัวไม่น้อย ตัวละครนี้เรียกว่าสาวใช้ใหญ่ นางน่าจะเกิดความสนใจอะไรบางอย่างในตัวข้า ลองคิดเข้ามาอยู่ใกล้ๆ ข้าเพื่อดูสิว่าข้าเป็นคนแบบไหนสินะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คิดออกในทันใดนั้น ซั่งกวนเจวี๋ยมีน้องสาวสองคน คนหนึ่งคือซั่งกวนหลิงหลงซึ่งมีอายุเท่ากับตัวเอง และก็อายุสิบเจ็ดปีในปีนี้ มีชื่อ เสียงเลื่องลือมาก ส่วนอีกคนหนึ่งคือซั่งกวนจิงอิ๋งยังไม่ถึงสิบห้าปี ซั่งกวนหลิงหลงเป็นไปตามชื่อ เป็นคนที่มีรูปร่างงดงาม จะไม่ทำเรื่องเด็กๆ เช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นสาวใช้ใหญ่คนนี้น่าจะเป็นซั่งกวนจิงอิ๋งคนนั้นที่ได้รับการปกป้องอย่างดีจากตระกูลซั่งกวน โดยทั่วไปจะไม่มีข่าวลืออะไรเลย
“คุณหนู ท่านหมายความว่าสาวใช้ใหญ่คนนี้อาจเป็นผู้ที่ชื่นชอบคุณชายซั่งกวนงั้นหรือเจ้าคะ?” จื่อหลัวคิดแตกต่างจากเยี่ยนมี่เอ๋อร์
“อาจเป็นไปได้! แต่สาวใช้ใหญ่คนนั้นอายุเท่าไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สะดุ้งแล้วรู้สึกว่าสิ่งที่จื่อหลัวพูดนั้นสมเหตุสมผลมาก
“ไม่รู้ ข้าได้ข่าวแล้วก็มารายงาน เลยไม่ได้เห็นสาวใช้ใหญ่ที่ว่าคนนั้นเจ้าค่ะ!” จื่อหลัวส่ายศีรษะ
“จื่อหลัว คนคนนั้นอาจจะเป็นผู้ที่ชื่นชอบคุณชายซั่งกวน แต่ก็อาจจะเป็นคุณหนูคนใดคนหนึ่งจากตระกูลซั่งกวนด้วยก็ได้! เจ้าไปที่ห้องโถงใหญ่ แล้วบอกว่าข้าไม่สะดวกจะพบแขก ขอบคุณพ่อบ้านซั่งกวนที่ตั้งใจดี จากนั้นพาสาวใช้ใหญ่คนนั้นมาก็พอแล้ว! จำไว้ว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามผู้นี้เป็นแขกสำคัญ เจ้าเตือนลู่หลัวและคนอื่นๆ ด้วย อย่ามองนางแตกต่างออกไป แต่ให้ความเคารพนางก็พอ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอธิบาย
“ข้ารู้ว่าควรทำอย่างไรเจ้าค่ะ” จื่อหลัวพยักหน้าแล้วพูดว่า “ลู่หลัวไปกับแม่นมจ้าวเพื่อรับสาวใช้ตัวน้อยสองสามคนนั้นที่ป้าโม่เตรียมไว้ให้ท่าน ข้าจะกันพวกนางไว้ที่ลานหน้าบ้านแล้วอธิบายอย่างละเอียด เพียงแต่ คุณหนู ท่านจะเก็บชิงหลัวคนนั้นไว้จริงๆ หรือเจ้าคะ?”
“เก็บไว้ชั่วคราว หลังจากพรุ่งนี้เจ้าส่งนางไปให้แม่นมจ้าวฝึกอบรม แล้วให้แม่นมจ้าวดูแล” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้ใส่ใจกับชิงหลัว มากสุดนางแค่ต้องการบางสิ่งบางอย่างจากตัวเองเท่านั้น
“งั้นข้าไปนะเจ้าคะ” จื่อหลัวรู้ว่าแม้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะดูนุ่มนวลและอ่อนแอ แต่ก็เป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเองมาก จึงไม่ได้พูดอะไรที่ไม่พอใจ แล้วหันกลับไปทำสิ่งต่างๆ
“คุณหนู ผู้นี้ก็คือคนที่พ่อบ้านซั่งกวนส่งมาเจ้าค่ะ!” ในไม่ช้าจื่อหลัวก็นำหญิงสาวที่ถักเปียเรียบๆ และสวมเสื้อนวมปุยฝ้ายสีชมพูตัวเล็กเข้ามา นางหน้าตาน่าเอ็นดู คิ้วงามเหมือนหวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่เคยเห็นมาก่อนมาก ริมฝีปากดูใหญ่ขึ้นเล็กน้อย สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือดวงตากลมโตคู่นั้นของนาง เจ้าเล่ห์ปราดเปรียวอย่างอธิบายไม่ถูก ทำให้ผู้คนรู้สึกดีตั้งแต่แรกเห็น
“อื้ม” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เพียงแค่ตอบกลับอย่างสบายๆ พลางเอ่ยถามว่า “เจ้าชื่ออะไร? อายุเท่าไร? อยู่รับใช้ฮูหยินมานานแค่ไหนแล้ว?”
“ข้าชื่อจิงอิ๋ง จิงอิ๋งที่แปลว่าแวววาวพร่างพราว ปีนี้อายุสิบห้าปี อยู่รับใช้ฮูหยินมาหลายปีแล้ว” คุณหนูน้อยคนนี้ก็คือซั่งกวนจิงอิ๋งที่ทำให้ซั่งกวนจิ่นปวดหัวไม่หยุดหย่อน นางมีความคิดเรียบง่าย แม้อยากจะมาก่อกวนอยู่ใกล้ๆ ว่าที่พี่สะใภ้ก็ตาม มาเมียงมองดูอุปนิสัยใจคอของพี่สะใภ้ในอนาคตว่าเป็นอย่างไร แต่ไม่ได้คาดหวังว่าจะมาสร้างชื่อให้วุ่นวาย
เป็นคุณหนูรองจากตระกูลซั่งกวนดังคาด! เยี่ยนมี่เอ๋อร์แอบยิ้มอยู่ในใจ แต่ปากกลับพูดขึ้นว่า “งั้นหรือ เจ้าติดตามมากับพ่อบ้านใช่หรือไม่?”
“เจ้าค่ะ เรารีบเดินทางมาไกลมากเลย!” ซั่งกวนจิงอิ๋งผงกศีรษะ
“งั้นน่าจะเหนื่อยมากใช่หรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเห็นใจว่า “วันมะรืนนี้ก็จะออกเดินทางอีกแล้ว วันนี้เจ้าก็พักผ่อนให้สบายสักหน่อยเถิด”
“ไม่เหนื่อยเลย!” ซั่งกวนจิงอิ๋งหัวเราะร่วนแล้วพูดว่า “ลุงจิ่นส่งข้ามาให้รับใช้คุณหนู คุณหนูมีงานอะไรโปรดสั่งการข้าได้อย่างเต็มที่”
งาน? เยี่ยนมี่เอ๋อร์เหลือบมองมือเล็กๆ ที่นวลเนียนขาวผ่องของซั่งกวนจิงอิ๋งแวบหนึ่งอย่างไม่ให้เห็นพิรุธ คุณหนูรองผู้สง่างามของตระกูลซั่งกวนนางจะทำงานอะไรได้?
“จื่อหลัว วันนี้มีงานอะไรต้องทำ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กังวลว่านางไม่เพียงจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่ยังทำให้เกิดปัญหาอีกด้วย จึงโยนคำถามนี้ไปยังจื่อหลัวที่รออยู่ข้างๆ
“คุณหนู วันนี้ต้องไปสั่งขนมกับผลไม้ที่จะนำไปกินระหว่างทางเจ้าค่ะ” จื่อหลัวก็มองออกว่าจิงอิ๋งนั้นแตกต่างออกไป จึงหางานที่เหมาะสมให้ทำ
“จิงอิ๋ง เจ้าจะออกไปกับจื่อหลัวหรืออยู่ที่เรือนพูดคุยกับข้า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ให้ทางเลือกกับนางอย่างโอบอ้อมอารี
“ข้าจะอยู่พูดคุยกับคุณหนูเจ้าค่ะ นี่คืองานที่ลุงจิ่นมอบหมายให้ข้า” จิงอิ๋งกลอกตาอย่างเจ้าเล่ห์ และไม่มีใครอยู่รอบๆ จึงสำรวจนิสัยใจคอของพี่สะใภ้ในอนาคตได้อย่างประจวบเหมาะ
“งั้นก็ดี จื่อหลัว เพิ่มเตาถ่านอีกเตาหนึ่ง คล้ายอากาศจะเริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ” ตอนนี้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว แม้จะยังไม่มีหิมะตก แต่อากาศในอู๋โจวก็หนาวกว่าลี่โจว เยี่ยนมี่เอ๋อร์เองไม่กลัวความหนาว แต่ว่า…ตอนที่จิงอิ๋งเพิ่งเข้ามานั้นจมูกโด่งอันงดงามก็เป็นสีแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่านางกลัวความหนาวเย็น
“เจ้าค่ะ คุณหนู” จื่อหลัวขานรับคำ และเชื่อมั่นอยู่ในใจ ดูท่าคนคนนี้น่าจะเป็นคุณหนูจากตระกูลซั่งกวน เพียงแต่ไม่เข้าใจว่า ไฉนคุณหนูจากตระกูลงามสง่าจึงประมาทเช่นนี้ ถึงถ่อมาหาว่าที่ภรรยาของพี่ชายคนโตอย่างบุ่มบ่าม แล้วยังแอบอ้างว่าเป็นสาวใช้อีกด้วย ไม่เข้าใจเลยจริงๆ!
“ลี่โจวหนาวหรือเปล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน นางเห็นในดวงตาของจิงอิ๋งเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น แม้ตัวเองจะอายุมากกว่านางเพียงสองปี แต่นางไร้เดียงสามากจริงๆ นี่ก็คือเด็กที่ถูกบิดามารดาตามใจและปกป้องมาตลอดสินะ
“ยังพอไหวเจ้าค่ะ แต่อากาศอบอุ่นกว่าอู๋โจวมาก ลี่โจวมีหิมะตกทุกปี แต่หิมะก็ตกเพียงสามสี่ครั้ง ทุกครั้งที่หิมะตกข้าชอบเล่นปาหิมะใส่กัน มีบางครั้งที่พี่ชายก็มาเล่นด้วย แต่พี่สาวไม่เคยมาเล่นกับข้าเลย!” จิงอิ๋งพยักหน้า เผยให้เห็นข้อมูลมาก มายโดยไม่ได้ตั้งใจ
“เอา มารับไปสิ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยื่นเตาอังมือที่วางอยู่ข้างๆ ให้จิงอิ๋ง เมื่อเห็นว่านางรับโดยไม่ได้ปฏิเสธเลย จึงยิ้มเล็ก น้อยพลางกล่าวว่า “อุ่นขึ้นอีกหน่อยสินะ! รอจื่อหลัวยกเตาถ่านเข้ามาอีกลูกก็จะอุ่นยิ่งขึ้น เจ้าจะได้ถอดเสื้อนวมปุยฝ้ายออก แล้วค่อยใส่ตอนออกไปข้างนอก”
“เจ้ายิ้มแล้วดูสวยมากจริงๆ” ดวงตาที่เปล่งประกายของจิงอิ๋งมองไปที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเป็นคนที่สวยที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาเลย! โอ้ สวยเหมือนพี่สาวชิงหวั่น เพียงแต่พี่ชิงหวั่นดูจะไม่อ่อนโยนอย่างเจ้า”
“เจ้าเคยเห็นหญิงงามมากมายงั้นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามด้วยรอยยิ้ม ชิงหวั่น? คือมู่หรงชิงหวั่นที่ได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในยุทธภพสินะ หญิงงามผู้เลอโฉมคนนั้นซึ่งกล่าวกันว่าปฏิเสธการขอแต่งงานของรัชทายาทองค์ปัจจุบัน แต่กลับตกหลุมรักหนุ่มเจ้าสำราญของยุทธภพ? สตรีผู้น่าสงสารที่ถูกตราหน้าว่าเป็นความรักอันน่าเศร้าคนนั้นหรือ?
“เจ้าค่ะ! เจ้าไม่รู้หรอกว่ามักจะมีหญิงงามมากมายเข้านอกออกในบ้านอยู่บ่อยๆ พวกนางล้วนมาหาพี่ใหญ่…เอ่อ
พี่ใหญ่ที่ไปรอรับใช้คุณชายใหญ่! จอมยุทธ์หญิงนางฟ้าแบบไหน แต่พวกนางก็ไม่สวยเท่าเจ้า” จิงอิ๋งกล่าวอย่างจริงจังมากว่า “ยังมีคุณหนูของตระกูลเสียนหยางอิ๋ง ตระกูลลั่วหยางหลี่ ตระกูลไคหยางหวัง ตระกูลจือหยางชุย ตระกูลฝูโจวหวงฝู่ ตระกูล
เหยี่ยนโจวทั่วป๋า และตระกูลโยวโจวมู่หรงก็ไปที่นั่นด้วยในบางครั้ง พวกนางสวยทุกคนเลย!”
“พวกนางล้วนไปหาคุณชายใหญ่งั้นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หน้านิ่วคิ้วขมวด ดูท่าซั่งกวนเจวี๋ยจะเป็นหนุ่มเจ้าสำราญจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะคำสาบานที่เอ่ยไว้ต่อหน้าเตียงของท่านป้า นางก็อยากจะออกไปจากที่นี่เสียเดี๋ยวนี้ ทิ้งความยุ่งเหยิงไว้ให้ตระกูล
เยี่ยนคอยเก็บกวาด
“เปล่าหรอก มีเพียงคุณหนูสี่จากตระกูลทั่วป๋ากับคุณหนูสามจากตระกูลชุย…เอ่อ เจ้าไม่ต้องกังวลนะ พวกนางไม่สวยเท่าเจ้า และก็เป็นคนไม่ดี พี่ เอ้ย! คุณชายใหญ่ก็ไม่ชอบพวกนางเท่าไรนัก” ทันใดนั้นจิงอิ๋งก็ตระหนักได้ว่าไม่ควรพูดสิ่งเหล่านี้ จึงรีบพูดปลอบโยนว่า “เจ้าสวยขนาดนี้ เมื่อพวกนางได้เห็นเจ้าก็จะละอายใจไปเอง ใช่แล้ว ก็จะละอายใจไปเอง และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับพี่ เอ้ยคุณชายใหญ่อีกต่อไป!”
“จริงเหรอ? ตราบใดที่ยังสวยงามก็ดีเหรอ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองไปที่จิงอิ๋ง นางคงได้รับการปกป้องอย่างดีสินะ! เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เคยคิดว่าสตรีจะได้ทุกอย่างมาจากความงาม สิ่งที่จะได้รับจากความงามเป็นเพียงแวบแรกและโอกาสแรกเท่านั้นเอง! หากต้องการจะได้จริงๆ งั้นต้องมีสติปัญญาและอุบายที่เพียงพอ และหากต้องการควบคุม สติปัญญา อุบาย วิธีการและความแข็งแกร่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ นางมีสิ่งเหล่านี้ แต่ยังไม่โตพอทว่าก็ไม่สำคัญ ต่อให้ตระกูลซั่งกวนจะเป็นรังที่เต็มไปด้วยภยันตรายก็ตาม นางก็จะบุกฝ่าทะลวงไปให้ได้!
“เอ่อ…มันก็ไม่เชิง! คุณหนู เจ้าจะทำอะไร?” จิงอิ๋งมองไปที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ซึ่งยืนขึ้น จากนั้นไปนั่งอยู่หน้าโครงเย็บปักถักร้อย แล้วเริ่มสนเข็มร้อยด้าย
“เจ้ามองไม่ออกหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ประหลาดใจเล็กน้อย เป็นไปได้ไหมว่าซั่งกวนจิงอิ๋งไม่เคยเห็นคนเย็บปักถักร้อย?
“เจ้ากำลังเย็บปักถักร้อยใช่ไหม?” ในดวงตาของซั่งกวนจิงอิ๋งเต็มไปด้วยความชื่นชมแล้วกล่าวว่า “ปักชุดใหญ่ขนาดนี้! มันคือห่านบินคู่หนึ่ง ข้าเห็นแม่…เอ่อ ข้าเคยเห็น แต่ไม่ได้ใหญ่ขนาดนี้ ภาพที่ปักก็ไม่ได้สวยสักเท่าไร! เจ้าปักเสร็จไปครึ่ง หนึ่ง แล้วใช้มาทำอะไร?”
“นี่คือฉากกั้น จะวางไว้ในห้องของข้าหลังแต่งแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดเบาๆ “เจ้าอยากปักอะไร? ข้าจะทำให้เจ้าดู!”
“เหอะๆ ข้าทำไม่เป็นหรอก” จิงอิ๋งค่อนข้างหน้าแดงแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่เคยเห็นใครเย็บปักถักร้อย พี่สาวทำไม่เป็น ท่านแม่ก็ทำไม่เป็น สาวใช้รอบตัวข้า…แค่กๆ พวกพี่สาวใช้ก็ทำไม่เป็น!”
ในทางตรงกันข้ามเยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “แล้วฮูหยิน คุณหนูกับสาวใช้ในตระกูลซั่งกวนยามปกติจะผ่อนคลายแบบไหนกัน?”
“ข้า…เอ่อ ฮูหยินของเราในยามปกติชอบวาดรูป นางฝึกดาบในตอนเช้า เมื่อมีเวลาในช่วงบ่ายก็วาดรูป เล่นพิณ อ่านหนังสือทำนองนี้ คุณหนูใหญ่ชอบวางแผน ศึกษาการวางค่ายกล วาดแผนการตลอดทั้งวันอะไรอย่างนั้น คุณหนูรองคิดแต่เรื่องเล่นทุกวัน พวกสาวใช้พอทำงานของตัวเองเสร็จ ก็จะฝึกยุทธ์และฝึกเขียนตัวอักษรในเวลาว่างอะไรทำนองนั้น ไม่เห็นพวกนางทำแบบนี้ แต่ข้าคิดว่าเจ้าทำเช่นนี้น่าสนุกจริงๆ!” จิงอิ๋งมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่สนเข็มราวกับบินเย็บด้ายราวกับเดินอย่างชำนาญด้วยความอิจฉา
“เจ้าอยากเรียนหรือเปล่า?”
“อยากสิๆ!” จิงอิ๋งพยักหน้าซ้ำๆ จากนั้นมองไปที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างกระตือรือร้นแล้วพูดว่า “เรียนง่ายไหม? ข้าจะเรียนได้หรือเปล่า? อยากเรียนเจ้าสิ่งนี้ต้องใช้อาจารย์พิเศษเหรอ? เมื่อเรียนแล้วจะปักฉากกั้นนี้ได้ใช่ไหม?”
“ในตอนแรกจะปักสิ่งที่ใหญ่และซับซ้อนขนาดนี้ไม่ได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เริ่มชอบนางเล็กน้อย ในตัวนางมีสิ่งที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ ปรารถนามาตลอดแต่หาไม่ได้ เมื่อปักด้ายในมือจนเสร็จสมบูรณ์ เก็บเข็มให้เรียบร้อย จากนั้นก็ปักเข็มเข้ากับผ้าปัก
“เจ้าลองทำดูสิ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใช้ที่ยึดขึงผ้าแพรปักสีขาวบริสุทธิ์อย่างคล่องแคล่วเสร็จ แล้วยื่นให้จิงอิ๋งที่มือไม้อ่อนไปหมดเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ภาพวาดบนผ้าคือดอกกล้วยไม้ ง่ายที่สุดเลย ใช้มาฝึกเรียนได้พอดี มาเร็ว เลือกเส้นไหมที่จะใช้ก่อน…”
———————————–