“ข้าก็เสียใจกับหลิงหลงด้วย!” บนใบหน้าของทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่มีแต่ความรักต่อหลานสาวพลางเอ่ยขึ้นว่า “แต่นางถูกเจ้าเด็กที่ไม่รู้จักกาลเทศะของตระกูลมู่หรงคนนั้นทำให้อับอาย นางต้องเข้าไปพัวพันกับลั่วหลิงที่สวยแต่รูปจูบไม่หอมคนนั้นไปโดยปริยาย นี่เท่ากับทำร้ายนางมากแค่ไหน? ผลที่ตามมาเล่า? เจวี๋ยเอ๋อร์ยืนนิ่งดูดาย ไม่ได้ออกหน้าให้น้องสาวของตัวเอง นั่นเป็นเพราะเจ้าคบหากับเจ้าเด็กคนนั้นจากตระกูลมู่หรงด้วยดีตลอดมา แต่จิงอิ๋งเล่า? หลิงหลงก็เป็นพี่สาวของนางเองแท้ๆ นางไม่เพียงไม่ได้ปกป้องพี่สาวของนาง แต่ยังแสดงความชื่นชมเจ้าเด็กคนนั้นด้วย สิ่งนี้ไม่ได้จงใจทำให้หลิงหลงทนไม่ได้งั้นหรือ?”
“ด้วยเพราะเหตุนี้ ท่านย่าจึงต้องแข็งใจลงโทษจิงอิ๋งอย่างทารุณขนาดนี้เชียวหรือ?” สีหน้าของซั่งกวนเจวี๋ยดูเหยเกมากขึ้นเรื่อยๆ และจ้องเขม็งมองหลิงหลงที่อยู่ข้างๆ อย่างไม่กล้าเชื่อเล็กน้อยและอัดอั้นตันใจอยู่บ้างแวบหนึ่ง
“ถ้าเป็นอย่างนั้นข้าก็ไม่ยอมและทนไม่ได้ที่จะลงโทษนางแบบนั้น นางก็เป็นหลานสาวแท้ๆ ของข้า และเป็นเด็กที่ข้าเลี้ยงมาจนโตด้วย” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวอย่างช้ำใจว่า “ตีนางที่ตัว ทว่ามันเจ็บที่ใจยายแก่อย่างข้า! แต่จริงๆ แล้วนางพูดว่าชอบหรือไม่ชอบอะไรสักอย่างกับเจ้าเด็กที่มีตาหามีแววไม่คนนั้นต่อหน้าธารกำนัล…นางไม่ได้ทิ้งศักดิ์ศรีของตระกูลซั่งกวนลงบนพื้นดินแล้วเหยียบย่ำหรอกหรือ? ตระกูลซั่งกวนเคยเกิดเรื่องน่าอับอายขนาดนี้หรือไม่?”
ซั่งกวนเจวี๋ยดูทั่วป๋าซู่เยวี่ยเล่นละครด้วยใบหน้าที่ปราศจากความรู้สึก เล่ห์เหลี่ยมของนางก็แค่นั้น อาศัยความอาวุโส คร่ำครวญอยู่เป็นเวลานานโดยที่น้ำตาไม่ร่วงสักหยด
“พวกเจ้าลองคิดดูสิว่า เหตุการณ์แบบนั้น ด้วยผู้คนจำนวนมากอย่างนั้น นึกไม่ถึงเลยว่าจิงอิ๋งจะโผเข้าไปในอ้อมแขนของชายแปลกหน้าคนหนึ่ง แล้วพูดอย่างไร้ยางอายว่าชอบหรือไม่ชอบอะไรพวกนั้น…ไอหยา ช่างน่าละอายเสียจริง ถ้าเจ้าเด็กคนนั้นตอบ อาจบอกว่าคิดในเชิงคู่รักแบบชายหญิง เมื่อขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง อาจจะเป็นเรื่องดี แต่จะว่าไป? ใบหน้าของเจ้าเด็กนั่นเขียวคล้ำ ตกใจกับคำพูดของจิงอิ๋งจนพูดไม่ออก ถ้าข้ามาไม่ทันเวลา ยังไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นที่ไม่อาจควบคุมได้? บางทีตระกูลอื่นๆ อาจจะหัวเราะเยาะตระกูลซั่งกวนของเรา แล้วพูดอะไรบางอย่างที่น่าอึดอัดใจ…” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยพูดอย่างมีเหตุมีผลมากขึ้น และเสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆ
“งั้นจะบอกว่าโชคดีที่ท่านย่าปรากฏตัวทันเวลา มิฉะนั้นจะเป็นเรื่องอื้อฉาว?” ใบหน้าของซั่งกวนเจวี๋ยไม่พอใจนัก มีคนบอกเหตุการณ์ในเวลานั้นตั้งแต่ต้นจนจบ มู่หรงปั๋วอวี่อาจไม่ได้คิดแบบชายหญิงกับจิงอิ๋ง แต่ในตอนนั้นต่อให้จะคำนึงถึงหน้าตาของทั้งสองครอบครัว เขาก็ปฏิเสธจิงอิ๋งโดยตรงไม่ได้ แต่นี่อะไรกัน? ทั่วป๋าซู่เยวี่ยรีบวิ่งออกไปด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ ไม่เพียงขัดจังหวะสิ่งดีๆ เท่านั้น ทั้งยังทำเรื่องโง่เขลาเบาปัญญา ใส่ร้ายจิงอิ๋งทั้งที่ไม่รู้ถึงข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ นี่ไม่ได้มีเจตนาร้ายหรอกหรือ? ตระกูลซั่งกวนเป็นตระกูลชนชั้นสูงแล้วอย่างไร ถอนตัวออกจากราชสำนัก ประกาศตัวเองว่าเป็นตระกูลในยุทธภพไปกี่รุ่นแล้ว? หนุ่มสาวในยุทธภพบางคนเป็นอิสระไม่ยึดถือกฏเกณฑ์แล้วอย่างไร? นอกจากนี้…ซั่งกวนเจวี๋ยมองไปที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยอย่างเย็นชา ต่อให้นางเป็นฮูหยินใหญ่ของตระกูลซั่งกวนที่ถือกำเนิดจากตระกูลสูงศักดิ์ผู้นี้จะปฏิบัติตามกฎมารยาทได้มากแค่ไหน? ระยะห่างระหว่างชายหญิง? ในตอนนั้นนางยังวิ่งตามท่านปู่ไม่ใช่หรือ? มาพูดเรื่องนี้ในตอนนี้เพื่ออะไร?
“แน่นอนอยู่แล้ว!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยฟังออกถึงการเยาะเย้ยในคำพูดของซั่งกวนเจวี๋ย แต่ตอนนี้นางขี่หลังเสือลงยากอยู่แล้ว จึงต้องกัดฟันพูดเท่านั้น
“กล่าวคือเรื่องนี้ไม่เพียงไม่สามารถตำหนิท่านย่าที่ไม่แยกแยะถูกผิดแล้วด่าท่อจิงอิ๋งอย่างโกรธเกรี้ยวต่อหน้าแขกเหล่านั้นในเรือนสดับวายุได้ และยิ่งไม่ต้องสนใจว่าความไร้ยางอายจะไปตกอยู่ที่จิงอิ๋งผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ซึ่งยังไม่ผ่านการปรึกษาหารือใดๆ ก็โบยตีจิงอิ๋งไปพักหนึ่ง โอ้ ยังมีหลิงลี่อีกคนหนึ่งที่บริสุทธิ์อายุเพียงแปดขวบเข้ามาพัวพันจนติดร่างแหไปด้วยเช่นกัน ถูกโบยไปสองสามไม้ ข้าอยากขอบคุณท่านย่าที่เข้มงวดและกวดขัน เพื่อให้ทุกคนได้เห็นถึงความเข้มงวดเฉียบขาดของตระกูลซั่งกวนเรา” คำพูดของซั่งกวนเจวี๋ยทำให้ใบหน้าของทั่วป๋าซู่เยวี่ยอับอายมาก นางมองไปที่ซั่งกวนฮ่าวลูกชายของนาง แต่ก็ไม่แปลกใจที่พบว่าซั่งกวนฮ่าวกำลังก้มศีรษะลงมองลวดลายบนพื้น
“อะแฮ่ม ข้าก็กังวลเหมือนกัน!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกระแอมไอกลบเกลื่อนพลางกล่าวว่า “คนเราน่ะ ก็แบบนี้ พอแก่ตัวก็ไม่ได้ใช้งาน มักจะทำสิ่งที่ไม่ดีด้วยความหวังดี…แต่ข้าจะไม่ทำให้พวกเจ้าปวดหัวไปหลายปีหรอก ไม่แน่ในอีกสามถึงห้าปีข้าจะไปพบท่านปู่ของเจ้าที่ปรโลก…พูดแล้วมันน่าเศร้าใจนัก”
ซั่งกวนเจวี๋ยไม่มีทางเลือก ทั่วป๋าซู่เยวี่ยยอมหลีกทางให้แล้ว ถ้ายังบีบบังคับต่อไปอีกก็จะไม่กตัญญูเชื่อฟัง ซั่งกวนฮ่าวยังคงนิ่งเฉยมองลวดลายบนพื้นอยู่เกือบตลอด เขาไออย่างแรงคำหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เจวี๋ยเอ๋อร์ เรื่องนี้ท่านย่าของเจ้าบุ่มบ่ามนิดหน่อย จริงๆ แล้วจิงอิ๋งก็ถูกทำโทษเล็กน้อย แต่จะให้ท่านย่าขอโทษเด็กอย่างนางนั้นคงไม่ได้ ข้าคิดว่าก็ให้แล้วกันไปเถอะ! อืม…เมื่อน้องชายอินมา ขอให้เขาช่วยดูแลจิงอิ๋งอย่างดี แต่จะทิ้งรอยแผลเป็นอะไรไว้ให้ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของข้าไม่ได้เชียว”
“ขอรับ ท่านพ่อ!” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้เพียงว่าเรื่องจบลงตรงนี้ ไม่อาจยุ่งเกี่ยวได้อีกต่อไป มิฉะนั้นละก็ ทุกคนจะมีสีหน้าไม่สบายใจ
“ท่านย่า” ซั่งกวนพิงถิงที่ซ่อนตัวอยู่หลังฮูหยินใหญ่มาตลอดแสร้งทำเป็นอวดฉลาดจึงอดกระซิบบอกไม่ได้ว่าเป้า หมายของนางยังไม่บรรลุผลนะ!
“ยังมีอีกอย่างหนึ่ง!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยรู้ว่าไม่ใช่เวลาจะพูดถึงเรื่องนี้ แต่…นางมองไปทางลูกชายที่สีหน้าสงบนิ่งและไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แล้วมองไปยังหลานชายที่ดูค่อนข้างไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด หากไม่เอ่ยเรื่องนี้ออกมาในตอนนี้ ก็จะไม่มีโอกาสในอนาคตเช่นกัน
“ท่านแม่มีอะไรอีก?” ดูเหมือนซั่งกวนฮ่าวจะถามด้วยความประหลาดใจยิ่งนัก แต่ซั่งกวนเจวี๋ยรู้จากภาษากายของเขาว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ของจิงอิ๋งจะเป็นเพราะยายแก่อย่างข้าบุ่มบ่าม แต่…” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยละอายใจเล็กน้อยบนใบหน้า แต่มันเป็นความรู้สึกที่น่ายำเกรงมากกว่า พลางกล่าวอย่างเศร้าอาดูรว่า “หลายคนได้เห็นความไม่เป็นโล้เป็นพายของจิงอิ๋ง คุณหนูอย่างนี้จะทำให้เราเสื่อมเสียชื่อเสียงของตระกูลซั่งกวน จึงมีข้อเสนอแนะในฐานะแม่ ไม่ลองเปลี่ยนให้จิงอิ๋งไปอยู่ในนามของน่งอวิ๋น ชิ่นเซียนหรือหนิงซิน หากนางไม่ใช่ลูกสาวจากภรรยาเอกของตระกูลซั่งกวน ต่อให้เหตุการณ์นี้จะลุกลามออกไป มันจะไม่สร้างความเสียหายใหญ่โตให้กับชื่อของตระกูลซั่งกวน”
ใบหน้าของซั่งกวนเจวี๋ยเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ที่แท้จุดประสงค์ที่แท้จริงคือสิ่งนี้ ต้องการแย่งชิงฐานะของจิงอิ๋งจากบุตรสาวของภรรยาเอก ดังนั้นทั่วป๋าซู่เยวี่ยถึงก่อเรื่องที่ยากจะจัดการได้สับสนขนาดนี้ แก่จนเลอะเลือน? ทำเรื่องไม่ดีด้วยความหวังดี? จากมุมมองของเขา นางอายุมากและแข็งแกร่ง วางแผนล้ำลึกและละเอียดรอบคอบ แต่นางลืมไปหรือเปล่าว่า ต่อให้ท่านปู่จะจากไปแล้ว นางอาวุโสสูงสุดในตระกูลซั่งกวน ทุกคนควรเคารพนาง แต่นางทำไม่ได้และไม่มีสิทธิ์จะตัดสินใจเรื่องเช่นนี้
“เป็นแบบนี้ได้อย่างไร!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกรีดร้องแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านหมายถึงอะไร? จิงอิ๋งเป็นลูกสาวของข้า ข้าเป็นฮูหยินโดยชอบธรรมของตระกูลซั่งกวน ข้ายังมีชีวิตอยู่แล้วจะปล่อยให้ลูกสาวของข้าไปใช้ชื่อของอนุภรรยางั้นหรือ? พวกนางมีฐานะคู่ควรงั้นหรือ? ท่านไม่เพียงทำให้จิงอิ๋งอับอายและขายหน้าข้าเท่านั้น แต่ยังทำให้ตระกูลซั่งกวนอับอายด้วย…ท่านพ่อท่านแม่ที่น่าสงสารของข้าหากรู้ว่าหลานสาวคนโปรดของพวกเขาถูกทำให้อัปยศเช่นนี้ ยังไม่รู้ว่าจะเสียใจอย่างไรบ้าง…”
เมื่อเห็นหวงฝู่เยวี่ยเอ้อทำท่าทำทางร้องไห้คร่ำครวญ ซั่งกวนเจวี๋ยก็เบื่อหน่ายเช่นกัน แต่เป็นช่วงเวลาแห่งการผ่อนคลายมากกว่า…หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็แตกคอกับทั่วป๋าซู่เยวี่ยอย่างสิ้นเชิง นับตั้งแต่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยจัดหาอนุภรรยาให้ซั่งกวนฮ่าว ทั้งสองคนไม่ได้รักษาธรรมเนียมที่ต้องปรนนิบัติทั้งเช้าเย็นให้เป็นปกติที่สุด นับประสาอะไรกับเรื่องอื่นๆ
“ท่านแม่ดูน่าเกลียดมากแบบนี้!” ซั่งกวนหลิงหลงพูดออกมาอย่างกะทันหัน นางไม่ชอบมารดา รู้สึกว่านางธรรมดาเกินไป ไม่มีมารยา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมตัวเองถึงไปเกิดกับนางได้
“หลิงหลง หุบปาก!” ซั่งกวนฮ่าวจ้องเขม็งมองลูกสาวคนโตอย่างเหี้ยมเกรียมแวบหนึ่ง เขาก็ไม่รู้ว่าเด็กฉลาดอย่าง
หลิงหลงนั้น เหตุใดถึงไม่เข้าไปใกล้ชิดสนิทสนมกับแม่แม้แต่น้อย? ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม นั่นคือมารดาผู้ให้กำเนิดของนาง และเป็นนายหญิงของตระกูลซั่งกวนอีกด้วย
หวงฝู่เยวี่ยเอ้อมองไปที่ลูกสาวอย่างเศร้าระทม ทำไมลูกสาวคนหนึ่งของนางดูเหมือนจะเกิดมาทวงหนี้บุญคุณ ไม่เพียงไม่รู้ใจ แต่ยังทำให้ตัวเองรู้สึกอึดอัดอีกด้วย ส่วนอีกคนก็เป็นเด็กทโมนแก่นแก้ว ไม่สามารถจัดการได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมาคุยความในใจกับแม่อย่างสนิทสนม…ลูกสาวของคนอื่นต่างสนิทสนมรู้ใจแม่ แต่ลูกสาวของนางล้วนมาทวงหนี้บุญคุณ…เมื่อคิดได้เช่นนี้ หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเสียใจยิ่งกว่า และยิ่งคิดถึงเมื่อสองปีก่อนหน้านี้ เมื่อได้เห็นเด็กที่อ่อนโยนและอ่อนหวานคนนั้น
เป็นเพราะมารดาเสียชีวิตไป ลูกจึงเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง อย่างไรก็ตาม ต้องทำให้นางเป็นสะใภ้ของตัวเองให้ได้! หวงฝู่เยวี่ย เอ้อตัดสินใจแล้ว!
เมื่อมองไปยังกลุ่มคนที่วุ่นวาย ในดวงตาของหนิงซินก็ฉายแววดูถูกเหยียดหยาม แต่ซั่งกวนเจวี๋ยก็มองเห็นอยู่ในสายตา…ดูท่าอนุภรรยาหนิงที่เงียบกริบมาตลอดจะมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้
“ท่านย่า คนในใต้หล้าต่างรู้ว่าตระกูลซั่งกวนมีลูกชายของภรรยาเอกสองคนกับลูกสาวของภรรยาเอกสองคน ถ้าใส่ชื่อจิงอิ๋งในนามของอนุภรรยาคนใดคนหนึ่ง แล้วใครจะมาเป็นคุณหนูรองของตระกูลซั่งกวนกัน?” ในขณะที่ซั่งกวนเจวี๋ยไม่ได้สนใจที่เขาพูดแบบนี้ ทว่านัยน์ตาของซั่งกวนพิงถิงก็ฉายแววดีใจ ต่อให้นางจะเป็นจิ้งจอกตัวน้อย แต่ตบะยังไม่แก่กล้าเชี่ยวชาญ จึงไม่รู้ว่าจะซ่อนความคิดในใจของนางได้อย่างไร
“จะเป็นใครได้? ยังมีพิงถิงอยู่ไม่ใช่หรือ? นางรุ่นราวคราวเดียวกับจิงอิ๋ง รู้หนังสือและมีเหตุผล ไม่ว่าอย่างไรก็ดูดีกว่า
จิงอิ๋ง” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยรู้ดีว่าเรื่องนี้รีบร้อนเกินไปอยู่บ้าง แต่ลูกศรอยู่บนสายธนูแล้วจำเป็นต้องยิงออกไป ในที่สุดนางจึงต้องเอ่ยคำพูดนั้นออกมา
“ข้าไม่มีลูกสาวพรรค์นั้น!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อดูแคลนอย่างไม่ได้ปิดบังแม้แต่น้อย ซั่งกวนพิงถิงประจบตัวนางเองอย่างระมัดระวังเสมอมา ไม่ต้องพูดถึงว่านางไม่ได้เกิดมาจากตัวเอง จึงเข้ากันไม่ติด เพียงแค่นึกถึงบุญคุณความแค้นระหว่างนางกับหนิงซิน นางจะไม่ใจกว้างขนาดนั้นที่จะปล่อยให้พิงถิงมาใช้ชื่อของนางเอง
ดวงตาของซั่งกวนพิงถิงแดงก่ำ ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังทั่วป๋าซู่เยวี่ย ร่ำไห้เสียงต่ำราวกับว่านางเจ็บปวดจากคำพูดของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ
“ท่านย่า แม้จะเป็นลูกสาว แต่การจะเปลี่ยนลูกที่เกิดจากอนุ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้ท่านกับท่านพ่อท่านแม่จะมีความตั้งใจเช่นนี้ ก็ต้องหารือกับท่านลุงของตระกูลหวงฝู่ด้วย” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวอย่างราบเรียบ นางจะเปลี่ยนชื่อลูกสาวของภรรยาเอกตามอำเภอใจได้หรือไม่? ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ ไม่ว่าอย่างไรหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็เป็นภรรยาเอกของซั่งกวนฮ่าว และเป็นน้องสาวสาย เลือดเดียวกับหัวหน้าตระกูลหวงฝู่ มันง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ?
“นี่เป็นเพียงแผนการชั่วคราวเท่านั้น ใครใช้ให้จิงอิ๋งไม่รู้เรื่องรู้ราวขนาดนั้น จนก่อให้เกิดหายนะ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวพึมพำ
“แล้วถ้าวันหนึ่งน้องอิงทำผิด จะมีการลงโทษเช่นนี้ ในตอนนั้นก็ให้น้องอวี่ฮ่าวมาแทนที่ให้เขาเป็นนายน้อยรองของตระกูลซั่งกวนดีไหมเล่า?” ซั่งกวนเจวี๋ยถามด้วยการยกตัวอย่างเดียวก็เปรียบเทียบถึงเรื่องอื่นๆ ได้ โดยไม่คิดเลยว่ามันเป็นไปไม่ได้
อนุภรรยาหวังชิ่นเซียนที่เฝ้าดูอย่างตื่นเต้นอยู่ด้านข้างมีสีหน้าซีดเผือดแล้วรีบพูดว่า “อวี่ฮ่าวไม่ได้ร่ำเรียนอะไร เขาไม่ได้เก่งกาจขนาดนั้น…คุณชายใหญ่ ถ้าเขามีความสามารถอยู่บ้าง นายท่านกับฮูหยินคงจะไม่ปล่อยเขาไปเช่นนี้!”
“ข้าแค่ยกตัวอย่างเท่านั้นเอง อนุหวังไม่ต้องกังวล!” ซั่งกวนเจวี๋ยยังคงอดทนและมีสีหน้าดีต่ออนุภรรยาคนนี้ นางเป็นคนรู้สถานการณ์ว่าอะไรควรไม่ควร ไม่โลภโมโทสัน แต่ปกป้องลูกชายอย่างอวี่ฮ่าวอย่างระมัดระวัง
“ในกรณีที่มีวันหนึ่ง ข้าก็ทำผิด ท่านย่าจะใช้อวี่ไข่มาแทนข้า และกลายเป็นลูกชายคนโตของตระกูลซั่งกวนได้หรือ ไม่?” ซั่งกวนเจวี๋ยยังคงขู่ต่อไป นี่คือสิ่งที่เขาอยากจะบอก บุตรชายของอนุภรรยาหนิง ซั่งกวนอวี่ไข่มีความคิดบางอย่างแต่น่าเสียดายที่ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนห่างกันเกินไป ลำพังแต่เป็นอนุภรรยาเพียงคนเดียวก็เป็นช่องว่างที่ผ่านไปไม่ได้
“ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยหมดแรงอย่างถึงที่สุด เหตุการณ์นี้เป็นเส้นกั้นความท้าทายเล็กน้อยของซั่งกวนฮ่าวกับซั่งกวนเจวี๋ย แต่นางต้องเสี่ยงสักครั้งเพื่อพิงถิงอันเป็นที่รักเช่นกัน นางเป็นบุตรของอนุภรรยา ไม่สามารถแต่งงานกับตระกูลชั้นสูงอย่างหลิงหลงกับจิงอิ๋งได้ ต่อให้จะแต่งเข้าไปได้ สามีต้องเป็นบุตรจากอนุภรรยา หรือจะแต่งงานในฐานะภรรยาเอกคนต่อมา ภรรยารองผิงชีหรือแม้แต่อนุภรรยา นั่นคงไม่ใช่ทางออกที่ดี!
“งั้นปล่อยเรื่องนี้ไปเถอะ พิงถิง เจ้าก็ไม่ต้องร้องไห้ ร้องไห้ไปก็ไม่มีประโยชน์” ซั่งกวนเจวี๋ยพูดอย่างไร้ความปรานี ทำไมเขาจะฟังไม่ออกว่าพิงถิงร้องไห้จริงหรือแสร้งทำกันแน่
ดูเหมือนเรื่องจะจบลงไว้แค่นี้ แต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็คือ ข่าวลือค่อยๆ แพร่กระจายออกไปจากปากใครก็ไม่อาจทราบ ข่าวลืออย่างซั่งกวนจิงอิ๋งที่บอกรักบุรุษตระกูลสูงศักดิ์แล้วถูกปฏิเสธเริ่มแพร่สะพัดออกไป และซั่งกวนจิงอิ๋งก็กลายเป็นตัวตลก…
ซั่งกวนจิงอิ๋งดูเหมือนจะเกิดมาไม่ทันคน นอกเหนือจากทำหน้าบูดบึ้ง ร้องไห้อยู่บนเตียงสองสามวัน ใช้เวลาพักฟื้นเกือบหนึ่งเดือน เมื่อนางปรากฏตัวอีกครั้ง ก็ยังเป็นเด็กสาวที่ร่าเริง มีชีวิตชีวา แก่นแก้วและไร้เดียงสาเหมือนเดิม แต่…แม่นมเฝิงเช็ดน้ำตาออกให้อย่างเงียบๆ และมีเพียงนางที่เฝ้าดูคุณหนูรองคนนี้เติบโตขึ้น คนที่เฝ้าดูแลคุณหนูรองทั้งกลางวันและกลางคืนถึงจะเข้าใจว่า หลังจากเหตุการณ์นั้น ตัวคุณหนูรองก็ไม่เหมือนเดิม เพียงแต่ได้บทเรียนผิดเป็นครู คุณหนูรองได้เรียนรู้การเล่นละคร…
———————————-