“คุณหนู แม่นมฉินจัดการอะไรไม่ถูกต้องหรือเจ้าคะ?” จื่อหลัวมองไปที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ซึ่งหน้านิ่วคิ้วขมวดและสายตาเคร่งเครียดนับตั้งแต่แม่นมฉินจากไป นางจึงพูดอย่างเป็นกังวลมาก
“วันนี้เจ้าติดตามอยู่ข้างกายแม่นมมาตลอด แม่นมพูดอะไรบ้าง จะจัดการอย่างไร เจ้าเห็นอยู่ในสายตา นางตั้งใจจะปลูกฝังเจ้าน่าจะคุยอะไรดีๆ กับเจ้าบ้าง เจ้าคิดอย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้ตอบแต่ถามกลับ ทั้งจื่อหลัวกับลู่หลัวเป็นสาวใช้ที่อยู่ใกล้ชิดนางนานที่สุดและรู้จักนิสัยใจคอของนางดีที่สุดเช่นกัน แต่ลู่หลัวไม่กล้าและระมัดระวังเท่าจื่อหลัว ไม่ว่านางหรือแม่นมฉินต่างก็คิดจะปลูกฝังจื่อหลัว
“ข้ากลับคิดว่าแม่นมจัดการได้ค่อนข้างชำนาญมือ ประการแรก นางถือสัญญาขายตัวของอู่เลี่ยนเยี่ยนไว้ในมือ ถ้าเกิดมีวันหนึ่ง นังจิ้งจอกนั่นกล้าจะต่อต้าน ก็จะเล่นงานนางได้อย่างง่ายดาย ประการที่สอง แม่นมไม่ได้ให้คนปล่อยข่าวลือโดยตรง แต่หลังจากหารือเรื่องนี้กับคุณชายซั่งกวนอย่างดี นอกจากสาวใช้และเด็กรับใช้ที่ไว้ใจได้มากที่สุดซึ่งอยู่ข้างกายคุณชายซั่งกวนแล้ว ล้วนคิดว่าแม่นมมารับอู่เลี่ยนเยี่ยนโดยเฉพาะ ที่สำคัญกว่านั้นคือ ได้ประกาศว่าท่านต้องการเลือกสาวใช้สองสามคน ทว่าไม่ได้พูดตรงๆ แต่ใช้วิธียิ่งปกปิดกลับยิ่งแจ่มชัด มิวายสาวใช้ที่ชอบพูดคุยพวกนั้นจะคาดคะเนไปต่างๆ นานามากขึ้น จะสร้างความสับสนได้ง่ายกว่า จึงกลบเรื่องที่คุณหนูหลิงหลงถูกหลอกใช้ได้อยู่หมัด แล้วถือโอกาสนี้ป้ายสีใส่อนุภรรยาอู๋” กระนั้นจื่อหลัวรู้สึกว่านางทำได้ดีมากจึงพูดอย่างจริงจังว่า “เตรียมจัดการสิ่งต่างๆ บีบอู๋เลี่ยนเยี่ยนไว้ในฝ่ามือ สอนบทเรียนให้อนุภรรยาอู๋ ช่วยกู้หน้าให้คุณหนูหลิงหลง ได้รับความประทับใจจากนายท่านซั่งกวนกับคุณชายใหญ่ ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว และไม่มีช่องโหว่แต่อย่างใด!”
“เป็นเพราะเหตุนี้จึงมีปัญหา” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดแผ่วเบาว่า “แม่นมจัดการเรื่องนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และทำได้ค่อน ข้างเหมาะสม แต่ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงรู้สึกแย่”
“ทำไมเล่าเจ้าคะ?” จื่อหลัวถามด้วยความงงงวย “ในการทำสิ่งต่างๆ ควรมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อความสมบูรณ์แบบและไม่ทิ้งโอกาสใดๆ ไว้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”
“แต่เรื่องนี้ยังไม่ถูกเวลา!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดอย่างจนใจว่า “ตอนนี้ข้ายังไม่ได้แต่งเข้าเรือน เดิมทีข้าไม่ควรสอดมือเข้าไปยุ่งในเรื่องนี้ และไม่คิดจะเข้าไปก้าวก่าย เมื่อเข้าไปยุ่งมันจะมีปัญหาตามมาอีกมากมาย แต่…บางทีอาจเป็นเพราะสีหน้าของ
หลิงหลงทำให้ข้าทนใจแข็งไม่ได้น่ะสิ ข้าจึงเข้าไปแทรกแซง ทว่าข้าไม่คาดคิดว่าแม่นมฉินตั้งใจจะสร้างบารมี เพื่อให้ผู้คนในตระกูลซั่งกวนมองข้าด้วยความชื่นชม จึงจัดการเรื่องนี้อย่างสวยงาม ที่จริงไม่สวยเสียด้วยซ้ำ”
“เพราะเหตุใดเจ้าคะ?”
“มันมากเกินไป…แม้แม่นมฉินจะรู้จักบันยะบันยัง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เราแทรกแซงเรื่องของตระกูลซั่งกวน แต่แม่นมจะคำนึงถึงจิตใจของทุกคน ได้คิดพิจารณาว่าเรื่องราวจะดำเนินไป และนั่นจะทำให้คนในตระกูลซั่งกวนรู้สึกได้ มันร้ายกาจเกินไป! พวกเขาจะเกิดความคิดตั้งแง่แม่นมฉินกับข้า ข้ามีลางสังหรณ์ว่า ซั่งกวนเจวี๋ยจะยิ่งคิดยิ่งรู้สึกกลัวมากขึ้น บางทีอาจจะไม่นานนัก เขาจะทำทุกวิถีทางดูว่าข้าร้ายกาจมากหรือไม่กันแน่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฝืนยิ้มพลางกล่าวว่า “โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่นมไม่ควรรับสัญญาขายตัวกลับมา แต่ควรหาเวลาที่เหมาะสม เช่นก่อนออกจากตระกูลซั่งกวน ส่งกลับคืนไปยังซั่งกวนเจวี๋ย อู๋เลี่ยนเยี่ยนเป็นเพียงแค่ตัวตลก ไม่เหมาะสมที่จะไปควบคุมนาง มันไม่คุ้มที่จะทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยคิดว่าข้า ‘ชอบบงการ’ และ ‘มีอำนาจ’ ในขณะเดียวกัน แม่นมก็ไม่ควรข่มขู่อู๋เลี่ยนเยี่ยน พูดทำนองว่าถ้าไม่ร่วมมือด้วย จะให้นางกินยาลูกกลอนที่มีบุตรยาก…แม้เราต่างรู้ดีว่าช่วงเวลานั้นในมือแม่นมฉินไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าขนมที่ไม่มีกลิ่น แต่ถ้าวันหนึ่ง อนุภรรยาของซั่งกวนเจวี๋ยแท้งหรือมีบุตรไม่ได้ เขาจะคิดทันทีว่าข้าทำอะไรหรือไม่ ข้าจะกลายเป็นแพะรับบาปเพราะเหตุนี้ อีกอย่าง นางไม่ควรเผชิญหน้ากับอนุภรรยาอู๋โดยตรง บางครั้งแม้เจ้ากับอีกฝ่ายจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน แต่ตราบใดที่พวกเจ้ายังไม่ถูกฉีกหน้า เช่นนั้นก็พอมีทางให้รอมชอมกันอยู่ หลังจากเหตุการณ์นี้อนุภรรยาอู๋จะเกลียดพวกเราอย่างมากแน่นอน ส่วนอู๋เลี่ยนเยี่ยนเป็นคนที่ไม่มีกำพืด ตอนนี้เพราะสถานการณ์นี้ นางจึงเออออไปกับข้า พรุ่งนี้อาจจะแทงข้างหลังข้า ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าให้คนคนนี้กับอนุภรรยาอู๋ที่จะทำให้ชีวิตยุ่งยาก”
“ที่แท้มีข้อบกพร่องมากมายเลย!” จื่อหลัวตกตะลึงอ้าปากค้าง นางคิดว่าทำทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์แล้วด้วยซ้ำ!
“แต่ไม่เป็นไร บัดนี้ยังมีเวลาแก้ไขได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รีบร้อนพลางกล่าวว่า “เรื่องนี้ยังได้เปรียบที่สุดจนถึงตอนนี้ เพราะแม่นมฉินเป็นผู้จัดการ ข้าแค่ขอให้แม่นมฉินออกหน้าต่อหน้าหลิงหลงกับน้องสาว บอกให้นางปฏิบัติต่ออู๋เลี่ยนเยี่ยนในฐานะสาวใช้ทดลองอยู่ก่อนแต่งของข้า แม้หลิงหลงและคนอื่นๆ อาจจะมองออกได้เช่นกัน เรื่องนี้อาจจะทำได้รัดกุมกว่านี้ถ้าข้าไปทำ แต่ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น จึงยังมีที่ว่างให้ผ่อนคลาย จำไว้ว่าหลายวันนี้พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องทำสีหน้าดีอะไรกับอู๋เลี่ยนเยี่ยน ทว่าไม่จำเป็นต้องทำให้นางลำบากใจ ปล่อยให้แม่นมเจ้าสอนกฎให้นาง ลบมาดท่าทางที่ไม่พึงปรารถนาของนางพวกนั้นให้ข้า อย่าแสร้งทำเป็นผู้หญิงเก่ง เข้าใจหรือไม่?”
“เจ้าค่ะ คุณหนู!” จื่อหลัวผงกศีรษะ
“อีกอย่าง มีอารามหลายแห่งใกล้สระบัวนี้ เจ้าไปลองหยั่งเสียงบรรดาแม่นมในเรือน ดูว่าอารามไหนกลิ่นควันคลุ้งอารามไหนมีเสี่ยงเซียมซี ที่สำคัญที่สุดคือ ฮูหยินกับฮูหยินใหญ่ของตระกูลซั่งกวนล้วนชอบจุดธูปไหว้พระและกินเจเป็นประจำ พวกนางมักจะไปอารามสักแห่ง ไม่ว่ามิตรภาพจะดีขึ้นหรือไม่ ควรไปอารามจะดีที่สุด ข้าจะเลือกสักวันไปสักการะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์วางแผนไว้มากมาย
“เจ้าค่ะ คุณหนู!” จื่อหลัวพยักหน้า
“เจ้าลงไปก่อนเถิด เรียกเซียงเสวี่ยมาล้างหน้าให้ข้า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าจื่อหลัวในยามนี้ต้องการเวลาคิดวิเคราะห์เรื่องของวันนี้ และนางยังไม่มีประสบการณ์มากพอ
“คุณหนู อู๋เลี่ยนเยี่ยนคนนั้นจะเป็นภัยหายนะไม่ช้าก็เร็ว” เซียงเสวี่ยพูดสั้นๆ นางเชี่ยวชาญในการล้างเครื่องประทินโฉมออกจากใบหน้าให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์มาก
“ไม่เห็นต้องกังวลอันใด ไม่จำเป็นต้องคิดเผื่อนาง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ถึงเจตนาของเซียงเสวี่ยจึงพูดว่า “ต่อให้ข้าจะยอมปล่อยนางไป แต่อนุภรรยาอู๋ก็ไม่เต็มใจจะให้นางอยู่อย่างสงบสุข ไม่ต้องพูดถึงยังมีหลิงหลงอีกคนหนึ่งที่ถูกนางใส่ร้าย เกือบทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ข้าเต็มใจจะปฏิบัติต่อนางอย่างดี ซั่งกวนเจวี๋ยมีหญิงงามคนสนิทอยู่แล้วสามคน เพิ่มนางมาอีกคนก็ไม่มีผลอะไรกับข้า”
“ได้ยินมาว่าหญิงทั้งสามคนนั้นไม่ได้อาศัยอยู่ในตระกูลซั่งกวนแล้ว แต่ถูกส่งตัวไปที่เรือนหิมะสุขใจ คุณหนูไม่รู้สึกว่าพวกนางขวางหูขวางตาหรือเจ้าคะ?” เซียงเสวี่ยเล็มคิ้วของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างระมัดระวัง และเตรียมแต่งหน้าให้นาง
“ข้าไม่คิดมากกับซั่งกวนเจวี๋ย ตราบใดที่ผู้หญิงทั้งสามไม่เริ่มมายั่วยุข้าก่อน ข้ายินดีจะให้พวกนางติดต่อกับซั่งกวนเจวี๋ย และให้ความสงบสุขแก่ข้า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่สนใจเรื่องเหล่านั้น แต่พูดอย่างจริงจังว่า “ฮูหยินซั่งกวนจะมาในวันสองวันนี้ ข้าต้องการแต่งหน้าที่สวยและเหมาะสมกว่านี้เพื่อรับหน้ากับนาง”
“คุณหนูเชิญพูดเจ้าค่ะ” เซียงเสวี่ยเข้าใจความหมายของนาง
“ดูเหมือนว่าจะนุ่มนวลขึ้น อ่อนแอ อ่อนโยน แสร้งทำเป็นไม่แยแส เข้าอกเข้าใจผู้คน มีความคิดแต่ไม่แข็งกร้าว…อะไรทำนองนั้นสินะ” คำสั่งของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่วนใหญ่จะเป็นเช่นนี้
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยเล็มคิ้วของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างตั้งใจ คล้อยหลังจึงปรับแต่งใบหน้าให้นางอย่างระมัดระวัง คิ้วโก่งเรียวดังใบหลิวยังคงเหมือนเดิม แต่กันคิ้วที่เกินและยุ่งนิดหน่อยออกไป ดูแล้วค่อนข้างน่าพอใจ แต่นางดูอ่อนแอและรู้สึกหนักใจเล็กน้อย เขียนหางตากดลงบางๆ ไม่ให้รู้สึกว่ามีลักษณะใฝ่สูง มุมปากยกขึ้นน้อยๆ ทำให้ใบหน้าของนางดูนุ่มนวล แม้จะเคร่งเครียดก็ตาม แก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อ เจือความเขินอายอยู่บ้าง คางกระชับรับกัน แต่ก็มีความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นเล็กน้อย
“ต้องอย่างนี้สิ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พึงพอใจมากพลางกล่าวว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป ก็ทำแบบนี้ จึงจะซ่อนสีหน้าซีดขาวไว้ได้บ้าง หากไม่เข้ามามองใกล้ๆ จะจับความซีดขาวไม่ได้”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยเช็ดแป้งสีชาดออกจากแก้มทั้งสองข้าง เติมแป้งสีขาวเพิ่มอีกบางๆ แล้วเติมแป้งสีแดงเกลี่ยทับลงไปจนแดงมีเลือดฝาด ใบหน้าดูเปล่งปลั่ง แต่เผยให้เห็นสีหน้าเหมือนป่วยไข้และเหนื่อยล้าจนยากจะปิดบัง
“ไม่ได้! จะดูเหมือนป่วยไม่ได้ แต่ต้องเหนื่อยแบบไม่สบายใจ เติมแป้งสีขาวหนาขึ้นอีกหน่อย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จู้จี้จุกจิกมาก จากนั้นก็ลงมือทำเอง และเปลี่ยนจนได้สิ่งที่นางต้องการอย่างรวดเร็ว
“คุณหนูเก่งมากเจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยชมนางด้วยความจริงใจ
“ข้าเรียนมานาน เจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมาก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รับคำชื่นชมของนางแล้วกล่าวว่า “แม้วันแต่งงานจะใกล้เข้ามา แต่เสื้อผ้าของข้าส่วนใหญ่จะเป็นสีเรียบๆ ถึงแม้ข้าจะไม่ได้ไว้ทุกข์ให้ท่านแม่เป็นเวลาสามปี แต่ยังไว้ทุกข์ได้ถึงร้อยวัน”
“ท่านป้าไม่ต้องการให้ท่านเป็นแบบนี้นะเจ้าคะ” เซียงเสวี่ยพูดอย่างจริงจังว่า “ในสายตาของท่านป้า การให้ท่านแต่งเข้าตระกูลซั่งกวนไม่ใช่การแก้แค้น แต่เป็นการตอบแทนความแค้นด้วยคุณธรรม ถ้าไม่ใช่เพราะซั่งกวนเจวี๋ยโดดเด่นจริงๆ จะเป็นคู่ครองที่ดีของท่าน ท่านป้าคงจะไม่บังคับท่าน”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านป้าต้องให้ข้าทำตามสัญญาหมั้นหมายนี้ด้วย?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามโดยไม่หวังอะไร
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ” เซียงเสวี่ยจัดผมให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเบามือแล้วพูดว่า “ได้เวลาแล้ว ท่านก็ควรพักผ่อน ข้าล้างเครื่องประทินโฉมออกให้ท่านแล้ว หลายวันนี้ก็ให้ข้าเฝ้ายามเถิดนะเจ้าคะ”
“เจ้ากังวลคนของตระกูลซั่งกวนหรือหญิงงามคนสนิทของซั่งกวนเจวี๋ยพวกนั้นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดอย่างบึ้งตึง “ฝีมือของเจ้ายังไม่เข้าขั้น ข้าเองจะดีกว่า”
“ข้าไม่ห่วงเรื่องพวกนั้นเจ้าค่ะ” ในที่สุดเซียงเสวี่ยก็ล้างใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์จนสะอาดสะอ้าน ทาเครื่องประทินผิวเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวพรรณของนางและพูดว่า “ที่นี่คือเรือนอีกหลังของตระกูลซั่งกวน และเป็นที่ที่ท่านอาศัยอยู่ จะเข้ามาหาในตอนกลางวันได้ง่ายมาก แต่เมื่อฟ้ามืดลง จำนวนผู้คุ้มกันจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า คงไม่มีใครสุ่มสี่สุ่มห้าเข้ามา แน่นอนว่าถ้าซั่งกวนเจวี๋ยสนใจท่านในทันใด ต้องการจะมาดูว่าท่านเป็นอย่างไรก็ง่ายมากเช่นกัน มิวายคนเหล่านั้นคงไม่กล้าขัดขวาง”
“ทำไมเป็นเช่นนั้นเล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มเจื่อน ไม่ได้ซ่อนความไม่สบายใจของตนต่อหน้าเซียงเสวี่ย
“หมู่นี้ท่านอารมณ์ไม่ดีนัก ต้องรวบรวมลมปราณให้ดีนะเจ้าคะ” เซียงเสวี่ยกล่าวอย่างจริงจังว่า “แม้วรยุทธ์ของท่านจะเลิศล้ำและซ่อนเร้นได้ดี แต่ในสถานการณ์ยามนี้ของท่าน ถ้าพบซั่งกวนฮ่าวกับลูกชายคงจะปิดบังพวกเขาไม่พ้น! ท่านป้าได้บอกว่า ทักษะของซั่งกวนเจวี๋ยนั้นเหนือกว่าท่านมาก ท่านฝึกด้วยกำลังตัวเองจริงๆ ท่านป้าก็มีบาดแผลฟกช้ำภายในร่างกาย ยังไม่หายดีอยู่เรื่อยมาและพิษยังไม่ชัดเจน จึงไม่ได้ให้ความช่วยเหลือท่านในเรื่องนี้ ส่วนซั่งกวนเจวี๋ยเองก็เป็นผู้มีความรู้ความ สามารถ ได้รับการทุ่มเทปลูกฝังจากตระกูลซั่งกวนอยู่เบื้องหลัง ท่านไม่อาจเปรียบเทียบกับเขาได้เลยเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่โกรธ นางรู้ว่าเซียงเสวี่ยพูดความจริง เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ จึงกล่าวว่า “บางทีพรุ่งนี้หรือวันมะรืนนี้ หวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะมาพบข้า ข้ามีลางสังหรณ์ ซั่งกวนเจวี๋ยอาจจะมาด้วย”
“ลางสังหรณ์ของท่านแม่นยำนัก” เซียงเสวี่ยเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะระวังให้มากขึ้น วิชาหลักของข้าคือกำลังภายนอก ไม่มีกำลังภายใน จึงไม่มีอันตรายใดๆ ให้จับได้เลย เพียงแต่ตามธรรมเนียมแล้ว ท่านกับซั่งกวนเจวี๋ยจะพบกันไม่ได้”
“ข้าไม่คิดว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะเป็นคนคร่ำครึ บางทีเขาอาจปลอมตัวเป็นแม่นมข้างกายหวงฝู่เยวี่ยเอ้อมาพบข้า ยามนี้เขาคงอยากรู้มากเป็นแน่ว่าข้าเป็นคนเช่นไร” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดอย่างมั่นใจมาก
“นั่นสิเจ้าคะ” เซียงเสวี่ยยิ้มแล้วพูดว่า “ซั่งกวนจิงอิ๋งผู้ฉลาดแก่นแก้ว ซั่งกวนหลิงหลงผู้กระหยิ่มยิ้มย่องและบ่นตัดพ้อตัวเอง ต่างชื่นชมท่านในเวลาอันสั้น บวกกับแม่นมฉินที่ออกหน้าในวันนี้ เขาไม่อยากรู้อยากเห็นก็แปลกนะเจ้าคะ!”
“แม่นมฉินยังใจร้อนอยู่นิดหน่อย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทอดถอนใจ
“อันที่จริงหากมองจากมุมอื่นออกจะไม่ใช่เรื่องดีเจ้าค่ะ” เซียงเสวี่ยพูดว่า “แม่นมฉินทำสำเร็จอย่างรวดเร็วเช่นนี้ แม้จะทำให้ผู้คนหวาดกลัวเล็กน้อยไปสักพัก แต่ก็ยังสร้างความรู้สึกว่าเป็นคนน้ำนิ่งไหลลึกไม่พอ ท่านถอยออกมาหน่อยก็เหมาะแล้ว จะสมบูรณ์แบบมาก! อีกอย่าง มีวิธีแก้ไขอีกมากไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”
“โชคดีที่ยังมีเจ้าอยู่เคียงข้างข้า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจพลางกล่าวว่า “ไม่งั้นข้าก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรเพราะอึดอัดกระอักกระอ่วนใจ”
“ท่านป้าช่วยชีวิตข้า สั่งสอนข้า เมื่อนางจากไปแล้ว ก็ยังมีคนที่จะพูดคุยอยู่ข้างกายท่านนะเจ้าคะ” เซียงเสวี่ยไม่ได้บ่นตัดพ้อ เพียงแค่นั่งนิ่งเท่านั้น
“ข้าจะชะล้างลมปราณในร่างกาย แล้วคงจะสบายขึ้น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า เข้านอน เอามุ้งลง จากนั้นนั่งสมาธิ และเริ่มฝึกฝนเป็นเวลานาน
——————————————-