“หลังแต่งงานไม่อยู่ร่วมห้องหอ ต้องไว้ทุกข์ให้แม่บุญธรรมเป็นเวลาร้อยวันหรือ?” ซั่งกวนฮ่าวระงับความโกรธไว้แล้วจ้องเขม็งหวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่หวาดกลัวเล็กน้อย นี่เป็นผลที่นางไปเยี่ยมเยี่ยนมี่เอ๋อร์หรือ? จึงถูกเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้เสียหน้าไม่น้อย!
“นั่นคือความมุ่งหวังของนางเช่นกัน!” ในช่วงเวลาสำคัญนี้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อยังค่อนข้างหวาดกลัวซั่งกวนฮ่าวอยู่บ้าง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าไม่รู้ ในยามนั้นมี่เอ๋อร์พูดถึงนางกับแม่บุญธรรมที่ไม่ใช่แม่ลูกกันผู้นั้นอย่างรักใคร่ แต่เป็นมิตรภาพที่ดีกว่าแม่กับลูกเสียอีก ข้าตื้นตันใจจนอยากร้องไห้ ย่อมอยากจะเติมเต็มความรู้สึกให้นาง”
“นางร้องไห้สินะ!” ซั่งกวนฮ่าวรู้จักหวงฝู่เยวี่ยเอ้อค่อนข้างดี ในตอนนั้นอู๋น่งอวิ๋นเคยร้องห่มร้องไห้เพื่อเอาชนะใจนาง เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็มิวายเป็นเช่นเดียวกัน
“ไม่ร้องไห้ได้หรือ? นั่นคือแม่บุญธรรมของนางเชียวนะ!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ร้องห่มร้องไห้นั้นเป็นเรื่องปกติ ถ้าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มได้ในยามนั้นสิถึงแปลกพิลึก!
“เจ้าก็เลยใจอ่อน เห็นด้วยกับคำขอที่ไร้สาระนี้ของนางใช่หรือไม่?” ซั่งกวนฮ่าวเหล่มองนาง ทำไมนางถึงไม่เรียนรู้บ้าง ขณะที่หลิงหลงและจิงอิ๋งร้องไห้ ‘โฮๆ’ เหตุใดไม่ยักจะเห็นนางใจอ่อน? แต่เขาลืมไปว่าหนึ่งในบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาสองคนนั้นยามร่ำไห้จะถลึงตาจ้องมองผู้คนอย่างเหี้ยมเกรียม ดูเหมือนทะเลแห่งความชิงชังก็ไม่ปาน ทำให้ผู้คนไม่อาจสงสารได้เลย ยังอยากจะลงโทษนางต่อเสียด้วยซ้ำ ส่วนอีกคนหนึ่งร้องไห้จนน้ำมูกน้ำตาไหล ร้องไห้อย่างไรให้น่าเกลียดได้ถึงเพียงนั้น แม้กระทั่งเสียงคร่ำครวญยังดังเสียจนฟ้าสะเทือน รังแต่จะทำให้ผู้คนปวดหัวและชวนขบขัน ไม่แม้จะสะเทือนใจแต่อย่างใด!
“ใช่…” เสียงของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อทั้งต่ำและเบาลง นางรู้ว่าเรื่องนี้จัดการยากเสียเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงขั้น ‘ไร้สาระ’ หรอก! ยิ่งไปกว่านั้นเจวี๋ยเอ๋อร์ยังไม่ได้ทักท้วง(ถ้าทักท้วงจะไม่ถูกนางตราหน้าว่า ‘มักมาก’ หรือ?) ซั่งกวนจิ่นก็เห็นด้วยเช่นกัน แล้วไฉนเขาถึงโกรธขนาดนี้?
ซั่งกวนฮ่าวจะไม่โกรธได้อย่างไร…แต่ความโมโหเต็มสิบมีแค่เจ็ดส่วนเป็นเพราะความเดือดดาลของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ เขาไม่เข้าใจว่า ทำไมหวงฝู่เยวี่ยเอ้อถึงไม่เรียนรู้เสียทีว่าเพราะความใจอ่อนชั่วขณะ ทำให้นางต้องตกเป็นเบี้ยล่างเพียงใด!
“ถ้าอย่างนั้นนางก็ถือโอกาสขอบคุณเจ้า แล้วแจ้งให้เจ้าแน่ใจในเรื่องนี้?” ซั่งกวนฮ่าวไม่คิดก็รู้ว่าจะไม่มีใครยอมทิ้งโอกาสนี้โง่โดนหลอกใช้(หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็เช่นกัน) ดูท่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่ใช่คนดีอะไร!
“เปล่า!” เสียงของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อดังขึ้นเล็กน้อยในครั้งนี้ และพอใจกับความรอบคอบของเยี่ยนมี่เอ๋อร์มากขึ้น ถ้าไม่ใช่ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ปฏิเสธ นางจึงตอบกลับได้ทันที ไม่อย่างนั้นนางจะต้องถูกซั่งกวนฮ่าวจ้องเขม็งจนตายไปข้างหนึ่งแน่
“เอ๊ะ? นางไม่ได้ให้เจ้ารับหน้าที่เกลี้ยกล่อมพวกเราหรือ?” ซั่งกวนฮ่าวผงะ ไม่นึกเลยว่านางจะไม่ฉวยจังหวะตีสนิทกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ การที่นางไม่คว้าโอกาสเช่นนี้ หรือเป็นคนใจดีมีน้ำใจจริงๆ ล่ะ?
“มี่เอ๋อร์บอกว่าจะไม่ให้ข้าถูกชักจูงเพราะนางคุกเข่าหรือบีบน้ำตา ขอให้ข้าพิจารณาอย่างใจเย็น จากนั้นให้คำตอบกับนางหลังจากหารือกับพวกเจ้า” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดอย่างมั่นใจว่า “ตอนนี้ข้าไม่ได้ปรึกษากับพวกเจ้าหรือ? ข้ายินดีจะเติมเต็มมี่เอ๋อร์ พวกเจ้าเองก็จัดการไปตามสมควร!”
ซั่งกวนฮ่าวมองหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออย่างแปลกใจระคนชวนขัน จู่ๆ ก็มีท่าทีแข็งขัน ในใจก็พอใจในตัวเยี่ยนมี่เอ๋อร์ขึ้นอีกเล็กน้อย…ถึงความกตัญญูที่มีต่อแม่บุญธรรม ไม่ลังเลว่าจะทำให้ครอบครัวของสามีขุ่นเคืองจึงเอ่ยคำขอนี้ และสงบเสงี่ยมเจียมตน รู้จักกาลเทศะ ไม่ฉวยโอกาสที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อมีอาการวิงเวียนศีรษะชั่วขณะ ก่อให้เกิดข้อเท็จจริงที่ยอมรับได้ ไม่ให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อลำบากใจเพราะเป็นคนกลาง ถือว่าไม่เลว!
“ข้าก็เห็นด้วย!” ซั่งกวนจิ่นแสดงท่าทางที่ยากจะได้เห็นออกมา ปล่อยให้ซั่งกวนฮ่าวและลูกชายมองค้อน ทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อมองเขาอย่างพอใจครู่หนึ่ง…
“ลุงจิ่นคงประทับใจคุณหนูเยี่ยนมี่เอ๋อร์มากทีเดียว!” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกงงงวยเล็กน้อย เยี่ยนมี่เอ๋อร์คนนั้นดีจริงหรือ? มารดาเข้าข้างนางเสมอไม่ต้องพูดเลย ทั้งจิงอิ๋งและหลิงหลงก็เชื่อใจนางมากเช่นกัน ตอนนี้แม้กระทั่งลุงจิ่นก็ยังอยู่ข้างนางอีก? ผู้หญิงคนนั้นมีเสน่ห์ตรงไหนกันแน่? ไม่ใช่แค่ข่าวลือแพร่กระจายหรอกหรือ? ซั่งกวนเจวี๋ยจำได้ว่าในสองสามวันนี้พวกสาวใช้มองตนด้วยสายตาแปลกๆ จึงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความแค้น…เขาไม่มีทั้งอนุภรรยาหรือเมียบ่าว นั่นเป็นเพราะเขารู้จักเอาตัวรอดและก็เป็นเพราะมีอคติอยู่ในใจ ทว่าผู้หญิงคนนั้นคิดว่าเขามี ‘โรคร้ายซ่อนอยู่’ หรือ ‘โรคมักมากในกาม’ ได้อย่างไรเล่า? สิ่งที่น่าเกลียดยิ่งไปกว่านั้นคือไม่เพียงแก้ต่างให้ตัวเองไม่ได้ ยังต้องร่วมมือกับนาง ถึงขั้นต้องขอบคุณนางด้วยซ้ำ…
“คุณหนูเยี่ยนเป็นคนกตัญญูจริงๆ” ซั่งกวนจิ่นค่อนข้างแน่ใจในประเด็นนี้จึงพูดว่า “คุณหนูเยี่ยนยอมเอาเครื่องประดับชั้นยอดของตัวเองไปจำนำเพื่อซื้อโสมคนมายื้อชีวิตของป้าโม่ แล้วนางก็คอยปรนนิบัติอยู่ทั้งวัน คนธรรมดาไม่อาจทำได้ เมื่อป้าโม่สั่งเสียให้เผาศพยามที่นางเสียชีวิต คุณหนูเยี่ยนจุดไฟเผาด้วยตัวเอง และเฝ้าดูการเผาศพด้วยตาของนางเอง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่คุณหนูทั่วไปจะทำได้ หลังจากเหตุการณ์นั้น คุณหนูเยี่ยนสลบไปสามวันสามคืนเต็มๆ เพราะโศกเศร้าเสียใจ ยิ่งไม่ใช่การ
เสแสร้งแกล้งทำ ทำให้ผู้คนเห็นอกเห็นใจและชื่นชม ในระหว่างเดินทาง คุณหนูเยี่ยนมักจะแต่งกายด้วยอาภรณ์เรียบง่ายแต่งหน้าตามสมควร เมื่อวานนี้ข้าถามคนจากเรือนสดับวายุ คุณหนูเยี่ยนก็เป็นเหมือนเดิมยามอยู่ในเรือนสดับวายุ นางแต่งกายเรียบง่ายกินมังสวิรัติ เห็นได้ชัดว่าไว้ทุกข์ให้กับป้าโม่ผู้นั้น!”
เนื่องจากไม่เคยสังเกตเห็นสิ่งนี้! คนในตระกูลของซั่งกวนฮ่าวทั้งสามมองหน้ากันแวบหนึ่งและไม่พูดอะไรสักคำ
“ข้าก็ไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณหนูเยี่ยนในแง่มุมอื่น แต่เรื่อง ‘กตัญญู’ ข้ารับรองได้!” ซั่งกวนจิ่นพูดอย่างตรงไป ตรงมา คนในตระกูลซั่งกวนค่อนข้างชมชอบความ ‘กตัญญู’ เพราะการทำให้ซั่งกวนจิ่นประเมินได้เช่นนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“เจวี๋ยเอ๋อร์ เจ้ามีความคิดเห็นเช่นไร?” ซั่งกวนฮ่าวยังค่อนข้างเคารพความคิดเห็นของลูกชาย เขาเป็นตัวเอกในการโล้สำเภา ไม่ว่าตนจะกระตือรือร้นแค่ไหนก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อความรู้สึกของคนอื่นได้ใช่หรือไม่?
“ข้าไม่มีความเห็น!” ซั่งกวนเจวี๋ยค่อนข้างกลัดกลุ้ม เขาพูดว่า ‘ไม่’ ได้หรือ? มารดาบอกว่านางมีใจกตัญญู ลุงจิ่นก็เทิดทูน ‘ความมีน้ำใจ’ ของนาง หากตนไม่เห็นด้วย ไม่เท่ากับทำลายความกตัญญูรู้คุณของผู้อื่น และเพิกเฉยต่อ ‘ความมีน้ำใจ’ ของทั้งตระกูลที่ยึดมั่นมาตลอด มิหนำซ้ำยังถูกตราหน้าว่า ‘น่าบัดสี’ หรือ ‘มักมาก’ อีกด้วย
“ถ้าอย่างนั้นก็ตัดสินใจเช่นนี้!” ซั่งกวนฮ่าวรู้ดีว่าลูกชายจะต้องเต็มไปด้วยความคั่งแค้นและความโกรธ ถ้าเขาอยู่ในสภาพเดียวกับซั่งกวนเจวี๋ยก็คงไม่ดีไปกว่ากัน แต่ช่างเถอะ…เขายิ้มเยาะในความเคราะห์ร้ายอยู่บ้าง นานๆ ทีจะได้เห็นลูกชายกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ ก็สนุกดี!
“แล้วข้าจะตอบกลับมี่เอ๋อร์ในวันพรุ่งนี้” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อดีใจมาก จัดการเรื่องนี้ได้อย่างราบรื่นและอธิบายให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฟังได้ อย่างไรก็ตาม จู่ๆ นางก็ถามอย่างว้าวุ่นใจนิดหน่อย “พวกเจ้าคิดว่าข้าเป็นแม่ที่ล้มเหลวหรือไม่?”
เกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว? ซั่งกวนฮ่าวไม่เข้าใจว่าทำไมหวงฝู่เยวี่ยเอ้อถึงโพล่งคำถามเยี่ยงนี้ออกมาในฉับพลัน แต่ก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินซั่งกวนเจวี๋ยบ่นตัดพ้ออย่างไม่ไว้หน้าเลยว่า “ในที่สุดท่านก็รู้ตัวเสียที!”
“ใครพูดอะไรกับเจ้า?” ซั่งกวนฮ่าวจ้องซั่งกวนเจวี๋ยอย่างถมึงทึงปราดหนึ่ง ไม่ได้สนใจการยักคิ้วหลิ่วตาที่หายากของซั่งกวนจิ่น แล้วถามหวงฝู่เยวี่ยเอ้อด้วยความห่วงใย เขาไม่คิดว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะจู่ๆ ก็ตาสว่าง แล้วรับรู้ว่าตนบกพร่องต่อหน้าที่แค่ไหน
“ข้าถามมี่เอ๋อร์ว่าเหตุใดถึงต้องรับเผือกร้อนจากอู๋เลี่ยนเยี่ยน นางบอกว่าเป็นเพราะท่าทางของหลิงหลงจึงทำให้นางเก็บคำปฏิเสธกลับไป ปฏิกิริยาแรกของข้าคือ ข้าถามนางว่าหลิงหลงคุกคามนางหรือไม่ ส่วนนางดูมีสีหน้าประหลาดใจและงงงวยจึงถามข้ากลับว่าทำไมข้าถึงพูดเช่นนั้น แม้นางจะไม่พูดอะไรเลย แต่ข้าก็มองออกว่านางไม่เข้าใจ ว่าไฉนหลิงหลงถึงเฉยเมยข้าขนาดนั้น นางบอกว่า สิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดในใต้หล้านี้คือแม่กับลูกสาว เลยไม่เข้าใจว่าทำไมข้าถึงเหินห่างจากหลิงหลง” ในใจของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อยังใส่ใจปฏิกิริยาและคำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ในขณะนั้น นางหวังอยู่เรื่อยมาว่าจะมีลูกสาวที่เอาใจใส่ ทว่าลูกสาวทั้งสองคนต่างไม่ใส่ใจ จึงเป็นเรื่องที่นางพะว้าพะวังมาตลอด และมักจะรู้สึกว่าเป็นความผิดของหลิงหลงกับจิงอิ๋ง ไม่ทันคาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะชี้ให้เห็นว่านั่นเป็นความผิดของนางอยู่ในที
“อย่างนั้นหรือ?” ไยเป็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์อีกแล้ว? ซั่งกวนฮ่าวขมวดคิ้ว
“ข้าก็คิดไม่ออกจริงๆ! เห็นอยู่ทนโท่ว่าหลิงหลงไม่สนใจไยดี จิงอิ๋งก็เหมือนลิงป่า ทำไมในความคิดของมี่เอ๋อร์กลับเป็นข้าที่ไม่รู้จักพวกนางมากพอ? พวกนางเกิดจากข้า ข้าไม่เข้าใจพวกนางได้หรือ?” ทันใดนั้นหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็รู้สึกรำคาญเล็กน้อยแล้วพูดว่า “นางบอกว่าอะไรนะหลิงหลงเป็นเม่น ใช้หนามแหลมที่มีอยู่ทั้งตัวปกปิดจุดอ่อนของตัวเอง เหตุใดนางไม่เห็นว่าข้าถูกหลิงหลงแทงจนหัวพรุนไปหมดแล้ว ข้าโดนหนามนั่นแทงจนปวดศีรษะอย่างน่าอนาถ!”
เหมาะสมจริงๆ! ทั้งซั่งกวนฮ่าวกับลูกชายและซั่งกวนจิ่นค่อนข้างเห็นด้วยกับคำอธิบายของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แต่ก็ยิ้มให้กับข้ออ้างของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ แม่ลูกสาวเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันอย่างแท้จริง ไม่สำคัญว่าจะสนิทกันหรือไม่ สิ่งสำคัญคือไม่หาเรื่องกันก็ดีแค่ไหนแล้ว
“ยังมีอีกหรือไม่?” ซั่งกวนฮ่าวกลั้นใจถามด้วยรอยยิ้ม เขาชื่นชมลูกสะใภ้ที่ยังไม่ได้ผ่านประตูห้องหอผู้นี้มากขึ้นเรื่อยๆ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง จะพบลูกสะใภ้ที่ชื่นชมและเต็มใจจะปฏิบัติต่อลูกสาวตัวน้อยทั้งสองอย่างดีนั้นไม่ง่ายเลย เขาและซั่งกวนเจวี๋ยสมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน จึงผุดความคิดหนึ่งขึ้นในใจ ‘พี่สะใภ้ใหญ่ประหนึ่งมารดา ปล่อยให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์รับ ‘ตำแหน่งแม่’
ชั่วคราวก็ไม่เลว
หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดซ้ำคำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เกี่ยวกับ ‘จิงอิ๋งดุจพฤกษา’ และ ‘หลิงหลงดั่งมาลี’ ไม่เพียงซั่งกวนฮ่าวและลูกชายเท่านั้น แม้แต่ซั่งกวนจิ่นก็เกิดความคิดอยากจะยกหลิงลี่ลูกสาวในไส้ให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่งสอน
“อะแฮ่ม…ข้าคิดว่านั่นเป็นเพราะคุณหนูเยี่ยนยังไม่เข้าใจสถานการณ์ของตระกูลซั่งกวน และไม่รู้ว่าคุณหนูชนชั้นสูงเอาแต่ใจยิ่งนัก จะเข้าใจผิดเช่นนั้นก็เป็นเรื่องปกติ” ซั่งกวนฮ่าวปลอบใจภรรยาว่า “เจ้าลองคิดดูสิ เจวี๋ยเอ๋อร์เป็นหนึ่งในตองอูท่ามกลางบรรดาลูกหลานของตระกูลขุนนางรุ่นนี้ หลิงหลงเป็นดรุณีมากฝีมืออันลือลั่น ทั้งยังหมั้นหมายกับตระกูลชุย ส่วนจิง อิ๋งเป็นเด็กไร้เดียงสา มีชีวิตชีวาและน่าเอ็นดู อิงเอ๋อร์ก็ค่อนข้างโดดเด่นเช่นกัน ถ้าเจ้ามีลูกแบบนี้แล้วยังไม่สมกับฐานะพอ เช่น นั้นก็มีตระกูลขุนนางไม่มากนักที่นายหญิงของตระกูลจะถือว่ามีอำนาจ!”
หลังจากฟังคำพูดของซั่งกวนฮ่าว หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็โล่งใจทันที จริงด้วย นางมีลูกสี่คนแท้ๆ แต่ละคนล้วนยอดเยี่ยม ไม่เอะใจสักนิดว่าซั่งกวนฮ่าวจงใจสับเปลี่ยนแนวคิดระหว่าง ‘มารดา’ และ ‘นายหญิง’
ซั่งกวนเจวี๋ยพูดไม่ออกบอกไม่ถูก บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่า ทำไมบิดาถึงจับจุดมารดาที่ค่อนข้างเชื่องช้าและโกรธจนผมชี้ขึ้นมาไว้ในฝ่ามือได้ ทั้งยังหวานปานน้ำผึ้ง ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาก็คงทรุดไปตั้งนานแล้ว เขายังคงชอบสตรีที่เย็นเยียบเฉลียวฉลาด ใจเย็นและมีสติสัมปชัญญะ หวังว่าภรรยาคนนั้นที่เขาไม่ได้คาดหวังผู้นั้นจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง
หลังจากปลอบโยนหวงฝู่เยวี่ยเอ้อและเกลี้ยกล่อมให้นางออกไปด้วยความชื่นมื่น ซั่งกวนฮ่าวได้มอบหมายภารกิจหนึ่งให้กับซั่งกวนเจวี๋ยอย่างไม่เกรงใจ นั่นคือ ‘ไม่ว่าเขาจะทำอะไร หลังแต่งงานจำเป็นต้องให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็น ‘พี่สะใภ้ใหญ่ประหนึ่งมารดา’ และทำหน้าที่ ‘มารดา’ ของหลิงหลงและจิงอิ๋งไปพร้อมกัน’ ส่วนซั่งกวนจิ่นอยากขอแทรกคำหนึ่งว่า ยังมีหลิงลี่ด้วย!
ซั่งกวนเจวี๋ยฝืนยิ้มแล้วให้คำมั่นสัญญา เขาก็หวังว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะเข้ากับน้องสาวทั้งสองได้ และหวังว่านางจะทำให้น้องสาวทั้งสองคนเปลี่ยนแปลงดีขึ้นได้บ้าง แต่ซั่งกวนฮ่าวไม่จำเป็นต้องพูดให้ชัดเจนเช่นนี้ก็ได้ ขาดแต่ไม่ได้พูดว่าไม่ให้เขาแต่งเมีย แต่หา ‘แม่’ ให้น้องสาวสองคน ไม่สิ สามคนต่างหาก! ในความเป็นจริง เขาต้องการตอบกลับซั่งกวนฮ่าวประโยคหนึ่งว่า ‘ไม่อย่างนั้นท่านมาแต่ง แล้วนางก็จะเป็น ‘แม่’ ของเด็กผู้หญิงเหล่านั้นได้อย่างถูกหลักทำนองคลองธรรม’ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ยังรู้สึกเบาปัญญาเกินไป จึงกลืนคำนั้นลงไป
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ซึ่งอยู่เรือนสดับวายุอันห่างไกลยิ่งไม่รู้ว่านางพร้อมจะเป็น ‘แม่’ ก่อนจะเปลี่ยนจากสาวน้อยเป็นหญิงสาวที่ออกเรือนแล้วเสียด้วยซ้ำ…
———————————————–