“ท่านแม่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์น้อมคำนับหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออย่างนอบน้อม นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดหวงฝู่เยวี่ยเอ้อถึงเรียกตัวเองมาตามลำพัง ในช่วงไม่กี่วันนี้สะใภ้ใหญ่และคุณหนูจากตระกูลชั้นสูงต่างๆ ล้วนทยอยกล่าวลากลับไป ซั่งกวนเจวี๋ยต้องอยู่ร่ำสุราพูดคุยกับบรรดาคุณชายที่จะจากไปในวันรุ่งขึ้นเกือบทุกคืน ส่วนนางก็ต้องพูดอะไรบางอย่างที่ไม่จริงใจกับเหล่าสะใภ้ใหญ่และคุณหนูพวกนั้น แต่นางเชื่อว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อต้องมีเรื่องค่อนข้างสำคัญมาปรึกษากับนาง มิฉะนั้นจะไม่เรียกนางมาในเวลาเช่นนี้
“มานั่งข้างๆ ข้า” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อบอกให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้ามาหานางพลางเอ่ยว่า “ตั้งแต่เจ้าแต่งเข้ามา เราไม่มีโอกาสนั่งพูดคุยด้วยกัน บอกแล้วว่าอย่านั่งไกล”
“เจ้าค่ะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างอ่อนหวานแล้วกล่าวว่า “มี่เอ๋อร์ยังคิดว่าหลังจากแต่งเข้ามาแล้วจะได้ปรนนิบัติดูแล ไม่คิดว่าจะยุ่งขนาดนี้ มี่เอ๋อร์ยุ่งอยู่กับการทำความรู้จักบรรดานายน้อย สะใภ้ใหญ่และคุณหนูของตระกูลสูงศักดิ์ ท่านแม่ก็คุยความหลังกับเหล่าฮูหยินของตระกูลชนชั้นสูงไม่ว่างเว้น กระนั้นข้าพบว่าสายตาของท่านป้าทุกคนที่มองท่านแม่ผิดปกตินัก”
“จริงหรือ?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเลิกคิ้วแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “มี่เอ๋อร์ละเอียดรอบคอบมาตลอด บอกหน่อยสิว่าผิดปกติแค่ไหน?”
“สายตาที่พวกนางมองท่านแม่ล้วนเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างมั่นใจ ในตอนแรกก็ยังรู้สึกงงเล็กน้อย แต่เมื่อมองลูกชายลูกสาวที่เป็นลูกนอกสมรสจำนวนมากของตระกูลสูงส่งอื่นๆ นางก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ข้ามีอะไรให้ต้องอิจฉาริษยา?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรู้ดีแก่ใจว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดถึงอะไรอยู่ แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ แต่กลับพูดอย่างไม่พอใจว่า “พวกนางล้วนเป็นคนที่มีวาสนา จะอิจฉาข้าได้อย่างไร?”
“จะไม่อิจฉาได้หรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้ามีท่านพ่อและท่านลุงคนอื่นๆ อยู่ด้วย สายตาของเหล่าท่านป้าจะน่าตื่นเต้นยิ่งขึ้น มองท่านแม่อย่างอิจฉาไปพลาง แล้วมองท่านลุงอย่างเศร้าตรอมตรมไปพลาง มี่เอ๋อร์ไม่เข้าใจว่าพวกนางเปลี่ยนแววตาอย่างลื่นไหลได้อย่างไรและไม่กลัวว่าตาจะกระตุก”
หวงฝู่เยวี่ยเอ้อหัวเราะเพราะไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน เมื่อถูกล้อเลียนในขณะนี้ ก็หัวเราะเสียงดังจนตัวโยน อดเขกหน้าผากของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้แล้วพูดว่า “ก่อนหน้ามองว่าเจ้าเป็นคนอ่อนโยน ไม่นึกเลยว่าจะเป็นคนฝีปากคมกล้าอีกด้วย ถ้าให้พวกนางได้ยินเข้า คงมิวายจะฉีกปากเจ้า”
“ท่านแม่จะให้พวกนางรังแกมี่เอ๋อร์ได้ลงคอหรือ?” นัยน์ตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ฉายแววน่ารักน่าเอ็นดู แล้วก็เข้าไปพิงหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออย่างอดไม่ได้ และอยากจะเข้าใกล้มากขึ้น
“เจ้าเด็กนี่!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อตบหลังนางค่อยๆ เพลิดเพลินไปกับความอบอุ่นเป็นอย่างมาก จากนั้นพลันนึกถึงเรื่องที่จะเอ่ยพูดขึ้นได้ แล้วกดที่ขมับด้วยอาการปวดเศียรเวียนเกล้า
“หลายวันนี้ทำให้ท่านแม่เหนื่อยมาก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยัดกายขึ้น ยืนอยู่ข้างหลังหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ นวดให้นางอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วพูดขณะนวดว่า “และงานหนักมากเช่นนี้ก็เป็นเพราะมี่เอ๋อร์สินะ”
มือของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อบอุ่นและนุ่มนวล ฝีมือการนวดของนางไม่เลว กำลังมือก็พอเหมาะ หวงฝู่เยวี่ยเอ้อผ่อนคลายมาก เด็กที่เอาใจใส่เช่นนี้นี่สิถึงจะเป็นสายตาที่ลูกสาวควรจะมี เหมือนอย่างหลิงหลงกับจิงอิ๋ง เพียงแค่ไม่เพิ่มอะไรลงไปก็เป็นเรื่องดี ทว่าพอคิดถึงหลิงหลงนางก็ปวดหัวตึบอีกครั้ง
“มี่เอ๋อร์ หลายวันนี้เจ้าเป็นเกียรติเป็นศรีของแม่จริงๆ เลย” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเชื่อเสมอว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นเด็กที่เก่งกาจ แต่ยิ่งชื่นชมเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ทำให้ลูกหลานในตระกูลขุนนางที่หยิ่งยโสเหล่านั้น ต่างประหลาดใจได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน
ฝีมือบรรเลงพิณไม่ต้องพูดถึง หลังจากเพลง ‘หิมะขาวพราวแสงทอง’ ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่เคยมีใครเอ่ยถึงการเล่นพิณอีก ถ้ามันดีกว่านี้จะเป็นอย่างไรนะ? ยิ่งไปกว่านั้นเยี่ยนมี่เอ๋อร์เล่น ‘หิมะขาวพราวแสงทอง’ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่าเพลงเสียงสูงคนฟังน้อย หากไม่มีพื้นฐานชำนาญเพียงพอ ใครจะกล้าลอง? ถ้าเปลี่ยนเพลงก็จะดีกว่า จุดเริ่มต้นจะต่ำลง แต่จะเป็นจุดอ่อนที่น่าหัวเราะเยาะให้เล่าลือเท่านั้นเอง
สิ่งที่ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยอึ้งทึ่งก็คือฝีมือการเขียนพู่กันที่ปล่อยเส้นสีขาวไว้เป็นฝอยๆ ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ไม่เพียงช่ำชองหยั่งรากลึก สวยงามพลิ้วไหว แต่ยังมีเสน่ห์เฉพาะตัวของนางเองด้วย ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยยิ่งประทับใจเยี่ยนมี่เอ๋อร์ขึ้นอีกมาก อะไรเรียกว่างานอดิเรกเหมือนกัน นี่ก็คืองานอดิเรกเหมือนกัน ตัวอักษรมิอาจหลอกลวงผู้คนได้ ทั่วป๋าฉินซินทุ่มเทหัวใจให้ อย่างวิริยะอุตสาหะที่จะฝึกการเขียนพู่กันที่ปล่อยเส้นสีขาวไว้เป็นฝอยๆ แต่ทันทีที่เห็นตัวอักษรของนางก็รู้ได้ว่าเลียนแบบมาจากซั่งกวนเจวี๋ย ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกเพียงว่านางจงใจทำให้ตัวเองพอใจ ไม่ใช่งานอดิเรกของนางเองเลย
เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดตรงๆ ว่านางวาดภาพไม่เป็น แต่ไม่มีใครเชื่อ ลำพังแค่นางแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพวาดของ
หลี่ลั่วเผยก็รู้ได้ ต่อให้นางจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการวาดภาพ กระนั้นก็มีทักษะที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครแน่นอน แต่เป็นเพราะหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเป็นคนวาดรูปเก่งที่สุดและชอบวาดภาพ นางจึงพูดถ่อมตัวว่านางรู้เพียงน้อยนิดเท่านั้น เพื่อไม่ให้คนเปรียบเทียบระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ สิ่งนี้ทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรู้สึกอบอุ่นใจยิ่งนัก
คนอื่นเล่า? มีข้อดีมากมายขนาดนี้แล้ว ยังต้องขุดหาข้อดีอื่นๆ อีก สะใภ้ใหญ่คนอื่นๆ มิวายต้องอับอายจนแทรกแผ่นดินหนี หรือเพียงแค่ยอมรับก็พอแล้ว!
ดังนั้นเพียงแค่เริ่มวันแรกกับวันที่สอง เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ถูกลองหยั่งเชิง จากนั้นจะไม่มีใครทำอะไรแบบนี้อีก นั่นไม่ได้หมายความว่าจงใจเสริมความเป็นเลิศของเยี่ยนมี่เอ๋อร์หรอกหรือ? อย่าทำอะไรโง่ๆ เช่นนี้! เพราะฉะนั้นเยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงครองตำแหน่งที่ดีไว้อย่างสมบูรณ์แบบจนทำให้คนอิจฉากันถ้วนหน้า!
“มี่เอ๋อร์แค่โชคดีมาก การทดสอบของเหล่าพี่สะใภ้ล้วนเป็นความถนัดของมี่เอ๋อร์อยู่พอดี ถ้าเคราะห์ร้าย ไม่แน่มี่เอ๋อร์อาจจะทำให้ท่านแม่อับอายไปแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดตามสัตย์จริง แต่นางเชื่อว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะคิดว่านางอ่อนน้อมถ่อมตน
“เจ้าเป็นเด็กเจียมเนื้อเจียมตัว มีความสามารถเหมือนคุณหนูเหล่านั้น ก็หวังจะให้ทุกคนในใต้หล้ารู้ด้วย” หวงฝู่เยวี่ย เอ้อไม่ผิดไปจากที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์คาดการณ์ไว้ ด้วยการตัดสินแบบนั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะออกมา นางก็ไม่ได้สารภาพความจริง
“แต่มี่เอ๋อร์นะ ชีวิตไม่ใช่แค่พิณหมากล้อมการเขียนพู่กันและการวาดภาพ เจ้าอย่าตื่นตาตื่นใจกับสิ่งเหล่านั้น” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเตือนสติเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นางกังวลว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะหลงระเริงกับคำชม
“มี่เอ๋อร์ทราบเจ้าค่ะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดอย่างจริงจังว่า “พิณหมากล้อมการเขียนพู่กันการวาดภาพยาสูบสุราและดอกไม้ ในยามนั้นไม่เคยแยกออกจากมันได้ แต่ตอนนี้มีเจ็ดอย่างที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ทั้งฟืน ข้าวสาร น้ำมัน เกลือ น้ำปรุงรส น้ำส้มสายชู และชา ส่วนพิณ หมากล้อม การเขียนพู่กัน และการวาดภาพเป็นเพียงการปลูกฝังอารมณ์ เรียนรู้เพื่อเพิ่มชีวิตให้มีสีสัน การจะพึ่งพามันดูจะไม่สมจริงที่สุด ท่านแม่ไม่ต้องกังวล มี่เอ๋อร์จะไม่ยึดติด”
“มี่เอ๋อร์ มีเรื่องหนึ่งที่แม่รู้สึกอึดอัดใจมากเช่นกัน แต่ก็ต้องพูดถึง และหวังว่าเจ้าจะไม่โกรธกัน” ในที่สุดหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็เตรียมอารมณ์มาดิบดีแล้ว จึงค่อยๆ ปริปากพูด
ดังนั้นเรื่องสำคัญก็มาถึงแล้ว! เยี่ยนมี่เอ๋อร์เคลื่อนไหวมือได้อย่างราบรื่น ไม่ถูกขัดจังหวะด้วยคำพูดของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ไม่เปลี่ยนแปลงแล้วพูดกลั้วหัวเราะ “เมื่อท่านแม่มีคำสั่ง ต่อให้มี่เอ๋อร์จะไม่ปฏิบัติตาม ก็จะไม่โกรธท่านแม่”
“เจ้าคิดอย่างไรกับชุยอวี่เฟยคุณหนูสามของตระกูลชุย?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อตรงไปที่ประเด็นหลักพลางกล่าวว่า “ฮูหยินชุยคุยกับข้าเป็นการส่วนตัวว่าอยากให้อวี่เฟยแต่งกับเจวี๋ยเอ๋อร์เมื่อวานนี้…มี่เอ๋อร์ นางไม่ใช่มาเป็นภรรยารอง แต่เป็นเพียงอนุ!”
นิ้วของเยี่ยนมี่เอ๋อร์หยุดชะงัก หลังจากได้ยินหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออธิบาย ความขมขื่นเล็กน้อยก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าแล้วฝืนยิ้มพูดว่า “ท่านแม่ท่านพูดต่อ มี่เอ๋อร์ฟังอยู่”
“มี่เอ๋อร์ ฮูหยินชุยเพียงแค่หยั่งเชิงเท่านั้นเอง อวี่เฟยรักเจวี๋ยเอ๋อร์ลึกซึ้งมานานแล้ว นางจะไม่แย่งชิงอะไรกับเจ้า ตราบเท่าที่แต่งเข้ามา คู่ควรกับเจวี๋ยเอ๋อร์ก็พอ ฮูหยินชุยรับประกันว่านางจะประพฤติตัวดี” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อยังรู้สึกว่าเรื่องนี้พูดยากนักทั้งสองเพิ่งแต่งงานกัน แต่อีกฝ่ายเป็นบ้านสามีของหลิงหลง
“ฮูหยินชุยก็ลำบากใจเหมือนกัน ชุยอวี่เฟยถูกพาตัวกลับไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ยังไม่ได้กินอาหารเลย ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป…เฮ้อ ทั้งหมดก็ทำเพื่อลูกสาวก็เท่านั้นเอง!”
“ท่านแม่ มี่เอ๋อร์ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวหนักแน่น
“มี่เอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกไม่สบายใจ แต่ว่า…” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่คาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะตอบกลับเช่นนี้ จึงขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย เป็นไปได้หรือไม่ที่นางคิดว่าเจวี๋ยเอ๋อร์จะมีนางเป็นภรรยาได้เพียงคนเดียว?
“ท่านแม่ ข้าเสียใจมากจริงๆ แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ข้าคัดค้าน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยุดมือ ไม่นวดหวงฝู่เยวี่ยเอ้อต่อไป แต่กลับไปที่ที่นั่ง เผชิญหน้ากับหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออย่างจริงจัง ทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเห็นประกายน้ำตาและความเศร้าที่วาบผ่านในดวงตาของนาง
“ข้าคิดว่าเรื่องนี้หากไม่ใช่ฮูหยินชุยเอ่ยออกมา เป้าหมายจะไม่ใช่ชุยอวี่เฟย ท่านแม่จะต้องปฏิเสธคำเดียวแน่นอน ไม่ใช่เพราะอื่นใด ลำพังแค่ในยามที่สามีและข้าเพิ่งแต่งงานกัน ท่านแม่ก็ยินดีจะเห็นด้วยกับเรื่องแบบนี้ แต่ท่านแม่ เป็นเพราะอีกฝ่ายคือชุยอวี่เฟย มี่เอ๋อร์ถึงต้องต่อต้าน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชะงักเล็กน้อย ระงับความเศร้าระทมที่พรั่งพรูอยู่ในใจแล้วกล่าวต่อว่า “นายน้อยสามของตระกูลชุยมีสัญญาหมั้นหมายกับหลิงหลง และทั้งสองรักใคร่กันดีมาก มี่เอ๋อร์ไม่อยากให้เรื่องนี้ทำให้หลิงหลงลำบากใจ หลิงหลงเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลซั่งกวน แม้ชุยอวี่เฟยจะถือเป็นลูกสาวคนโตด้วย แต่มารดาผู้ให้กำเนิดนางก็เป็นเพียงสาวใช้สินเดิมของฮูหยินชุยเท่านั้นเอง หลิงหลงแต่งเข้าตระกูลชุย ชุยอวี่เฟยแต่งเข้าตระกูลซั่งกวน คนอื่นจะมองว่าอย่างไร? ตระกูลซั่งกวนแลกเปลี่ยนการแต่งงานกับตระกูลชุยหรือ? ลูกสาวคนโตของตระกูลซั่งกวนแลกกับคุณหนูที่มีฐานะเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลชุย ซึ่งนั่นเป็นการดูถูกหลิงหลง!”
หวงฝู่เยวี่ยเอ้อผงะไปครู่หนึ่ง เป็นเพราะมองกันคนละมุมหรือไม่ ดังนั้นบทสรุปจึงแตกต่างกัน ในความเห็นของนาง นี่มิได้เป็นเพียงเรื่องเกี่ยวดองกัน!
“นี่เป็นเพียงประการแรก ประการที่สอง ต่อไปเมื่อทั้งสองคนพบหน้าควรจะเรียกกันอย่างไร หลิงหลงเรียกชุยอวี่เฟยว่าพี่สะใภ้ หรือชุยอวี่เฟยเรียกหลิงหลงว่าพี่สะใภ้ จะอาหญิงหรือพี่สะใภ้ ฟังดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ แต่สุดที่จะทนได้ยิ่งกว่าคือน้องสาวสามีผู้นี้ไม่ใช่พี่สะใภ้อย่างแท้จริง แต่เป็นอนุของพี่ชาย ท่านแม่ เรื่องนี้ให้หลิงหลงจัดการเองจะเป็นอย่างไร?” คำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อหน้าม้านเล็กน้อย
“ยังมีประการสุดท้าย ท่านแม่ หลังจากที่ชุยอวี่เฟยแต่งเข้ามาแล้วทุกคนในครอบครัวจะยกยอและเอาใจนางไว้ หากมีสิ่งที่ทำให้นางไม่มีความสุข นางก็ไม่กล้าส่งเสียงดังที่บ้าน ย่อมจะกลับไปโวยวายที่บ้านแม่ของนาง คนที่ต้องทนทุกข์ทรมานยังคงเป็นหลิงหลง สุดท้ายนี้ หลิงหลงจะกลายเป็นเป้าหมายถูกบีบบังคับ ชีวิตของนางจะยุ่งเหยิง”
“ไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่กล้าตัดสินนำไปเพียงคำพูดเหล่านี้ แต่เมื่อได้ฟังการวิเคราะห์ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์แล้ว ชุยอวี่เฟยไม่เหมาะสมจะแต่งเข้าตระกูลซั่งกวนจริงๆ
“ท่านแม่น่าจะรู้ถึงต้นสายปลายเหตุว่าทำไมชุยอวี่เฟยถึงถูกส่งตัวไปใช่หรือไม่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองหวงฝู่เยวี่ยเอ้อแล้วผงกศีรษะพูดว่า “ท่านแม่ บัดนี้นางยังไม่ได้แต่งเข้าตระกูลซั่งกวน ก็ยั่วยุข้าได้อย่างไร้ยางอายถึงเพียงนี้ พอเอาเปรียบไม่ได้ก็วิ่งพานไปหาหลิงหลง ถ้านางแต่งเข้ามาแล้วเล่า? เกรงว่านางจะไม่ได้บีบหลิงหลง แต่จะยุแยงฮูหยินชุยให้จัดการหลิงหลงอีกด้วย”
“นี่คือ…” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อละล้าละลัง นางรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกนาง มีสาวใช้ของตระกูลซั่งกวนมากมายรอรับใช้อยู่ด้านข้าง เป็นไปไม่ได้ที่คิดจะปิดซ่อนนาง
“ท่านแม่ เรื่องนี้มี่เอ๋อร์มองที่คนมากกว่า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เบือนหน้าหนี บังคับให้น้ำตากลับเข้าไปในดวงตา แล้วหันกลับมาพูดว่า “ถ้าวันนี้ท่านแม่จะให้สามีรับอนุ มี่เอ๋อร์ก็เศร้าและเสียใจ แต่จะไม่คัดค้านหัวชนฝาเช่นนี้เด็ดขาด มี่เอ๋อร์รู้แก่ใจดีว่าการที่สามีจะรับอนุหรือแต่งภรรยารองเป็นเพียงเรื่องของเวลาไม่ช้าก็เร็ว ได้เตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่คุณหนูชุยไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี ท่านแม่โปรดตรองดูด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
“ข้าจะไตร่ตรองให้ดี!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อถูกเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทักท้วงเลยตัดสินใจไม่ได้นิดหน่อย
“มี่เอ๋อร์กลับไปก่อนนะเจ้าคะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่อยากอยู่นานกว่านี้แม้แต่ครู่เดียว จึงลุกขึ้นกล่าวอำลา แต่ก็ยังตอบหวงฝู่เยวี่ยเอ้อว่า “ไม่ว่าในท้ายที่สุดท่านแม่จะตัดสินใจอย่างไร มี่เอ๋อร์จะน้อมยอมรับแน่นอน”
เมื่อเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์เดินโงนเงนจากไป หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรู้สึกผิดเล็กน้อย นางยังขาดการพิจารณาเรื่องนี้อย่างถ่องแท้…
———————————-