เพราะเฉาซื่ออี๋ขอคุยกับตัวเองตามลำพัง จึงหันไปมองคนของตัวเอง เยี่ยนมี่เอ๋อร์คิดสักครู่ แล้วพยักหน้า ฉี่เซียงช่วยพยุงแม่นมฉินเดินออกไป จื่ออวิ๋นชงชาหนึ่งกาเสร็จก็ออกไปเช่นกัน ส่วนจื่อหลัวก็ยิ้มแล้วดึงม่านเหอที่ไม่ค่อยกระตือรือร้นให้ออกมา ในไม่ช้าก็เหลือเพียงสองคนนั่งตรงข้ามกันอยู่ในศาลา
“อาจารย์เฉามีอะไรจะพูดกับข้าเป็นการส่วนตัวหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองเฉาซื่ออี๋อย่างขบขัน อาจารย์เฉาผู้มาอย่างกะทันหันมีจุดประสงค์อะไรกัน มีอะไรจะบอกเป็นแน่ถึงให้ทุกคนหลบออกไป แล้วคุยกับตัวเองตามลำพัง แม้แต่แม่นมฉินก็ไม่สามารถรู้ได้
“ข้าคิดว่าในใจเจ้าจะไม่เชื่อที่ข้าพูดได้อย่างสนิทใจกระมัง” เฉาซื่ออี๋มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แม้จะเป็นเพียงการพบกันครั้งที่สอง แต่ก่อนหน้านี้นางคุยกับแม่นมฉิน เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองนางด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดูมีความสุข แต่นางมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยสายตาของจงเสวี่ยฉิง เมื่อดูจากภายนอกย่อมรู้ได้ว่านางจะไม่เป็นอันตรายและเป็นมิตร
“ท่านแม่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องใดๆ เกี่ยวกับท่านตอนที่นางยังมีชีวิตอยู่เลย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดสั้นๆ ถ้านางเป็นคนสำคัญมาก เช่นนั้นเหตุใดท่านแม่ไม่ได้พูดถึงในจดหมายสั่งเสีย ทั้งที่นางมาจากเซิ่งจิง ใครจะรู้ว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับอ๋องเหยี่ยนที่อาจยังไม่ตายคนนั้นหรือไม่?
“คุณหนูระมัดระวังตัวจนเป็นนิสัย แต่ก็ยังถลำไปติดอยู่ในเหตุการณ์ของอ๋องเหยี่ยนในปีนั้น สาเหตุก็คือนางหูเบาเชื่อในคำสัญญาของชายคนนั้น เจ็บปวดจนยากจะลืมเลือน นางจะพูดถึงข้าได้อย่างไรกันเล่า?” อาจารย์เฉายิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “ท่านไม่เข้าใจหรอกว่าข้ารู้สึกอย่างไรกับคุณหนู ตอนนั้นข้าอายุแปดขวบ ถูกแม่ทอดทิ้ง เพราะที่บ้านเหลืออาหารอยู่ไม่มาก ถ้าเอาข้าไปทิ้ง อาหารที่มีอยู่ในครอบครัวก็ยังพอจะเลี้ยงดูนางและน้องชายได้ตลอดหน้าหนาว เดิมทีนางอยากจะส่งข้าไปให้แม่ค้านายหน้า เผื่อซื้อไปจะได้เงินมาสักก้อน ต่อให้จะขายไม่ได้ ก็หาที่ให้ข้าได้รู้สึกอิ่มเอมและอบอุ่น แต่แม่ค้านายหน้ารังเกียจว่าข้าผอมกะหร่องเกินไป เห็นอยู่ทนโท่ว่าเป็นเด็กแปดขวบ แต่ดูเหมือนเด็กห้าขวบ ไม่อยากได้ข้า จึงถูกทิ้งไว้ข้างถนนที่มีน้ำแข็งและหิมะ คุณหนูพาข้าที่หายใจรวยรินกลับไปที่จวน มีแม่นมฉินมาดูแลข้า จนกระทั่งข้าหายดี”
หรือจะกล่าวได้ว่าท่านแม่เป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตนางไว้! เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้โป้ปดมดเท็จ แม่นมฉินก็รู้แน่นอนว่าเกิดอะไรขึ้น
“ข้าอยู่ข้างกายคุณหนูมาตลอด คุณหนูดีกับข้ามาก มักจะบอกข้าว่าเป็นน้องสาวที่นางรับมาอยู่ด้วย ข้าเกิดมาจากชนชั้นที่ยากจนที่สุด ไม่รู้จักการวางตัวหรือมารยาทเลย ก่อเรื่องซุกซนดื้อรั้นไม่รู้ว่าแค่ไหน คุณหนูขบขันทุกวันที่ข้ายั่วล้อ แม่นมฉินมักจะโกรธมากที่โดนข้ายั่วโมโหจนลืมตัว คว้าไม้บรรทัดไล่กวดข้าด้วย แต่ก็ลังเลตีไม่ลงอยู่บ่อยครั้ง เมื่อข้าไม่ซน คุณหนูจะเล่นเพลงให้ข้าฟัง วาดภาพและเขียนอักษรให้ข้าดู ข้าฟังไม่เข้าใจและอ่านไม่ออก คุณหนูมักพูดอย่างอดทนว่า ฟังไม่เข้าใจ อ่านไม่ออก ก็ไม่เป็นไร สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเองมาตั้งแต่เกิด ฟังมากขึ้นและดูมากขึ้นย่อมจะเกิดสติปัญญา ข้าอยู่กับคุณหนูได้สามปี สามปีนั้นเป็นสามปีที่ข้ามีความสุขที่สุดในชีวิต จำได้ว่า แม้จะถูกแม่นมฉินไล่ตีหวดก็มีความสุขมาก”
“คุณหนูมักพูดว่าข้าเป็นหยกที่ยังไม่ได้เจียระไน แถมยังบอกว่านางเป็นช่างฝีมือชั้นดี จะทำให้ข้าที่เป็นไข่มุกในตม ได้ส่องแสงด้วยตัวเองให้จงได้ แต่…” เฉาซื่ออี๋ถอนหายใจพลางเล่าว่า “คุณหนูกล่าวในจดหมายว่า นางไม่มีโอกาสเช่นนั้นที่จะให้ข้าเปล่งประกายได้ จึงส่งข้าไปให้พ่อแม่อุปถัมภ์ พวกเขาจะทำให้ข้ามีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน แทนที่จะติดตามนางไปตลอดชีวิต เป็นข้ารับใช้คนหนึ่ง”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์อมยิ้มตั้งใจฟัง ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ
“ข้าคิดว่าคุณหนูอาจจะพูดถึงเหตุการณ์ของอ๋องเหยี่ยนในปีนั้นกับท่าน แต่จะต้องพูดลวกๆ ให้ผ่านไป ไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์มากนักสินะ!” เฉาซื่ออี๋เปลี่ยนหัวข้อโดยฉับพลัน ซึ่งเป็นหัวข้อหนึ่งที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยากรู้มาตลอด
“อืม…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตอบอย่างไม่ปริปาก หาพูดอื่นใดไม่
“ท่านดูเหมือนคุณหนูมากจริงๆ คุณหนูมักจะตอบอย่างแผ่วเบาเช่นนี้ ทำให้น่ารำคาญเสมอจนไม่รู้จะพูดอะไร!” เฉาซื่ออี๋กล่าวด้วยความคิดถึง จากนั้นเล่าด้วยใบหน้าจริงจังว่า “ในปีนั้นอ๋องเหยี่ยนอายุยี่สิบปี มีสนมอยู่แล้ว สนมของเขาเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลจ้าวในอี้โจว ชื่อเสียงไม่เด่นชัดนัก เมื่ออายุสิบเก้าปีอ๋องเหยี่ยนได้เห็นคุณหนูที่รูปโฉมงดงามในแวบแรก ราวกับเทพธิดาลงมาจุติ จึงไปขอหมั้นกับตระกูลจงอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย หลังจากถูกปฏิเสธจึงตั้งสัตย์ว่า จะต้องแต่งงานกับคุณหนูให้ได้ คุณหนูมีลูกผู้พี่คนหนึ่ง ที่มีรูปร่างหน้าตาทัดเทียมได้กับคุณหนู มีพรสวรรค์ตั้งแต่ยังเด็ก คุณหนูผู้นั้นคือสนมข้างกายองค์รัชทายาท จงกุ้ยเฟยคนปัจจุบัน”
“จากนั้นล่ะ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จงใจรอให้นางหยุดแล้วพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ท่านแม่ไม่เคยบอกข้าเรื่องเหล่านี้ นางไม่ต้องการให้ข้าเข้าไปพัวพัน และข้าก็ไม่ได้สนใจจะฟังเรื่องเก่าๆ พวกนี้!”
“อ๋องเหยี่ยนทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อให้คุณหนูมองเขาแตกต่างไปจากเดิม แค่คุณหนูบอกมาคำหนึ่งว่าชอบความงามของดอกไห่ถังที่พลิ้วร่วงหล่น อ๋องเหยี่ยนได้นำดอกซีฝู่ไห่ถังจำนวนมากมาเพื่อจะเก็บกลีบดอกไม้ให้เพียงพอ แล้วสร้างฉากงดงามแบบนั้น คุณหนูบอกว่าชอบชาหวงซานเหมาเฟิง อ๋องเหยี่ยนก็เข้าวังไปขอชาเหมาเฟิงที่นำมาถวายฮ่องเต้ในปีนั้นทั้งหมดมาให้ ขอร้องให้คุณหนูยิ้มแย้ม…ตราบใดที่คุณหนูชอบ เขาก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด หากคุณหนูไม่ชอบ เขาจะทำเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นนั่นคือการบอกให้ใต้หล้ารู้ว่า ความงามของคุณหนูนั้นคู่ควรจะหมั้นหมายกับชาติบ้านเมือง ไทเฮาก็เชื่ออย่างสนิทใจ” เฉาซื่ออี๋ไม่ได้ตัดทอนการพูดที่สนุกสนานเพราะคำพูดที่เย็นชาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ พลางกล่าวว่า “ฮ่องเต้องค์ก่อนไม่ได้เกิดจากไทเฮา ไทเฮามีโอรสองค์เดียว เกิดมาหูหนวก จึงเป็นรัชทายาทไม่ได้ ไทเฮารับฮ่องเต้องค์ก่อนมาเลี้ยงดูภายใต้ชื่อของนาง แล้วช่วยฮ่องเต้องค์ก่อนให้ขึ้นครองบัลลังก์ ส่วนอ๋องเหยี่ยนเป็นหลานชายของไทเฮาที่เกิดจากเจ้าจอมมารดา ไทเฮาจึงให้ฮ่องเต้องค์ก่อนปลดองค์รัชทายาทและสถาปนาอ๋องเหยี่ยน แม้ขุนนางใหญ่เกือบครึ่งหนึ่งจะรู้ดีว่าอ๋องเหยี่ยนไม่ใช่องค์รัชทายาท การที่อ๋องเหยี่ยนออกปากว่าจะนำชาติบ้านเมืองมาเป็นของหมั้น เป็นเพราะตระกูลจงทำให้บางคนที่โปรดปรานองค์รัชทายาทอ่อนข้อคลายลง!”
“อ๋องเหยี่ยนมีสนมอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? นางไม่ได้คัดค้านใช่ไหม?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะเย้ยหยัน
“กล่าวกันว่าสนมของอ๋องเหยี่ยนนอนป่วยติดเตียงตลอดทั้งปี หลังจากที่นางให้กำเนิดลูกชายคนโตของอ๋องเหยี่ยน ก็ต้องกินยาเป็นอาหาร ทุกคนลงความเห็นว่านางจะอยู่ได้ไม่เกินห้าปี อีกอย่างแม่นมคนสนิทของสนมอ๋องเหยี่ยนยังบอกด้วยว่าคุณหนูเหมาะสมกับอ๋องเหยี่ยนที่สุด แม้กระทั่งลูกชายคนโตของอ๋องเหยี่ยนเอง เป็นเด็กอายุเพียงสามขวบเท่านั้น เมื่อได้เห็นคุณหนูก็ดูมีความสุขอย่างล้นเหลือ!” เฉาซื่ออี๋ยังจำทุกอย่างในปีนั้นได้
“กล่าวกันว่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มเยาะ แค่คนหนึ่งกล่าวก็ทำให้คนเหล่านี้หลงคารมตามแล้วหรือ? ไร้สาระสิ้นดี!
“ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นแผนการสมรู้ร่วมคิด!” เฉาซื่ออี๋ส่ายหัวแล้วยิ้มอย่างขมขื่นกล่าวว่า “หลังจากสนมของอ๋อง
เหยี่ยนคลอดบุตรก็มีข่าวแพร่ออกมาว่าสุขภาพไม่ดี ในเวลานั้นคุณหนูและอ๋องเหยี่ยนไม่รู้จักกัน ไม่มีใครสงสัยว่าจะเป็นเรื่องเท็จ แม้แต่คุณหนูเองก็เหมือนกัน!”
“แล้วตอนนี้ล่ะ? อ๋องเหยี่ยนสิ้นพระชนม์แล้ว ถ้าลูกชายของเขายังอยู่จะเป็นอย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านแม่ไม่อยากให้ข้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้แต่อย่างใด ในยามนี้เจ้าพูดถึงเรื่องนี้กับข้าเพื่ออะไร?”
“อ๋องเหยี่ยนยังมีชีวิตอยู่ ฮ่องเต้องค์ก่อนไม่ได้ประหารชีวิตเขา มิฉะนั้นจะถูกลงโทษฐานไม่ซื่อสัตย์! เขาเพียงแค่ถอดยศของอ๋องเหยี่ยนไม่ให้มีสิทธิ์สืบบัลลังก์ต่อจากฮ่องเต้ เขาจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะต่อสู้เพื่อชิงบัลลังก์ได้อีกเท่านั้นเอง!” เฉาซื่ออี๋ยิ้มแหยๆ สักพัก หากเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ใช่ลูกสาวของจงเสวี่ยฉิง นางต้องระมัดระวังและควบคุมอารมณ์ของนางให้ดี!
“แล้วอย่างไร?” บัดนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เริ่มเชื่อเล็กน้อยว่าเฉาซื่ออี๋ไม่ได้มีเจตนาร้ายสักเท่าใด
“อ๋องเหยี่ยนได้บรรดาศักดิ์ว่าเซียวเหยาโหว ส่วนสนมอ๋องเหยี่ยนที่กล่าวขานกันว่านอนป่วยติดเตียงก็ยังคงแข็งแรงอยู่จนถึงป่านนี้ ทั้งยังมีลูกอีกสองคนให้อ๋องเหยี่ยนอีกด้วย!” เฉาซื่ออี๋ถอนหายใจพูดว่า “นี่ไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นหลักคือตอนที่พ่อบุญธรรมและพี่ชายใช้เส้นสายสืบหาข่าวคราวของคุณหนูนั้น พบว่าคนของเซียวเหยาโหวก็ให้ความสำคัญกับท่านและตระกูลซั่งกวนอย่างมาก ข้าคิดว่าในอนาคตอันใกล้นี้ เมื่อท่านมีตำแหน่งที่มั่นคงในตระกูลซั่งกวน อ๋องเหยี่ยนจะปรากฏตัวขึ้นอย่างแน่นอน! ข้ารู้ว่าคุณหนูมีเพียงสองคนอยู่ข้างกายมาตั้งแต่ออกจากเซิ่งจิง คนหนึ่งคือแม่นมฉิน อีกคนหนึ่งคือเซียงหลิง และพวกนางหนึ่งในนั้นก็คือคนของอ๋องเหยี่ยน”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พลั้งปากถามอย่างหมดอาลัยตายอยาก จิตใจเหม่อลอย มองไปที่สวนดอกไม้ เอ๊ะ ทำไมไม่มีดอกถานฮวาที่นางชอบที่สุดล่ะ? สั่งให้ปลูกตั้งเป็นกอ
“ตอนนั้นพ่อบุญธรรมส่งจดหมายมาที่อู๋โจวหลายครั้ง แต่ถูกตีกลับทั้งหมด บอกว่าไม่มีคนผู้นั้น ต่อมาข้าติดตามเบาะแสของอ๋องเหยี่ยนก็ไม่พบใครเลย ตอนนั้นคิดว่าอ๋องเหยี่ยนหายตามไปกับคุณหนู แต่รอจนถึงท่านพูดคุยการแต่งงานกับตระกูลซั่งกวน คนของอ๋องเหยี่ยนต่างก็กังวลเรื่องนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะหนอนบ่อนไส้ที่แฝงตัวมาแล้วจะเป็นอะไร?” เฉาซื่ออี๋กล่าวว่า “แม่นมฉินเฝ้าดูคุณหนูจนเติบใหญ่ เลี้ยงดูคุณหนูเหมือนลูกของนางเองแท้ๆ จะไม่ทำร้ายคุณหนูเป็นแน่ มีเพียงเซียงหลิงคนเดียวเท่านั้น ในปีนั้นนางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณหนูจะ ‘ร่วมหอลงโรง’ กับอ๋องเหยี่ยนได้ ส่วนนางจะอยู่ในฐานะสาวใช้สินเดิม ซึ่งจะต้องเป็นคนของอ๋องเหยี่ยนอย่างแน่นอน นางอายุมากกว่าคุณหนู มีจิตใจชื่นชมอ๋องเหยี่ยนมากยิ่งขึ้น เพียงแต่ไม่รู้ว่านางติดต่อกับอ๋องเหยี่ยนได้อย่างไร!”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูสีหน้าซีดเซียวและไม่ได้พูดอะไร
“ข้าไม่ขอให้ท่านเชื่อข้า แต่ท่านโปรดจับตาดูเซียงหลิงไว้ให้มาก อย่าให้นางทำอันตรายได้ก็พอ!” เฉาซื่ออี๋รู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เชื่อคำพูดของตนเอง ที่นางพูดอย่างนั้นเพื่อให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เตรียมป้องกันเซียงหลิงก็เท่านั้นเอง ถ้าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เชื่อที่นางพูด นางคงจะผิดหวังและกังวลใจเสียด้วยซ้ำ
“ได้สิ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตอบอย่างสบายๆ แต่เชื่อในสิ่งที่เฉาซื่ออี๋พูดมากขึ้นอยู่บ้าง ท้ายที่สุดท่านแม่ก็สงสัยเซียงหลิง!
“บางทีท่านอาจคิดไม่ออก ไม่เข้าใจว่าไฉนอ๋องเหยี่ยนถึงไม่ยอมปล่อยคุณหนูไป…” เฉาซื่ออี๋รู้สึกว่าจำเป็นต้องอธิบายให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้าใจอย่างชัดเจน
“ไม่มีอะไรที่คิดไม่ออก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่อยากให้นางดูหมิ่นจนถึงขั้นนั้น จึงขัดจังหวะคำพูดของเฉาซื่ออี๋อย่างไม่เกรงใจว่า “ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมปล่อยท่านแม่ไป เขาปล่อยไปแล้ว ไม่อย่างนั้น ท่านแม่จะไม่ได้ออกจากเซิ่งจิงอย่างปลอดภัย และจะไม่หายไปจากสายตาของผู้คนมากมายในเซิ่งจิง คนที่เขาไม่อยากปล่อยไปก็คือข้าในฐานะสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวน!”
“ท่านรู้หรือ?” เฉาซื่ออี๋รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ไม่ได้พูดเป็นเวลานาน จะพูดแทงใจดำ
“นี่ไม่ใช่คำถามพื้นๆ หรอกหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยิบเชอร์รีลูกหนึ่งอย่างไม่แยแส มองสีสันสดใสพลางกล่าวว่า “แม้อ๋องเหยี่ยนจะถูกปลดจากสถานะรัชทายาทของฮ่องเต้ แล้วลูกชายของเขาล่ะ? ข้าคิดว่า คนผู้นั้นไม่น่าจะมีส่วนร่วมมากเกินไปกระมัง! น่าจะเป็นเพียงฉากศึกชิงสายเลือดที่สำคัญในอดีต ความแตกต่างก็คือถูกแทนที่ด้วยลูกชายของอ๋องเหยี่ยนกับรัชทายาทองค์ปัจจุบันเท่านั้นเอง อ๋องเหยี่ยนจะแสวงหาสมัครพรรคพวกจากตระกูลชนชั้นสูงอย่างแน่นอน แล้วข้าที่เพิ่งเป็นสะใภ้ใหญ่หยกๆ ของตระกูลซั่งกวนก็สมควรจะถูกหลอกใช้!”
“สะใภ้ใหญ่ฉลาดยิ่งนัก!” เฉาซื่ออี๋พูดได้แค่เท่านั้น
“ข้าจะไม่ถูกเขาหลอกใช้! ข้ากับเขาเป็นแค่คนแปลกหน้าสองคน หากพูดถึงความคับแค้นใจใดๆ ได้อันตรธานหายไปหลังจากท่านแม่จากโลกนี้ไปแล้ว! ท่านแม่ไม่ต้องการให้เขามีผลต่อชีวิตของข้า ส่วนข้าก็จะไม่ปล่อยให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องมามีอิทธิพล!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดอย่างตรงไปตรงมา นางได้พูดถึงเรื่องนี้แล้ว นางไม่ต้องการฟังอะไรที่เกี่ยวกับอ๋องเหยี่ยน
“ถ้าอย่างนั้น เรามาพูดถึงปัญหาที่เกี่ยวกับคุณหนูและฮูหยินของตระกูลชนชั้นสูงกันเถอะ!” เฉาซื่ออี๋ฟังออกว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่อยากพูดคุยต่อในหัวข้อนั้น และน้ำเสียงก็เปลี่ยนไปว่า “ข้าคิดว่าท่านได้ติดต่อกับฮูหยินและคุณหนูในตระกูลชนชั้นสูง ท่านรู้สึกอย่างไรกับพวกนาง? และท่านคิดอย่างไรกับคุณหนูจากตระกูลต่างๆ เหล่านี้?”
————————————————–