“สะใภ้ใหญ่ พวกคุณหนูหวงทั้งสามมาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ!” ช่าจื่อรายงานอย่างไม่สบายใจ เผยให้เห็นอารมณ์โมโหบนใบหน้า
“พวกนางมาทำไม?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เลิกคิ้วเล็กน้อย ถอนหายใจ วางพู่กันในมือลง หาได้ยากที่จะมีจิตใจอย่างในวันนี้ ต้องการจะเขียนตัวอักษรสักหน่อย ดันมีคนที่ไม่รู้จักกาลเทศะมารบกวนอารมณ์จนได้
“บอกว่ามาเยี่ยมท่าน เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องเจ้าค่ะ!” ช่าจื่อไม่ชอบคนที่ไม่ได้รับเชิญมาพวกนี้ พวกนางควรจะส่งสาวใช้มาบอกก่อนสักคำ เมื่อเจ้าของบ้านเชิญแล้วถึงค่อยมาไม่ใช่หรือ? ไม่รู้มารยาทเลยสักนิด ไม่กลัวรบกวนคนอื่นหรือ?
“เชื่อมความสัมพันธ์? สะใภ้ใหญ่ไปติดต่อเชื่อมสัมพันธ์อะไรกับพวกนางเจ้าคะ?” ม่านเหอเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นแล้วพูดด้วยท่าทางดุดันว่า “ช่าจื่อ เจ้าไปบอกพวกนางว่า วันนี้สะใภ้ใหญ่ไม่มีเวลา ให้พวกนางสังเกตดีๆ แล้วค่อยมาวันหลัง อย่าเสียมารยาทเช่นนี้ การเป็นสะใภ้ใหญ่ก็เหมือนพวกนาง ไม่ทำอะไรนอกจากกินดื่มและสนุกไปวันๆ”
“ช่างเถอะ ในเมื่อมาแล้วก็พบกันสักหน่อย ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นแขกของตระกูลซั่งกวน จะมองข้ามไม่ได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้จื่อหลัวกับตงอวี่สาวใช้ชั้นสามช่วยล้างมือและเช็ดให้แห้ง แล้วพูดว่า “ไหนๆ ก็ถูกรบกวนแล้ว ไม่มีอารมณ์และจิตใจที่สงบแบบก่อนหน้านี้แล้ว ไม่อาจเขียนได้อีกต่อไป เพียงแค่พบพวกนางกระมัง ม่านเหอ เจ้ามีอารมณ์รุนแรง ไม่ต้องมากับข้า เกรงว่าเจออะไรที่ไม่คุ้นเคยก็จะโกรธมากขึ้นไปอีก ไปทำตามที่ข้าบอกเจ้าเรื่องเมื่อวานนี้เถอะ ถ้าไม่รู้ว่าจะเลือกอย่างไร ก็ถามลู่หลัวได้ นางถือว่ามีฝีมือเย็บปักถักร้อย”
“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่” ม่านเหอก็รู้ตัวว่าตนเห็นผู้หญิงเหล่านั้นเป็นไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเหตุการณ์ที่อู๋เลี่ยนเยี่ยนวางยา จึงไม่รู้สึกดีกับผู้หญิงเหล่านั้นที่คอยแอบมองคุณชายใหญ่ด้วยความคิดแปลกๆ และผู้หญิงทั้งสามคนนี้ก็มีฐานะไม่ดีเท่าอู๋เลี่ยนเยี่ยน ผู้หญิงคนนั้นอยู่ในตระกูลซั่งกวนมาสามปีแล้ว จึงรู้กฎของตระกูลชนชั้นสูงไม่มากก็น้อย
“พี่มี่เอ๋อร์ เจ้ามาแล้ว!” ทันทีที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก้าวเข้ามาในศาลาดอกไม้ สือหย่าฉีแสร้งทำเป็นสนิทสนมและตะโกนว่า “พวกเรารอเจ้ามานานโขแล้ว ควรจะถูกลงโทษ”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองสือหย่าฉีแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะประเมินการกระทำและคำพูดของนางอย่างไร แต่ไม่ต้องพูดถึงนาง จื่อ หลัวก็พูดอย่างเย็นชาว่า “วันนี้ใครเข้าเวร? ไปสำนึกกฎของตระกูลด้วยตัวเองสักพัก!”
“พี่จื่อหลัว เป็นเวรของข้าเจ้าค่ะ” ตู้เจวียนสาวใช้ชั้นสองคุกเข่าลงดังปั่ก
“เหตุใดถึงเป็นเจ้า?” จื่อหลัวขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ยามปกติก็เห็นเจ้าเป็นคนฉลาดเช่นกัน ทำไมถึงมีแขกมาเยือนโดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า ละเลยแขกผู้มีเกียรติ ทำให้สะใภ้ใหญ่เสียหน้าได้อย่างไร? ตอนเย็นไปรับโทษสิบไม้จากแม่นมที่คุมกฎ แม้ว่าเรื่องนี้จะจบลง แต่จะต้องทำงานอย่างจริงจังมากขึ้นในอนาคต หากมีเรื่องเช่นนี้อีกก็รอถูกจัดการได้เลย”
“พี่จื่อหลัว ไม่ใช่ว่าตู้เจวียนไม่ได้จัดเตรียมและรายงานท่านล่วงหน้า แต่คุณหนูทั้งสามไม่ได้แจ้งมาล่วงหน้า ตู้เจวียนก็ไม่ทราบว่าคุณหนูทั้งสามจะมาเจ้าค่ะ” ตู้เจวียนกล่าวอย่างเศร้าใจว่า “ทันทีที่คุณหนูทั้งสามมาถึง ข้าก็จัดให้ทั้งสามคนดื่มชาก่อน และขอให้พี่ช่าจื่อไปรายงานคุณหนูเจ้าค่ะ”
ร่องรอยความอับอายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้หญิงทั้งสาม โดยเฉพาะสือหย่าฉีที่จงใจใช้ความใกล้ชิดมาตีสนิทความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองให้เข้าใกล้มากขึ้น แต่ไม่ได้คาดคิดว่าจะปล่อยไก่ออกมา เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังไม่ได้พูด เมื่อสาวใช้ข้างกายนางพูดคุยกันเหมือนบอกว่าพวกนางมาโดยไม่ได้รับเชิญและไม่รู้มารยาท แต่คนที่ว่านั้นมีทักษะในการพูดมาก ไม่มีที่ว่างให้ขัดจังหวะเลย
“จื่อหลัว อย่าเพิ่งหาความเรื่องนี้ชั่วคราว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเมินเฉยโดยไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้า ท่าทีดูสงบและควบคุมอารมณ์ไว้ จื่อหลัวได้ยินก็พยักหน้า ตู้เจวียนก็ไม่กล้าจะพูดอะไรอีกอย่างรู้ความ แล้วลุกขึ้นหลีกทางไปด้านข้าง
“ขออภัยพี่สาว เรามาอย่างกะทันหัน ต้องการจะมาเยี่ยมเจ้า ไม่นึกเลยว่าจะทำให้เจ้าไม่สะดวก” หวงเซียวเซียงอยากจะใช้เข็มเย็บปากของสือหย่าฉี ถ้าไม่ใช่ว่านางพูดอะไรโดยไม่รั้งรอ สาวใช้ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงยืมคำพูดมาค่อนแคะเอาได้ บอกว่าพวกนางมาโดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า มาด้วยอารมณ์ชั่ววูบจึงดูเสียมารยาทมากใช่ไหม?
“ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้ยุ่งมากนัก ไม่ได้รบกวนอะไร” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อย และแสดงความไม่พอใจอย่างสุภาพ
“คุณหนู อยากลองชาเหมาเฟิงที่พ่อบ้านใหญ่ส่งมาแต่เช้าไหม นี่เป็นชาฤดูใบไม้ผลิที่คัดมาใหม่ๆ สีและเส้นก็ไม่เลวเจ้าค่ะ!” จื่ออวิ๋นเพิ่งต้มน้ำในเวลานี้ ก่อนหน้านี้ที่ให้ทั้งสามดื่มคือชาในชุดลายคราม
“เอาสิ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า จากนั้นมองไปที่ทั้งสามคนแล้วพูดว่า “ไม่ทราบว่าคุณหนูทั้งสามนิยมดื่มชาอะไร ถ้ามีที่ชอบก็บอกมา สาวใช้ของข้าฝีมือชงชาเก่งมาก ตอนนี้ท่านพี่ก็ชินกับรสมือที่นางชงด้วยเช่นกัน!”
สือหย่าฉีจ้องเขม็งไปที่หวงเซียวเซียงหลายครั้ง รู้ว่านางไม่สามารถพูดได้อีกต่อไป เพียงแค่มองถ้วยชาในมือ ส่วนหวงเซียวเซียงรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เห็นหนึ่งในพวกนางถือถ้วยชาอยู่แล้ว กลับถามว่าจะดื่มชาแบบไหน เดิมทีคิดว่าสาวใช้ที่อยู่หลังโต๊ะชาเป็นเพียงสาวใช้ที่กวักมือเรียกทั่วไป แต่ไม่ได้คาดหวังว่านางจะมีฝืมือชงชาได้เก่งกาจ
“ไม่ทราบว่ามีชาขาวจวินซานเข็มเงินหรือไม่?” อวี้เมิ่งเหยาพูดอย่างเยียบเย็นว่า “หากมีน้ำฝนหรือน้ำค้างที่เก็บไว้เป็นเวลาแรมปี บวกกับเข็มเงินที่ดีที่สุดจะเข้ากันมาก”
“จื่ออวิ๋น มีน้ำฝนที่เหมาะสมหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูแคลนความอวดดีของอวี้เมิ่งเหยา นางรู้เฟื่องเรื่องดื่มชามากแค่ไหน? ควรรู้ไว้ว่าวิธีชงชาที่ดีที่สุดคือใช้น้ำแร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำแร่ที่ค่อยๆ ซึมลงมาจากภูเขาจะดีที่สุด รองลงมาคือน้ำในแม่น้ำฉางเจียง หากได้น้ำจากใจกลางแม่น้ำฉางเจียงจะดีที่สุด ลำดับถัดไปเป็นน้ำบ่อ คนที่ชงชาได้ดีจริงๆ จะเลือกน้ำฝนเมื่อตอนที่ไม่มีน้ำแร่และน้ำบ่อที่เหมาะสมเท่านั้น แน่นอนว่าผู้ที่มีรสนิยมดีแต่ไม่รู้รสชาติที่แท้จริงจะชอบน้ำฝนหรือน้ำหิมะละลายมาชงชา เยี่ยนมี่เอ๋อร์เคยเก็บน้ำฝนและน้ำหิมะละลายเพราะความอยากรู้อยากเห็น ไหนเลยจะสะอาดใสและหวานชุ่มคอเท่าน้ำแร่ และบางครั้งก็สกปรกเล็กน้อย นางจึงไม่เคยใช้น้ำฝนมาชงชาเลย
“น้ำฝนแรมปี…” จื่ออวิ๋นครุ่นคิดสักพักแล้วพูดว่า “สะใภ้ใหญ่ ท่านมักไม่ชอบใช้น้ำฝน แต่พ่อบ้านใหญ่ได้ให้น้ำฝนที่เก็บมาเมื่อปีกลายมาไหหนึ่ง แต่ไม่ใช่น้ำฝนในฤดูใบไม้ร่วง ถ้าจะชงชา รสชาติจะแย่กว่านี้นะเจ้าคะ”
สีหน้าของอวี้เมิ่งเหยาตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย เสียงก็เย็นลงพลางกล่าวว่า “ถ้าไม่มีน้ำที่เหมาะสม ข้ามีหิมะที่เก็บจากดอกเหมยกับหลิงหลงเมื่อปีที่แล้ว แต่มีเพียงไหเดียวเท่านั้น ให้สาวใช้ไปเอาที่นั่นมาก็ได้แล้ว”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่สามารถยับยั้งรอยยิ้มที่เกิดขึ้นได้เล็กน้อย คุณหนูอวี้ผู้นี้ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรกับนางดีเลย คิดว่าการดื่มน้ำหิมะนั้นดูสง่างามหรือ?
“น้ำใจดีงามของคุณหนูอวี้บ่าวรับไว้ด้วยใจแทนนายหญิงเจ้าค่ะ!” จื่ออวิ๋นหยัดกายขึ้นโค้งคำนับแล้วกล่าวว่า “แต่ในปีนั้นที่บ่าวร่ำเรียนศิลปะการชงชา อาจารย์ได้สอนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าควรใช้น้ำแร่ชงชาจะดีที่สุด น้ำและชาที่ดีจะเติมเต็มซึ่งกันและกัน จะเลือกน้ำฝนหรือน้ำหิมะได้เฉพาะในกรณีที่ไม่มีน้ำดี น้ำพุหวานลี่โจวเป็นน้ำพุที่มีชื่อเสียงในใต้หล้า ดังนั้นการชงชาให้ดี จึงไม่จำเป็นต้องใช้น้ำจากหิมะเจ้าค่ะ!”
อวี้เมิ่งเหยาหน้าแดงม้าน ไม่คาดคิดว่าสาวใช้ตัวน้อยข้างกายเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะหักล้างคำพูดของนางจริงๆ นี่ไม่ใช่การบอกอย่างชัดเจนว่านางไม่รู้แล้วแสร้งทำเป็นเข้าใจหรอกหรือ?
หวงเซียวเซียงอยากจะหัวเราะมาก นางรู้ว่านางควรรวมตัวกับอวี้เมิ่งเหยา แต่ว่า…เมื่อเห็นอวี้เมิ่งเหยาแสร้งทำเป็นสง่า เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะฐานะทางครอบครัว แทบจะไม่สามารถใช้ชีวิตที่ดีได้เลย จึงแสร้งทำเป็นถือตัวว่าไม่ได้กินอาหารพื้นๆ มักจะพูดถึงพิณหมากล้อมการเขียนตัวอักษรภาพวาดชาสุราและดอกไม้ เมื่ออ้าปากปิดปากก็ดูสง่างามอยู่เสมอ สิ่งนี้น่าอับอายขายหน้าสินะ! แม้แต่สาวใช้ก็เทียบไม่ติด ยังจะพูดว่าเชี่ยวชาญอะไรในเรื่องนี้เรื่องนั้นอีก
“คุณหนูอวี้โปรดยกโทษให้ด้วย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดสุภาพและห่างเหินว่า “จื่ออวิ๋นไม่เข้าใจอะไรเลยนอกจากชงชาและอุ่นสุรา จึงพูดไม่ใคร่ถูกต้องนัก หากล่วงเกินไปบ้าง โปรดอภัยด้วยเถิด”
“กฎของที่นี่ไม่ได้เข้มงวดมากนักหรือ? นางไม่รู้สูงต่ำเช่นนี้ไม่รู้ว่าควรจะสำนึกกฎของครอบครัวได้อย่างไรเล่า?” อวี้เมิ่งเหยาพูดอย่างร้อนรนจนแทบจะบดถ้วยชาในมือของนางเป็นผุยผง
“ไม่รู้สูงต่ำ?” น้ำเสียงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เย็นยะเยือกพลางกล่าวว่า “จื่ออวิ๋นเพียงแค่พูดโดยไม่ได้ไตร่ตรองอะไร ไม่ได้เห็นด้วยกับคุณหนูอวี้เท่านั้นเอง พูดไม่ได้ว่าไร้เหตุผล หากคุณหนูอวี้ต้องการความเคารพจากผู้อื่น ยังต้องอ่านหนังสือมากกว่านี้ อย่าใช้คำผิดส่งเดชพวกนั้นที่ไม่รู้ว่าจะแสดงภูมิรู้อันกว้างขวางของตัวเองได้ที่ไหน!”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” อวี้เมิ่งเหยาไม่คาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะไม่ไว้หน้าขนาดนี้ ทำให้นางอับอายต่อหน้าธารกำนัล จึงกรีดร้องเสียงแหลมขึ้นมา ดูคล้ายเทพธิดากำมะลอก็ไม่ปาน
“ชาขาวจวินซานเข็มเงินควรจับคู่กับน้ำบ่อไป๋เฮ่อ ถึงจะขับดุนซึ่งกันและกัน ต่อให้จะไม่มีน้ำบ่อไป๋เฮ่อ ใช้น้ำบ่อใสที่มีรสหวานจะดีที่สุด ไม่เก็บชาจวินซานในเดือนเก้า ไม่เก็บชาในวันฝนตกก็หมายถึงชานี้ไม่ถูกกับน้ำฝนมากที่สุด คุณหนูอวี้เสียตรงที่พูดว่าจะต้องเข้าคู่กับน้ำฝน ไม่ถือเป็นคำพูดส่งเดชหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองใบหน้าที่เปลี่ยนไปของอวี้เมิ่งเหยาอย่างเรียบเฉย สง่างามหรือ? ผู้หญิงจากครอบครัวปานกลางที่ท่องยุทธภพมาตั้งแต่เด็กตัวเท่าเมี่ยง หากจะพูดคุยกับนางถึงความสง่างาม ช่างรนหาที่ตายโดยไม่เลือกวันเสียจริงๆ
“สะใภ้ใหญ่ บ่าวชงเข็มเงินเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” จื่ออวิ๋นยิ้มและขัดจังหวะการเผชิญหน้าระหว่างเยี่ยนมี่เอ๋อร์กับอวี้เมิ่งเหยา เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าให้จื่ออวิ๋น สาวใช้ผู้นั้นใส่เข็มเงินชั้นเลิศลงในถ้วยแก้ว แล้วลุกขึ้น เทน้ำเดือดที่เพิ่งต้มให้เย็นลงเล็กน้อยลงในถ้วย เมื่อน้ำถึงครึ่งถ้วย ก็หยุดลงทันที เห็นเพียงเข็มเงินลอยอยู่บนผิวน้ำในถ้วย ในเวลานี้จื่ออวิ๋นค่อยๆ เทน้ำลงไปในถ้วยอีก เต็มประมาณเจ็ดแปดส่วน จะไม่มีการเติมน้ำอีก แล้วปิดฝาครอบแก้วที่วางไว้ข้างๆ บนถ้วยชา
ใบชาแต่ละชิ้นดูดซับน้ำจนเต็มเปี่ยม แล้วค่อยๆ จมลงด้วยท่าทางที่สง่างามยิ่งนัก ปลายใบชาพ่นฟองน้ำเล็กๆ ออกมาในขณะที่จมลง ใสแวววาวประหนึ่งชาลิ้นนกกระจอกที่แพรวพราวดุจไข่มุก ใบชาตรงดิ่งสู่ก้นถ้วยชาเหมือนหน่อไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่แทงยอดโผล่ขึ้นบนพื้นดิน แต่ไม่ถึงกับตั้งตรง เพราะมีหยดน้ำใสเปล่งประกายเคลื่อนผ่าน จากนั้นค่อยๆ พลิ้วลอยขึ้น หลังจากลอยขึ้นลงสามครั้งเช่นนี้ จื่ออวิ๋นเปิดฝาครอบแก้วที่ปิดไว้ออก เห็นไอควันสีขาวกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นจากถ้วยอย่างช้าๆ แล้วอันตรธานหายไปจากสายตาของทุกคนอย่างอ้อยอิ่ง
“ชาพร้อมแล้วเจ้าค่ะ!” จื่ออวิ๋นยิ้มและรินชาสีส้มเหลืองลงในถ้วยกลาง สาวใช้ยกถาดน้ำชาที่มีถ้วยชาทดสอบไปให้อวี้เมิ่งเหยาเอง ในเวลานี้อวี้เมิ่งเหยาดูเย็นชาราวกับน้ำแข็งบนภูเขา ส่วนหวงเซียวเซียงยิ้มอย่างขมขื่นอยู่ในใจ เมื่อมองคนผู้นั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ ท่าทีเหล่านี้ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์และสาวใช้คนนั้นทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูสง่างามและเฉิดฉาย
เมื่อเห็นการแสดงออกที่หมางเมินของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ สายตาของหวงเซียวเซียงดูเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม สือหย่าฉีระงับรอยยิ้มและใบหน้าที่แดงฉานไว้ อวี้เมิ่งเหยารู้สึกอับอายอย่างมาก ไม่ได้ดื่มชา ยืนขึ้นอย่างเย็นชาแล้วกล่าวอย่างหยาบคายว่า “ผู้น้อยยังมีธุระ ไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนคุยเล่นได้ ขอตัวก่อน!”
จากนั้นไม่ว่าคนอื่นจะมีสีหน้าอย่างไร ก็สะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป
สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ นางผู้นั้นเป็นคนของตระกูลซั่งกวนที่ส่งไปรับใช้นาง จากนั้นนางก็ถูกเรียกให้ไปยืนด้านข้าง นางคำนับทุกคนอย่างเขินอายและรีบตามออกไป
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตกตะลึงเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่าอวี้เมิ่งเหยาจะทำสิ่งที่หยาบคายถึงขีดสุดเช่นนี้ สือหย่าฉียิ้มระรื่นแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “โอ้โห ในที่สุดเทพธิดาก็เผยโฉมใบหน้ามนุษย์ออกมาแล้ว!”
———————