“สะใภ้ใหญ่เล่า?” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่เห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แปลกใจมากจึงถามจื่ออวิ๋นที่เช็ดโต๊ะชาอยู่ข้างๆ ดูเหมือนน่าจะเพิ่งดื่มชาไปหยกๆ แล้วจะไปจัดการกับผลพวงที่ตามมา
“คารวะนายน้อยเจ้าค่ะ!” จื่ออวิ๋นโค้งคำนับแล้วยิ้มพูดว่า “สะใภ้ใหญ่อยู่ในห้องเย็บปักถักร้อย จื่อหลัวและม่านเหอเข้าไปแล้วเจ้าค่ะ!”
ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้า เมื่อรู้ว่าหลังจากที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์แต่งงานแล้วก็ตั้งห้องเย็บปักถักร้อยในห้องด้านข้างของเรือนมีคู่ โดยมีสาวใช้จินหรุ่ยเป็นคนดูแล แต่เขายังไม่เคยเข้าไปที่นั่น ทันใดนั้นเขาก็อยากเห็นว่าห้องเย็บปักถักร้อยมีลักษณะอย่างไร จึงหันกลับมาแล้วไปที่ห้องด้านข้างหลังเรือนมีคู่
“สีนี้ดี คุณชายใหญ่ชอบสีเข้มแบบนี้เจ้าค่ะ” ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ เสียงของม่านเหอก็ดังแว่วออกมา
“ดีทีเดียว เสื้อคลุมสีน้ำเงินกรมท่าเข้าคู่กับอินทรียักษ์ที่สยายปีกกางออก ท่านพี่จะต้องชอบแน่!” เสียงอันนุ่มนวลของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“สะใภ้ใหญ่ ปักลายบนผ้าสีนี้จะแสบตามาก ให้บ่าวทำเถอะเจ้าค่ะ” จินหรุ่ยขมวดคิ้ว ยิ่งสีเข้มมากเท่าใดก็จะยิ่งแสบตามากขึ้นเท่านั้น งานปักเสื้อคลุมนี้จะทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์แสบตามากกว่าปักฉากกั้นเป็นไหนๆ
“ข้าอยากจะปักเอง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดคัดค้านอย่างเรียบๆ ว่า “จินหรุ่ยดูแลแค่เสื้อผ้าก็พอ ข้าจะทำเสื้อคลุมและรองเท้าเอง”
“เจ้าค่ะ” จินหรุ่ยรับคำอย่างช่วยไม่ได้
“ยังมีเสื้อผ้าส่วนตัวที่ข้าต้องทำเองด้วย วัสดุก็พร้อมแล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป เราเริ่มงานได้เลย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดด้วยน้ำ เสียงตื่นเต้นเล็กน้อยว่า “จะต้องปิดเรื่องนี้ไม่ให้คุณชายใหญ่รู้ ถ้าเขารู้เข้า ก็จะไม่แปลกใจเลยรู้ไหม?”
“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่” สาวใช้ตอบรับพร้อมกัน ซั่งกวนเจวี๋ยก็ได้ยินว่ายังมีเสียงของม่านเหออยู่ด้วย
“เอาล่ะ วันนี้ท่านพี่ออกไปข้างนอกแต่เช้า บอกว่าจะไปมองหาหมู่บ้านสองสามแห่งที่อยู่นอกเมือง ก็น่าจะกลับมาได้แล้ว ช่าจื่อ เจ้าไปดูในครัวเล็กว่าเซียงชุ่ยเตรียมติ่มซำไปถึงไหนแล้ว จื่อหลัว ม่านเหอตามข้ากลับไป คนอื่นๆ มีอะไรก็ทำไป แยกย้ายกันไปเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองดูเวลาก็เกือบจะได้เวลาแล้ว จึงให้คนเก็บผ้า
ซั่งกวนเจวี๋ยเริ่มจิตใจร้อนรน เมื่อรู้ว่าภรรยาตัวน้อยของเขาคิดจะทำเสื้อผ้าให้ตัวเอง ตั้งแต่เขายังเป็นเด็กจนโต ไม่เคยสวมเสื้อผ้าที่ทำเองกับมือเลย สั่งทำจากห้องเย็บปักถักร้อยทั้งนั้น การดูแลที่แตกต่างกันแบบนี้ทำให้เขารู้สึกตื้นตันใจ และเพราะเหตุนี้ เขาไม่ต้องการรบกวนเยี่ยนมี่เอ๋อร์ จึงถอยห่างออกไปอย่างเงียบๆ
“นายน้อย ท่านไม่พบสะใภ้ใหญ่หรือเจ้าคะ?” จื่ออวิ๋นมองซั่งกวนเจวี๋ยอย่างแปลกประหลาดเมื่อเพิ่งหันออกมาจากประตู
“ข้าไม่มีเรื่องอะไรเร่งด่วน ไม่ต้องรีบไปหานาง มิสู้ดื่มชาไปพลางแล้วรอนางไปด้วยจะดีกว่า” ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ข้าวิ่งมาพักใหญ่แล้ว กระหายน้ำนิดหน่อย เจ้าก็ชงชาเถี่ยกวนอินแล้วกัน”
“เจ้าค่ะ” แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดซั่งกวนเจวี๋ยถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน แต่เรื่องของเจ้านายเข้าไปแทรกแซงไม่ได้ จื่ออวิ๋น จึงพยักหน้า แล้วนั่งลงเริ่มชงชา
“เจ้าเรียนศิลปะการชงชามานานแค่ไหนแล้ว?” จู่ๆ ซั่งกวนเจวี๋ยก็ถาม ชาที่จื่ออวิ๋นทำก็อร่อยมาก หากไม่ได้ผ่านการฝึกฝนเป็นพิเศษจะไม่มีทางมีฝีมือดีเช่นนี้
“สามปีกว่าเจ้าค่ะ” จื่ออวิ๋นชงชาอย่างเชี่ยวชาญขณะพูดว่า “สะใภ้ใหญ่ติดชามาตั้งแต่เด็ก ป้าโม่เชิญคนมาสอนบ่าวชงชาโดยเฉพาะ ในตอนนั้นไม่รู้ว่านายน้อยไม่ชอบดื่มสุรา ก็ได้ร่ำเรียนความรู้เรื่องการอุ่นและคัดสรรสุราด้วยเจ้าค่ะ”
เขาไม่ชอบกินเหล้า แต่มีคนชอบนะ! ซั่งกวนเจวี๋ยถอนหายใจเล็กน้อย ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นจื่ออวิ๋นจ้องมองแปลกๆ จึงคลี่ยิ้ม เมื่อรู้ว่าท่าทีที่เหม่อลอยของตนตกอยู่ในสายตาของสาวใช้ตัวน้อย ต้องบอกเลยว่าสาวใช้หลายคนที่อยู่รอบๆ มี่เอ๋อร์แม้จะมีลักษณะเฉพาะตัวและมีพรสวรรค์ แต่ก็มีแววตาที่เฉียบคมและร้ายกาจเหมือนกัน
“แต่ข้าเห็นว่าแค่ลิ้มรสชาเป็นครั้งคราวเท่านั้น ไม่ค่อยดื่มชา เป็นเพราะเหตุใดหรือ?” บรรดาสาวใช้รอบกายเยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูเหมือนจะได้รับอิทธิพลจากเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ล้วนชอบดื่มชา จื่ออวิ๋นเป็นคนคุยเก่ง นอกจากจะไม่กล้าใช้ชาที่มีค่าควรเก็บทะนุถนอมแบบลวกๆ แล้ว ยังเตรียมน้ำชาไว้สำหรับแม่นมสาวใช้ที่รักการดื่มชาเหล่านั้นทุกเมื่อด้วย
“นายน้อยคงไม่ทราบว่า ตอนที่บ่าวเพิ่งเรียนรู้ศิลปะการชงชานั้นดื่มชาไปมากเหลือเกิน เคยเมาชาไปหลายครั้งหลายหน จึงค่อยๆ หยุดดื่มชาเจ้าค่ะ” จื่ออวิ๋นตอบแล้วยิ้ม เมื่อนึกถึงความทุกข์ทรมานจากการเมาชา นางเห็นชาจึงเกิดความกลัว
“เมาชา?” ซั่งกวนเจวี๋ยผงะไปชั่วขณะแล้วพูดอย่างแปลกใจว่า “ชาก็ทำให้มึนเมาได้เหมือนกันหรือ? ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยิน?”
“มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ท่านพี่ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ยินเสียงของซั่งกวนเจวี๋ยที่อยู่นอกประตู เร็วกว่าที่นางคาดไว้ รู้ว่าเป็นเพราะซั่งกวนเจวี๋ยมาที่นี่ทันทีที่กลับมา จึงยิ้มเผล่พูดว่า “เมาชาน่าอึดอัดกว่าเมาเหล้าเยอะทีเดียว”
“มี่เอ๋อร์ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนั้นด้วยหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยพูดกลั้วหัวเราะมองไปที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ บางทีดวงอาทิตย์ข้างนอกก็ใหญ่ไปหน่อย หรืออาจมีเรื่องอะไรที่น่ายินดี ใบหน้าแดงระเรื่อของนางมีเสน่ห์และน่ามองยิ่งนัก
“ตอนที่มี่เอ๋อร์อายุได้สิบขวบก็เคยเรียนศิลปะการชงชาอยู่หว่างหนึ่ง ในการประเมินขั้นสุดท้ายต้องชงชาที่มีชื่อเสียงแปดชนิดทีละแก้วภายในหนึ่งวัน จนกระทั่งชงชาชนิดหนึ่งเสร็จ มี่เอ๋อร์ก็ลองชิม ดูว่าฝีมือของตัวเองเป็นอย่างไร ผลคือหลังจากการประเมิน พอมี่เอ๋อร์หยัดกายขึ้น พบว่าหน้ามืดวิงเวียนศีรษะเหมือนโลกหมุนติ้วไปหมด จากนั้นก็เริ่มเมา” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เม้มริมฝีปากพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพี่ไม่รู้ว่า ชาที่เมานี้แตกต่างกัน ใช้เวลาทั้งวันก็ไม่บรรเทาเลย ตอนนั้นมี่เอ๋อร์เมาสี่วันเต็มๆ ใช้ชีวิตดั่งจะโบยบินไปในอากาศเสียให้ได้ทุกวัน ต่อมาจึงไม่กล้าดื่มชามานานกว่าครึ่งปี!”
“จื่ออวิ๋นเหมือนกันหรือเปล่า?” ซั่งกวนเจวี๋ยฟังแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
“ใช่เจ้าค่ะ แต่บ่าวแย่กว่าสะใภ้ใหญ่ เมามาห้าวัน ไม่กล้าลุกจากเตียง เมื่อเท้าแตะพื้น ก็เริ่มเดินโซซัดโซเซ ไม่ได้จับพยุงสิ่งใด ยืนนิ่งไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเดินเหินเลย” จื่ออวิ๋นยังคงหวาดผวาเมื่อนึกถึงมัน
“ดูท่ามี่เอ๋อร์จะเก่งกว่าหน่อยหนึ่ง และก็ลืมความเจ็บปวดหลังจากผ่านไปครึ่งปี” ซั่งกวนเจวี๋ยมองนายบ่าวคู่หนึ่งที่เคยป่วยด้วยโรคเดียวกัน แล้วหัวเราะร่วนอย่างไม่เห็นอกเห็นใจ
“สู้เจ้าบอกว่าข้าหายเป็นปกติแล้วลืมความเจ็บปวดไปจะดีกว่า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กระเง้ากระงอดว่า “ถ้าไม่กล้าดื่มเพราะเมาชามาครั้งหนึ่ง แต่ท่านพี่สิดื่มทุกวันก็เมาทุกวัน แม้จะไม่ได้ดื่มเหล้าก็มึนเมาได้”
“จริงสินะ” ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มและพูดว่า “วันนี้มี่เอ๋อร์ทำอะไรอยู่? เมื่อกลับมาไม่เห็นเจ้าเลย”
“จะมีอะไรได้ เป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ระบายยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้ท่านพี่ไปดูหมู่บ้านเป็นอย่างไรบ้าง? เป็นเรื่องอะไรกันแน่ เจ้าถึงต้องไปดูเอง”
“หมู่บ้านพวกนั้นมีไว้เพื่อปลูกสมุนไพรทำยาที่ลุงอินชี้แนะไว้ ข้าต้องไปตรวจดูเป็นระยะๆ ทำจนเคยชินแล้ว” ซั่งกวนเจวี๋ยพูดอย่างสบายใจ คนในหมู่บ้านเหล่านั้นไม่ธรรมดา ในตระกูลซั่งกวนก็มีไม่กี่คนที่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน
“ลุงอิน?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฟังออกว่าซั่งกวนเจวี๋ยไม่ต้องการพูดถึงปัญหาที่เกี่ยวกับหมู่บ้านนั้น ก็ไม่ได้ถามอะไรมากนัก จึงยิ้มและเปลี่ยนหัวข้อไปที่คนผู้นี้ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ลุงอินเป็นสหายสนิทของท่านพ่อ และเป็นหมอเทวดาที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุทธภพ แม้เขาจะมาร่วมงานแต่งงานของเราในตอนนั้น แต่ก็ปรากฏตัวเพียงแวบเดียว เจ้าจึงไม่ได้เห็นเขาเลย” ซั่งกวนเจวี๋ยอธิบายแล้วยิ้มเล่าต่อ “แน่นอนว่า ถ้ามี่เอ๋อร์ตั้งท้อง ลุงอินจะได้รับคำสั่งให้อยู่บ้านดูแลเจ้าอย่างแน่นอน”
“ท่านพี่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใบหน้าร้อนผะผ่าวด้วยคำพูดของซั่งกวนเจวี๋ย ยามนี้คนทั้งสองได้ใกล้ชิดกันมากที่สุดก็แค่จูบที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ซั่งกวนเจวี๋ยอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายในตอนนี้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะไม่รู้สึกเขินอายที่พูดเช่นนี้ได้อย่างไร
“ข้าทำไม?” ซั่งกวนเจวี๋ยถามกลับอย่างใจเย็น ส่วนสาวใช้ก็รู้ความจากไปอย่างเงียบๆ เมื่อเห็นสถานการณ์ ทั้งห้องโถงก็เหลือเพียงคู่รักคู่นี้ในทันที
“ไม่มีอะไร!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จ้องมองเขาด้วยความเคอะเขินแวบหนึ่ง ลืมไปว่าจะต้องรักษาใบหน้าที่อ่อนโยนของศรีภรรยา แต่ช่วงเวลาแห่งความหวานชื่นขณะนั้น กลับทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยอดลุกขึ้นไม่ได้ แล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมแขนของเขา
“ท่าน…ท่าน พี่!” เป็นเรื่องยากที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะพูดตะกุกตะกักเล็กน้อย เมื่อเห็นซั่งกวนเจวี๋ยยื่นหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้น ในหัวของนางว่างเปล่า และไม่รู้จะทำอะไรดี
ครั้นเห็นสีหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เหมือนศัตรูเข้ามาประชิด ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกตลกและทำอะไรไม่ถูก จึงทำได้เพียงจูบหน้าผากของนางอย่างแผ่วเบาแล้วถอยกลับ เขากังวลว่าถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ภรรยาตัวน้อยที่ฉลาดของเขาจะกลายเป็นผู้อ่อนด้อยปัญญาเสียแทน
“มี่เอ๋อร์น่ะ แค่จูบครู่เดียวเจ้าก็เป็นแบบนี้แล้ว ถ้าเข้าห้องหอเจ้าไม่ต้องหาที่มุดลงรูหรอกหรือ?” อันที่จริงซั่งกวนเจวี๋ย พอใจยิ่งนักกับการแสดงออกของภรรยาตัวน้อย เขาเชื่อว่าถ้าเปลี่ยนไปเป็นผู้หญิงคนอื่นคงจะกระเหี้ยนกระหือรือดึงเขาไปที่เตียงทันที เพราะพวกนางสนใจแต่รัศมีของลูกชายคนโตในตระกูลซั่งกวนจากเขามากกว่า
เยี่ยนมี่เอ๋อร์หายใจเสียงดัง พยายามสงบอารมณ์ของนาง เมื่อได้ยินก็เกือบจะสำลัก เขินอายจนต้องหยิกเอวของซั่งกวนเจวี๋ยด้วยความหมั่นไส้ หลังจากได้ยินเสียงเจ็บปวดของซั่งกวนเจวี๋ย นางก็ปล่อยมือแล้วพูดอย่างงอนงอดแงดว่า “ข้ามีเรื่องสำคัญจะพูด เจ้าจะทำอย่างนี้ไม่ได้!”
ซั่งกวนเจวี๋ยหน้าถอดสี เป็นไปได้หรือไม่ที่สตรีทั้งสามคนนั้นมาเยือนถึงที่แล้ว? ดูท่าต้องส่งพวกนางออกไปโดยเร็วที่สุด ปล่อยให้พวกนางอยู่ต่อไปไม่ได้ จะเป็นหายนะไม่ช้าก็เร็ว
เมื่อเห็นว่าซั่งกวนเจวี๋ยไม่ได้ล้อเล่นอีก เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเล็กน้อย แม้ค่อนข้างรู้สึกผิดหวัง แต่ความสัมพันธ์ดำเนินไปเร็วเหลือเกิน นางยังคงหวาดหวั่นอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางรู้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยยังมีใบหน้าและบุคลิกที่แตกต่างกันของนางอยู่ในใจ จึงสูดหายใจเข้าลึก นางพูดอย่างระมัดระวังว่า “การเรียนกฎของอู๋เลี่ยนเยี่ยนผ่านไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องกักขังนางอีกต่อไป ท่านพี่คิดว่าอย่างไร?”
“อยู่ดีๆ ไฉนถึงเอ่ยถึงคนตัวซวยพรรค์นั้น?” สีหน้าของซั่งกวนเจวี๋ยเริ่มเย็นชาแล้วพูดอย่างไม่พอใจยิ่งนักว่า “นางทำบ้าอะไร ไยข้าถึงต้องตกลงรับนางเป็นสาวใช้เมียบ่าว มี่เอ๋อร์น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ ผู้หญิงที่ลงมือเหิมเกริมเยี่ยงนี้ ไม่ฆ่านางในที่เกิดเหตุเป็นเพราะกังวลถึงชื่อเสียงของหลิงหลงจะพลอยได้รับผลกระทบ ขังนางไว้ตลอดชีวิตถือว่าใจดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องปล่อยนางออกมาสร้างความเดือดร้อนอีก!”
“ท่านพี่อย่าโกรธ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองใบหน้าของซั่งกวนเจวี๋ยอย่างระมัดระวังพลางกล่าวว่า “ถ้าอู๋เลี่ยนเยี่ยนเป็นเพียงสาวใช้ธรรมดา เช่นนั้นมี่เอ๋อร์ย่อมมีวิธีจะส่งนางออกไปเยอะแยะ จะไม่ให้นางลอยนวลอยู่ต่อหน้าท่านพี่ ทำให้ท่านพี่หงุดหงิด แต่นางเป็นหลานสาวของอนุภรรยาอู๋ และอยู่กับหลิงหลงมาเกือบสามปี คนที่คุ้นเคยในวงศ์ตระกูลชั้นสูงต่างรู้ว่านางมีชีวิตอยู่ หากนางถูกมองข้ามไปเช่นนี้ จะหาว่ามี่เอ๋อร์อิจฉาใจแคบกับบ่าวไพร่ และที่น่าเป็นห่วงคือจะมีคนฉวยโอกาสใส่ร้ายหลิงหลง!”
“ข้ารู้ว่าเจ้ารักหลิงหลงมาก มิฉะนั้นจะไม่ดีกับนางเช่นนี้ แต่ทำไมถึงต้องให้นางออกไปอีก?” ซั่งกวนเจวี๋ยพูดจบก็เข้าใจแล้วพูดอย่างรำคาญว่า “มีใครพูดอะไรหรือ?”
“วันนี้พวกคุณหนูหวงทั้งสามคนมาที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่ เอ่ยถึงอู๋เลี่ยนเยี่ยนเป็นครั้งคราวด้วย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จงใจพูดอย่างเบิกบานใจว่า “จากนั้นข้าก็ถามแม่นมจ้าว ก็บอกว่านางเรียนรู้กฎได้ดี สามารถออกมาพบปะผู้คนได้”
เป็นครั้งคราว? ซั่งกวนเจวี๋ยรู้ดีว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เจตนาพูดเรื่องนี้ให้เบาลง ไม่ต้องการทำให้ตัวเองมีน้ำโห แต่ผู้หญิงทั้งสามคนนั้นออกจะมากเรื่องเกินไปหน่อย พวกนางถือสิทธิ์อะไรมาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของตระกูลซั่งกวน อย่างไรก็ตาม การปล่อยอู๋เลี่ยนเยี่ยนออกมาก็ดี หากอู๋เลี่ยนเยี่ยนไม่รู้ลึกตื้นหนาบางแล้วไปยียวนกับพวกนางจะยิ่งดีกว่า ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลรอโอกาส คราวนี้ก็เล่นงานนางได้
“ก็แล้วแต่มี่เอ๋อร์เถิด” ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้าหลังจากคิดออก แต่เน้นย้ำอีกคำว่า “แต่ข้าไม่อยากเห็นนางมาเดินป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ หาเรือนให้นางพักสักแห่ง หากไม่ได้รับอนุญาต ห้ามนางขึ้นเรือนของเราทั้งสองคน!”
“เข้าใจแล้ว…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างอ่อนหวานพลางกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวข้าจะให้แม่นมจ้าวจัดการที่พักให้นาง แล้วพานางไปด้วยระหว่างทานอาหารเย็น เพื่อจะไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีก!”
“เอาล่ะ!” ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้าแล้วพูดว่า “ยามนี้ยังมีเวลาอยู่ มี่เอ๋อร์เล่นหมากรุกเป็นเพื่อนพี่สักตาสิ!”
ครั้นอยู่ด้วยกันในช่วงไม่กี่วันนี้ ซั่งกวนเจวี๋ยตกใจเมื่อพบว่าภรรยาตัวน้อยที่ดูเหมือนจะทำอะไรได้ทุกอย่างจะโง่หมากรุกโดยแท้ (คนงี่เง่าที่เล่นหมากรุก) แม้แต่หมากลูกปัดห้าแฉกที่ง่ายที่สุดก็ยังแย่มาก แต่ด้วยเหตุนี้ กลับทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยชอบยิ่งนัก คนที่ไม่มีข้อบกพร่องนั้นน่ากลัว และสำหรับข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ มี่เอ๋อร์ก็น่าเอ็นดูและสดใสมากขึ้น
“ไม่เอา!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดอย่างเด็ดขาด ด้วยข้อบกพร่องของตัวเอง จัดการกับจุดแข็งของผู้อื่น นางจะไม่ทำ
อย่างไรก็ตามซั่งกวนเจวี๋ยไม่สนใจคำคัดค้านของนาง เมื่อขัดขืนไม่ยอมมาแต่โดยง่ายจึงอุ้มเสียเลย ในสายตาของบรรดาสาวใช้ที่แอบดู ซั่งกวนเจวี๋ยอุ้มเยี่ยนมี่เอ๋อร์ซึ่งเหนียมอายเกินกว่าจะมองใครได้อย่างนุ่มนวลขึ้นไปที่ห้องหนังสือชั้นสาม แล้วฝากทิ้งท้ายคำหนึ่งว่า “ส่งชาและของว่างไปที่ห้องหนังสือด้วย”
———————