“ท่านเคยได้ยินเรื่องในอดีตที่ข้าบ้าคลั่งหรือไม่?” ชิงหวั่นไม่ได้คาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะเป็นฝ่ายมาเยี่ยมนางเอง ทั้งยังมองดูตัวเองด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นแบบนั้น แต่หลังจากคิดเพียงเล็กน้อย ก็พอรู้ต้นสายปลายเหตุทั้งหมดได้
“เคยได้ยิน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตอบโผงผางออกไป แล้วจิบชาคำหนึ่งพูดกลั้วหัวเราะว่า “พี่ใหญ่มู่หรงเคยเล่าเรื่องความอัดอั้นตันใจของพวกเขากับอดีตบางอย่างให้สามีฟังคร่าวๆ ท่านพี่เป็นห่วงข้าที่มาหาท่าน เกรงว่าข้าจะถูกท่านทำร้ายเอา จึงบอกเรื่องนี้กับข้าครั้งแล้วครั้งเล่า และให้ข้าอยู่ห่างจากท่านสักหน่อย”
“ท่านกล้าหาญมาก หลังจากรู้เรื่องแบบนั้นยังจะกล้ามาอีก ถึงขั้นเอ่ยขอพบกับข้าตามลำพังเสียด้วย” ชิงหวั่นยังอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แต่นึกถึงคำที่มู่หรงปั๋วเย่มักจะบอกตัวเองให้อยู่ห่างจากเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงรู้สึกเศร้าใจไปชั่วขณะ พี่ชายผู้ที่เคยรักตัวเองและคิดว่านางเป็นดั่งแก้วตาดวงใจก็สงสัยว่าตนจะบ้าแล้วกระมัง
“ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะเป็นบ้าเลยสักนิดเดียว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดด้วยเสียงราบเรียบ
“โอ้? ทำไมเล่า?” ชิงหวั่นรู้สึกว่าตนแสร้งทำได้เหมือนมาก ทำมามากพอดูแล้ว หลังจากใช้เวลาเกือบหนึ่งปีก่อเรื่องที่ตระกูลมู่หรง คนที่รู้จักบุคลิกของนางจะคิดว่าตนเสียสติ ไม่นึกเลยว่าจะมีคนที่เคยเจอกันแค่คราเดียวจะบอกว่าไม่เชื่อ
“ท่านมีข้อพิรุธมากนัก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ต่อให้เป็นช่วงเวลาที่บ้าคลั่งที่สุดท่านก็จะไม่ลืมปกป้องใบหน้าของตัวเองใช่หรือไม่?”
ชิงหวั่นหยุดนิ่ง มันเป็นเรื่องธรรมชาติ นางจะเต็มใจทำร้ายรูปโฉมโนมพรรณของตนได้อย่างไรกันเล่า?
“ใบหน้าของท่านกระจ่างใสไร้ที่ติ หากเป็นคนที่เพ้อคลั่งมานาน จะต้องทิ้งรอยตำหนิและรอยแผลเป็นที่ยากจะซ่อนไว้ให้เห็น แต่ท่านทำไม่ได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดสั้นๆ และตรงไปตรงมาว่า “ถ้าข้าเคยเห็นท่านสติฟั่นเฟือนมาก่อนอาจจะเข้าใจผิดเหมือนอย่างพี่ใหญ่มู่หรง แต่ข้าเพิ่งได้ยิน ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นในสายตาและวิจารณญาณของตนมากขึ้น”
“ท่านน่าทึ่งจริงๆ” ชิงหวั่นพูดด้วยความชื่นชมเล็กน้อยว่า “มิน่าเล่าที่อาจารย์จะเคารพมารดาของท่านมาก ดูจากตัวท่านเองก็มองออกได้ว่านางต้องเป็นคนฉลาดผู้หนึ่งแน่”
“เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจ ท่านทำให้ตัวเองเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้วเพราะเหตุการณ์นั้น เหตุใดถึงต้องทำแบบนั้นด้วยเล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คิดไม่ตก ต่อให้จะต้องหนี ทำให้ตนตกลงมาจากสวรรค์ชั้นเมฆาสู่โลกมนุษย์ แล้วเลือกจะทำเรื่องอันน่าเหลือเชื่อในงานใหญ่อย่างประลองยุทธ์นั่น ก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรต่อเนื่องเหล่านี้กระมัง
“ในตอนแรกข้าไม่เคยคิดเรื่องแบบนี้” ชิงหวั่นฝืนยิ้มแล้วเล่าว่า “ข้าชอบลู่เหยาจากใจจริง เขามองข้าด้วยสายตาที่ตรงไปตรงมา จะไม่เบื่อหน่ายข้าแล้วก็ขายทิ้ง ทำให้ข้ารู้ว่าเป็นหญิงงามสวยสะคราญคนหนึ่งในสายตาของเขา ไม่ได้มองว่าเป็นลูกสาวของตระกูลมู่หรง คนที่จะเอาผลประโยชน์มาให้เขาได้อย่างนั้น ข้าถึงได้ทำเรื่องที่น่าอกสั่นขวัญผวาเช่นนั้น ท่านอาจไม่รู้ว่า ตอนที่ข้าบ้าคลั่งพี่ชายคนโตของห้องที่สองไม่ได้หลบหลีกข้าเหมือนคนทั่วไป แต่พยายามทำทุกวิถีทางจะช่วยข้า ข้าจำได้แม่นเขาบอกว่าเพื่อนคนหนึ่งของเขาบอกว่าข้าเป็น ‘หัวมนุษย์สมองหมู’ บอกว่าข้าไม่รู้จักถนอมตัวเอง ข้าได้ยินก็คิดว่าจริง แต่ข้าไม่มีทางออกนี่นา เดิมทีข้าเคยคิดว่า ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมา องค์ชายระดับสูงผู้นั้นจะกริ้วมากเป็นแน่ ต้องตัดความคิดจะแต่งงานกับข้าในฐานะนางสนมออกไปแน่ แต่…”
“ตราบใดที่ท่านยังเป็นลูกสาวของตระกูลมู่หรง เขาจะไม่หยุดคิดเรื่องพรรค์นั้น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “เขาอาจจะชอบท่านมาก แต่ที่เขาชอบยิ่งกว่าคือสถานะของท่าน ถ้าไม่มีตระกูลมู่หรงของท่านอยู่เบื้องหลัง เขาจะแสดงความรักใคร่ชื่นชมท่านได้อย่างไรเล่า”
“จริงด้วย” ชิงหวั่นยิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “เขาวาจาไพเราะยิ่งนัก บอกว่าจะไม่ทิ้งข้าเพราะความสับสนชั่วคราวของข้า ทั้งยังถือว่าข้าเป็นสมบัติอันเลอค่า และท่านพ่อท่านแม่ของข้าก็ซาบซึ้งตรึงใจในตัวเขา ตกลงตามคำขอของเขา ข้าจึงต้องแสร้งทำเป็นคนวิกลจริต เพื่อให้พวกเขาเชื่อสนิทใจ จึงแกล้งทำอยู่สิบเดือนเต็มๆ ในตอนแรกเริ่ม พวกเขาล้วนสงสัยข้า พอเวลานานเข้า พวกเขาก็ค่อยๆ เชื่อ เพราะเห็นแก่หน้าตาของตระกูลมู่หรง จึงไม่ได้ออกหน้าเชิญท่านลุงอิน องค์รัชทายาทเลยต้องล้มเลิกความคิดจะแต่งงานกับข้า ส่วนข้าก็ถือว่าหนีได้แล้ว”
“ยามนี้พวกเขาเห็นว่าอาการของข้าดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ก็ไม่ได้บ้ามานานแล้ว จึงให้พี่ชายคนโตพาข้ามาเปิดหูเปิดตาที่นี่ เพื่อให้ข้าได้แต่งออกไปเร็วหน่อย ข้าทนมาพอแล้วจริงๆ” สายตาของชิงหวั่นมีอาการหวั่นไหวอยู่บ้าง เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตัวสั่นเล็กน้อย บางทีในตอนแรกนั้นนางอาจแค่แกล้งทำเป็นบ้าและทำตัวงี่เง่าเพื่อหลีกหนีความรับผิดชอบพรรค์นั้นที่ไม่ต้องการแบกรับ แต่ผ่านไปนานเข้า กลับส่งผลกระทบต่อจิตใจของนาง จึงมีอาการเพ้อคลั่งนิดหน่อย ไม่น่าแปลกใจที่คนของตระกูลมู่หรงจะคิดว่านางเป็นบ้าแน่ๆ
“ซู่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สาดน้ำชาในมือลงบนใบหน้าของชิงหวั่นโดยไม่ลังเล ชิงหวั่นก็ผงะ นัยน์ตาที่หวั่นไหวพลันหายไป แต่มีความโกรธเล็กน้อย
“คุณหนูชิงหวั่น ใจเย็นๆ หน่อย” ในใจเยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกเสียดาย แล้วเข้าใจในทันใดว่าทำไมหวงฝู่เยวี่ยเอ้อกับฮูหยินชุยซึ่งเห็นได้ชัดว่าเคยเป็นคนเฉลียวฉลาด รู้วิธีหลีกเลี่ยงเรื่องร้ายๆ และเป็นคนคมในฝัก แต่ไฉนถึงกลายเป็นฮูหยินที่เบาปัญญา ที่แท้เพราะแสร้งทำเป็นคนงี่เง่ามานาน จนพลอยทำให้ตัวเองเป็นคนโง่งมเข้าจริงๆ
“ท่านหมายความว่าอะไร?” ชิงหวั่นข่มกลั้นโทสะของนางไว้ แม้นางจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ถึงเดือดดาลขึ้นมาในฉับพลัน ทั้งยังโกรธพร้อมแผดคำรามเสียงดังซึ่งไม่ใช่สิ่งที่นางควรทำ
“คุณหนูชิงหวั่น ข้าคิดว่าสภาพจิตใจของท่านมีบางอย่างผิดปกติ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์บอกความจริง ไม่แปลกใจที่เห็นความผิดพลาดในดวงตาของชิงหวั่นแล้วถอนหายใจพูดว่า “คุณหนูชิงหวั่น ท่านต้องปรับความคิดของตัวเองให้ดี อย่าทำเป็นทีเล่นทีจริงเพราะมันจะกลายเป็นจริง”
“ท่านหมายความว่า…” ชิงหวั่นนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง นางกลัวจนเหงื่อกาฬไหลแตกพลั่กไปทั่วทั้งตัว ถ้าเป็นเช่นนั้น นางก็ยอมตายดีกว่าจะมีชีวิตอยู่
“แววตาของท่านเมื่อครู่นี้ผิดปกติมาก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มเจื่อน แล้วพูดว่า “ข้าไม่เคยเห็นสายตาของคนบ้าว่าเป็นอย่างไร แต่คนปกติจะไม่มีแววตาที่จวนเจียนใกล้จะตายอยู่รอมร่อเยี่ยงนั้น ข้าคิดว่าจิตใจของท่านเศร้าโศก กดดันและวิตกกังวลถึงอนาคต เกือบจะทำลายตัวท่านจนวอดวายแล้ว ถ้าไม่สลัดออกให้เร็วกว่านี้หน่อย อนาคตของท่านจะน่าเป็นห่วง”
“ข้า…” ชิงหวั่นตกตะลึง และตะลึงงันอย่างสิ้นเชิง
“พี่ใหญ่มู่หรงเป็นพี่ชายแท้ๆ ของท่าน ถ้าเขารู้สถานการณ์ของท่านจะช่วยท่านได้แน่ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม และจริงๆ แล้วเขาก็มีความสามารถเช่นนั้น ไยท่านไม่บอกเขาอย่างตรงไปตรงมา พูดคุยดีๆ กับเขาเล่า?” ในใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นภาพลักษณ์ของมู่หรงปั๋วเย่ยังคงประทับใจมาตั้งแต่แรกเห็นแล้ว นางเชื่อว่าเขาจะไม่นั่งดูน้องสาวในไส้บ้าคลั่งเลอะเลือนแน่นอน
“จะได้หรือ?” ชิงหวั่นไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่ชายคนโตผู้นั้นที่หน้าเลือด แต่งงานกับหยางหานยวนเพื่อทรัพย์สินของตระกูลหยาง แต่กลับทำผิดต่อผู้หญิงที่เขารักให้อยู่ในฐานะอนุภรรยา จะกล้ายืนหยัดมาปกป้องตัวนางเอง
“ทำไมจะไม่ได้เล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามกลับ แม้แต่กับคนที่เพิ่งรู้จักกันใหม่ๆ ยังพูดได้ว่าคนแบบนั้นดูอบอุ่นแล้วจะยอมทิ้งน้องสาวแท้ๆ ของตัวเองได้อย่างไร
“ท่านเคยเห็นพี่สะใภ้ใหญ่ผู้นั้นของข้าหรือยัง? หยางหานยวน นายหญิงคนต่อไปของตระกูลหยางแห่งโยวโจว เพื่อนางแล้วพี่ชายคนโตถึงกับลืมคำสาบานกับพี่สาวเยียนอวี่ว่าจะรักกันตราบชั่วฟ้าดินสลาย ไปแต่งงานกับนางไม่ว่า ยังทรยศคำสัญญาว่าจะ ‘ครองคู่กันไปตลอดชีวิต’ แล้วให้พี่เยียนอวี่ไปเป็นน้อย แม้กระทั่งให้สถานะกับหยางหานยวน กีดกันไม่ให้นางมีลูกกับเขา คนที่เลือดเย็นและหัวสูงเช่นนี้จะเข้าใจข้าได้หรือ?” ชิงหวั่นรู้สึกไม่ดีกับหยางหานยวนจริงๆ นางแข็งแกร่งขนาดนี้ ไฉนถึงต้องชิงดีชิงเด่นกับเยียนอวี่ผู้อ่อนโยนและใจดีด้วยเล่า? แน่นอนว่า เมื่อมู่หรงปั๋วเย่ตัดสินใจตกลงแต่งงานกับหยางหานยวนนั้น ภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบของพี่ใหญ่ในใจของนางก็พังทลายลงเช่นกัน
“เลือดเย็น? หัวสูงหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขบคิดอย่างรอบคอบ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจเพิ่มคำสองคำนี้ให้กับมู่หรงปั๋วเย่ได้ จึงทำหน้าปูเลี่ยนๆ พลางกล่าวว่า “ข้าคิดว่าการรับรู้ของเราแตกต่างกันมาก ข้ามักจะรู้สึกว่าพี่ใหญ่มู่หรงมีความรับผิดชอบ และชอบพี่สะใภ้ใหญ่มู่หรงมากเช่นกัน หรือจะบอกว่าในบรรดาพี่สะใภ้ทุกคนในตระกูลชั้นสูงที่ข้าเคยเห็น ข้าจะชื่นชอบพี่สะใภ้ใหญ่มู่หรงที่สุด และรู้สึกว่าพวกเขาเหมาะสมเข้ากันได้ดี สำหรับเยียนอวี่ที่ท่านพูดถึงผู้นั้น ข้าว่าข้าชอบไม่ลง”
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า? หยางหานยวนมีอำนาจเหนือกว่า ชอบควบคุม ไม่ได้อ่อนโยนและเอาอกเอาใจอย่างผู้หญิงแม้แต่น้อย ในขณะที่พี่เยียนอวี่เป็นคนนุ่มนวลและจิตใจดีงาม ไม่มีใครในครอบครัวรังเกียจนาง” ชิงหวั่นยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “จริงๆ แล้วพี่เยียนอวี่ก็มาด้วย แต่เนื่องจากสถานะ นางจึงอยู่ที่เรือนโปรยผกา ถ้าท่านเห็นนางจะต้องชอบนางมากแน่ๆ”
“ข้าคิดว่าคงจะชอบยาก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่เคยชอบผู้หญิงที่เป็นเสมือนเถาวัลย์เช่นนั้น พวกนางไม่มีวันยืนหยัดด้วยตัวเองได้ มักจะเกาะพันอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ดังนั้นพวกนางจะรัดต้นไม้ที่ปล่อยให้พวกนางอยู่และเลี้ยงดูอย่างปลอดภัยจนเหี่ยวตายได้ ส่วนพวกนางเองก็จะค่อยๆ ตายไปเช่นกัน”
ชิงหวั่นอดตัวสั่นไหวไม่ได้ แต่ก็ยังรวบรวมกำลังเถียงตอบกลับว่า “มันไม่เหมือนกัน พี่เยียนอวี่โอบอ้อมอารีโดยธรรมชาติ นางเป็นคนอ่อนหวาน บริสุทธิ์ไร้มารยา และรักพี่ใหญ่อย่างลึกซึ้งอยู่เรื่อยมา”
“บางทีข้าอาจจะอคติไปเองกระมัง แต่ข้าจะไม่ชอบนางเด็ดขาด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่นหัวดิก ยืนกรานในจุดนี้ นางไม่ต้องการให้คนที่มีใจกระตือรือร้นอย่างชิงหวั่นแนะนำเฉินเยียนอวี่ที่ใช้อุบายอย่างลุ่มลึกและชอบเจือความอ่อนแอผู้นั้นให้รู้จักกับนาง คิดๆ แล้วรู้สึกเบื่อหน่ายและขยะแขยง
“ตราบใดที่ท่านรู้จักนางแล้วท่านก็จะเปลี่ยนใจอย่างแน่นอน” ชิงหวั่นเพียรยืนหยัดความคิดของตัวนางเอง
“ข้าไม่อยากรู้จักนาง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะ มองชิงหวั่นด้วยใบหน้างงงวย ยิ้มแล้วพูดว่า “แม้ข้าจะไม่เคยพบนาง แต่กลับได้เห็นวิธีการของนางแล้ว มีบางอย่างที่ถือว่าน่าข้องใจ”
“ว่าอย่างไรนะ?” ชิงหวั่นอุทาน พี่เยียนอวี่ผู้ใจดีคนนั้นที่แม้แต่หมาแมวก็มิกล้าทำร้ายจะอาฆาตแค้นคนอื่นได้อย่างไรเล่า? อย่างกับเป็นคนละคนกันเลย
“นางแนะนำน้องสาวที่คุ้นเคยกันดีผู้หนึ่งให้รู้จักกับท่านพี่ นั่นคือเทพธิดาหยกผู้หยิ่งผยองไม่เพียงยอมทิ้งศักดิ์ศรีและการรักนวลสงวนตัวไล่ตามสามีข้ามาจนถึงที่ลี่โจว ทั้งยังพร่ำบอกอีกว่าข้าไม่ควรฉกชิงคนรักของนางไป” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “หงส์เข้าฝูงหงส์ กาเข้าฝูงกา จากเทพธิดาหยกที่แสร้งทำเป็นยโสโอหัง ข้ามองออกได้แล้วว่าเฉินเยียนอวี่ที่ใจดีและไม่เป็นอันตรายผู้นั้นเป็นคนเช่นไร ข้าไม่ได้รู้สึกดีกับนางเลยแม้แต่น้อย และไม่คิดว่านางจะคู่ควรเป็นภรรยาของพี่ใหญ่มู่หรง ดีที่สุดเป็นเพียงแค่ของเล่นคลายความเหงาเท่านั้นเอง”
“พี่เยียนอวี่มีความสามารถหลากหลาย ทำไมนางถึงไม่คู่ควรกับพี่ใหญ่” ชิงหวั่นกล่าวอย่างขุ่นเคือง
“มีความสามารถหลากหลาย?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะแล้วพูดว่า “นางดูแลบ้านได้หรือไม่? นางสามารถแยกแยะงานที่สลับซับซ้อนทีละอย่างได้หรือไม่? นางพูดจาฉะฉานต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโสโดยไม่ชักสีหน้าได้หรือไม่? นางโน้มน้าวคนที่ไม่ชอบนางให้มาชื่นชอบได้หรือไม่?”
“พี่เยียนอวี่ออกจะไม่ใช่ผู้หญิงแกร่งขนาดนั้นหรอก” ชิงหวั่นขมวดคิ้ว
“นางจึงมีค่าเป็นเพียงของเล่นให้พี่ใหญ่มู่หรงได้หยอกล้อในเวลาว่างเท่านั้น ไม่ใช่ภรรยาที่จะทำให้เขาเชิดหน้าชูตาได้อย่างไร้กังวล นับประสาอะไรกับจะเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลมู่หรง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะร่าพลางกล่าวว่า “ถ้าพี่ใหญ่มู่หรงแต่งกับนางในฐานะภรรยา ไม่เพียงต้องดึงภาระของภรรยามาไว้กับตัวเองเท่านั้น แต่ยังต้องดูแลการพูดจาไพเราะกะหนุงกะหนิงกับนางอีกด้วย ถึงขั้นต้องสะสางสิ่งที่เกิดจากความไร้เดียงสาและสถานการณ์ที่ยากจะแก้ไขที่นางเป็นคนก่อด้วยซ้ำ นั่นไม่ใช่หายนะหรอกหรือ?”
“พี่เยียนอวี่จะก่อเหตุบุ่มบ่ามได้อย่างไร?” ชิงหวั่นส่ายหัว
“นางวุ่นวายมาแนะนำให้สามีรู้จักหญิงงามคนสนิทอะไรนั่นยังไม่ถือว่าบุ่มบ่ามอีกหรือ? ถ้าข้าขัดแย้งกับสามีด้วยเหตุนี้ จะเกลียดผู้หญิงที่คิดว่าตัวเองเป็นกามเทพผู้นั้นได้หรือไม่? มันจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อตระกูลซั่งกวนกับตระกูลมู่หรงด้วยหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตั้งคำถาม ชิงหวั่นฉงนสนเท่ห์ไปชั่วขณะ
“นางหาคนที่เรียกว่าหญิงงามคนสนิทให้สามีได้ จะแนะนำหญิงงามคนสนิทให้กับนายน้อยคนอื่นๆ ในตระกูลมู่หรงไม่ได้หรือ? หากเพราะเหตุนี้ทำให้คู่สามีภรรยาเกิดปัญหากัน ใครควรรับผิดชอบในการก่อความผิดครั้งนี้?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เอ่ยอย่างเย็นชา แม้จะไม่รู้ว่าเฉินเยียนอวี่ทำอย่างนั้นหรือไม่ แต่ลองคาดเดาว่านางอาจทำเช่นนี้ก็เป็นได้
“นั่นเป็นเพียงการพูดนอกเรื่อง เราอย่าเพิ่งพูดถึงคนที่น่าเอือมระอาผู้นั้นเลย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นท่าทางตกใจของชิงหวั่น จึงลอบยิ้มอยู่ในใจ คาดว่านางคงได้รับอิทธิพลจากเฉินเยียนอวี่มามาก ถึงทำสิ่งเหล่านั้นเพื่อหลบหนี แล้วยิ้มจางๆ พูดว่า “พี่ใหญ่มู่หรงแต่งกับหยางหานยวน นั่นเป็นความรับผิดชอบของลูกชายคนโตของตระกูลมู่หรง การไม่ยอมให้เฉินเยียนอวี่มีลูกนั่นคือการหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ลูกชายคนโตไม่ใช่สายตรง การรับนางเป็นอนุภรรยานั้นเพราะชอบนางแล้วจริงๆ และสะใภ้ใหญ่ มู่หรงรับนางได้คือความเอื้ออาทรที่แท้จริง หากมีพี่ชายและพี่สะใภ้ที่แสนดีเช่นนี้ ทำไมท่านถึงรับภาระอันหนักอึ้งทั้งหมดไว้ที่ตัวเองเล่า?”
“ข้าบอกท่านไม่ได้” ชิงหวั่นยิ้มเจื่อน นึกไม่ถึงว่าคนที่ดูอ่อนแอเหมือนอย่างพี่เยียนอวี่จะเป็นคนที่แข็งแกร่ง เพียงแต่คำพูดของนางฟังดูน่าเชื่อถือจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นท่านคิดใคร่ครวญดูให้ดีเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะไม่พูดอะไรกับนางมากนักถ้าไม่ใช่เพราะมู่หรงปั๋วเย่ นางจึงยิ้มแล้วยืนขึ้นพูดว่า “ข้ายังมีธุระ จะไม่รบกวนท่าน ถ้าท่านพอคิดได้ก็ลองพูดคุยดีๆ กับพี่ใหญ่มู่หรง ข้าเชื่อว่าเขาไม่ใช่คนเลือดเย็นจะเพิกเฉยต่อท่านได้หรอก”
————————
Related