“ท่านย่า ข้าว่าพิงถิงไม่เห็นท่านอยู่ในสายตาสักนิดเลยกระมัง? รู้อยู่ทนโท่ว่าเราจะไปหาเรื่องเยี่ยนมี่เอ๋อร์ กำลังคนมากกว่าจะมีแรงสยบได้มากขึ้น แต่ก็ยังจงใจแสร้งทำเป็นไม่สบายใจ ไม่เพียงตัวเองไม่ไป แถมพาอนุภรรยาหนิงไปด้วย!” ทั่วป๋าฉินซินอิจฉาตาร้อนผ่าว นางรู้สึกว่าผิงถิงเกลี้ยกล่อมทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่ให้หุนหันพลันแล่นและมองนางเป็นศัตรู
“นั่นสินะ!” อวี่ไข่ขานตอบด้วยรอยยิ้มกริ่มพลางกล่าวว่า “คุณหนูยกย่องท่านย่าอยู่ในใจเสมอ ไม่ใช่แค่แววตาและฝีปาก มิฉะนั้นจะไม่สังเกตเห็นว่าเรื่องนี้มีข้อบกพร่องใหญ่โตมาก หากพัวพันมาถึงท่านย่าก็จะเป็นความผิดของข้าด้วย!”
“เจ้า…” ทั่วป๋าฉินซินโกรธแค้น เมื่อทำสำเร็จนางจะสั่งสอนเขาแน่
“ลูกพี่ลูกน้องมีคำแนะนำอื่นหรือไม่?” อวี่ไข่โพล่งออกมาด้วยเหงื่อเย็นไหลแตกพลั่กเต็มตัว หลังจากฟังทั่วป๋าซู่เยวี่ยพูดถึงพิงถิง จริงด้วย! คุณชายเหล่านั้นถูกขับไล่ออกไปโดยไม่ได้คาดคิดแล้ว เดิมทีคิดจะใช้คำครหาเรื่อง ‘ชู้สาว’ มาใส่กบาลพวกเขา ถึงได้วางแผนสุดท้าย ‘แอบยัดของโจรจับชู้’ กระนั้นยามนี้ เรื่อง ‘ชู้สาว’ ถูกกลบไปแล้ว ถ้ายังทำตามละครเก่า คนอื่นไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเชื่อขึ้นมา หลังจากลั่นดาลประตูแล้วก็มีเขาที่เป็นหนุ่มใหญ่คนเดียวในจวนทั้งหลัง จะสาดน้ำโคลนใส่ร้ายตัวเองได้อย่างไร
แม้แผนของพิงถิงจะยังไม่เข้าท่า แต่ก็บังคับให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ออกจากจวนได้โดยตรง แล้วปล่อยให้นางตายอย่างจนตรอกอยู่บนถนนหรือในเรือนอื่น ท่านย่าอาจถูกบิดาตำหนิ แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการฟังข่าวลือ ข้อกล่าวหาที่ไม่รู้จริงเท็จเพียงอย่างเดียว มันเบากว่าการปล่อยให้ท่านย่าแบกรับข้อกล่าวหาว่าทรมานหลานสะใภ้จนตายมากทีเดียว ต่อให้จะทำเพื่อคุณหนูสายตรงของตระกูลทั่วป๋าก็ไม่อาจทำให้ท่านย่าตกอยู่ในอันตรายได้นะ! และแม้เขาจะต้องรับผิดชอบต่อโทษทัณฑ์อื่นๆ หากมีท่านย่าอยู่ ก็จะไม่มีปัญหาใหญ่หลวงอะไร
ส่วนที่น่าตำหนิที่สุดคือทั่วป๋าฉินซินที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น ต้องการให้ตัวเองและคนอื่นทำงานหนัก แต่ดูถูกพวกเดียวกันเอง พูดทำนองว่านางมีเมตตาจะให้ตัวเองแต่งงานกับลูกสาวคนโตของตระกูลจางหรือ? นางคิดว่าตัวเขาไม่รู้ว่าคุณหนูจากตระกูลจางผู้นั้นนิสัยเอาแต่ใจเหมือนกับนาง คนที่เขาอยากจะแต่งงานด้วยคือคุณหนูตระกูลใหญ่โตตัวจริง ไม่ใช่คุณหนูตระกูลสูงส่งที่กะโปโล นับประสาอะไรกับคุณหนูจากตระกูลจางที่ไม่ได้เรื่อง แม้แต่คนชั่วและโง่เง่าอย่างนางก็ไม่เอา ถ้าไม่ใช่เพราะทำให้ท่านย่ามีความสุข ใครจะเต็มใจช่วยนาง?
“คุณชายน้อยมาแล้วเจ้าค่ะ!” แม่นมผู้หนึ่งพูดเสียงดัง ทันทีที่พูดจบซั่งกวนอิงก็เดินเข้ามา
“น้อมทักทายท่านย่าขอรับ!” ซั่งกวนอิงไม่เข้าใจว่าเหตุใดทั่วป๋าซู่เยวี่ยถึงเรียกตัวเองมา แต่ก็ยังทักทายทั่วป๋าซู่เยวี่ยด้วยความเคารพ
“ดี! ดี! รีบเชิญคุณชายน้อยนั่งก่อนสิ!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยชอบหลานชายตัวน้อยคนนี้มากเช่นกัน ต่อให้จะไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไม่อยากอยู่ใกล้ตนเองมากเกินไปก็ตาม
“ไม่ทราบว่าท่านย่าเรียกหลานมาสั่งการอะไรหรือ?” ซั่งกวนอิงเอ่ยถามตรงๆ เขามักจะรู้สึกว่าท่านย่าไม่ดีกับท่านแม่ และทำไม่ดีกับจิงอิ๋งคนโปรดของเขาด้วย จึงไม่ชอบนางโดยสัญชาตญาณ แต่ยังคงเคารพอยู่
“โธ่…อิงเอ๋อร์เอ๋ย ย่ามีเรื่องจะปรึกษาเจ้า!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยแสร้งทำเป็นถอนใจ แล้วพูดด้วยใบหน้าเศร้าสร้อยว่า “ย่าลังเลมากว่าจะบอกเรื่องสกปรกพรรค์นี้กับเจ้าดีหรือไหม กลัวว่าพูดไปจะทำให้เจ้าระคายเคืองหู ถ้าไม่พูดก็กังวลว่าเจ้าจะไม่รู้ข้อเท็จจริง จะเข้าใจผิดหาว่าย่าจงใจกลั่นแกล้งคน!”
“ท่านย่าเชิญเล่า!” ซั่งกวนอิงสะดุ้งเล็กน้อย มีเรื่องอะไรหรือ? ที่บ้านเกิดอะไรขึ้นโดยที่เขาไม่รู้งั้นรึ? เขาเหลือบมองทางม่านเยี่ยนสาวใช้ใหญ่ที่อยู่ข้างหลังแวบหนึ่ง แล้วหันหน้ามายิ้มพูดว่า “หลานโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว พี่ใหญ่ยังบอกก่อนออกจากเรือนว่า หลานชายเป็นผู้ชายที่ดูแลครอบครัวได้ ท่านย่ามีอะไรจะพูด ลองพูดมาเถอะ!”
“เจียจือ เจ้าบอกคุณชายน้อยสิว่าพวกสาวใช้ซุบซิบอะไรกันอยู่!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยถอนหายใจเล็กน้อยและดูเป็นทุกข์
เจียจือเล่าข่าวลือที่แพร่กระจายตามคำสั่งของอวี่ไข่โดยละเอียดยกเว้นไม่ได้บอกว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยั่วยวนผู้ชายอย่างไร? ซั่งกวนอิงได้ยินแล้วตาลุกเป็นไฟ พูดอย่างโกรธขึ้งว่า “สาวใช้ปากเสียพวกนี้ กล้าเอาเรื่องเจ้านายมาปั้นน้ำเป็นตัวแบบนี้ได้อย่างไร! ท่านย่า ข้าเข้าใจแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะคุยกับพี่สะใภ้และลุงจิ่น จัดการสาวใช้ปากพล่อยที่สมควรตายพวกนี้ให้เรียบร้อย จะไม่ปล่อยให้ข่าวโคมลอยเช่นนี้ปรากฏขึ้นอีกแน่นอน!”
ทั่วป๋าซู่เยวี่ยตกตะลึง ไม่คาดคิดว่าซั่งกวนอิงจะมีพฤติกรรมเช่นนี้ จึงงงงันเล็กน้อย อวี่ไข่กระแอมไอเบาๆ หลังจากกระตุ้นความสนใจของซั่งกวนอิงก็พูดกลั้วหัวเราะว่า “น้องอิง เจ้ายังจำที่ข้าพูดได้ไหม? ถ้าพี่สะใภ้ไม่ได้ทำอะไรผิดทำนองคลองธรรมเลย เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้น ข้ารู้สึกว่ามันต้องมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพี่สะใภ้ที่ตกอยู่ในสายตาของสาวใช้ปากเสีย ถึงมีข่าวลือโจษจันเช่นนี้ ท่านย่าหมายความว่าควรจะเหน็บแนมพี่สะใภ้เสียหน่อย เพื่อให้สำรวมกิริยาเสียบ้าง อย่าทำเรื่องที่ทำให้พี่ใหญ่เสียใจและตระกูลซั่งกวนเสียหน้า!”
“ข้าขอคัดค้าน!” ซั่งกวนอิงพูดตรงๆ ว่า “พี่สะใภ้มีความผิดหรือไม่ตอนที่พี่ใหญ่และท่านพ่อไม่อยู่เรือนนั้นจะประณามมิได้ ถ้ามีอะไรให้รอจนกว่าพี่ใหญ่จะกลับมาแล้วค่อยคุยกัน! ยามนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือลงโทษสาวใช้ที่วาจาสามหาวพวกนั้นให้เข็ดหลาบ และระงับข่าวโคมลอยเหล่านี้ไว้ก่อน!”
ทั่วป๋าซู่เยวี่ยโมโหอยู่ในใจแต่ปากกลับยิ้มพูดว่า “ย่าไม่กล้าประณาม กระนั้น สิ่งเหล่านี้ต้องบอกเล่าออกมาจากปากของสาวใช้ในเรือนมีคู่แน่ ไม่เช่นนั้นใครจะรู้แจ่มชัดขนาดนี้ ย่าอยากให้อิงเอ๋อร์เป็นพยาน จัดการบ่าวไพร่ในเรือนมีคู่พวกนั้นอย่างไร้ปรานีสักหน่อย ถือโอกาสให้พี่สะใภ้ของเจ้ารับรู้ด้วยว่า จะไม่ทำอะไรผิดอีก”
“เป็นวิธีที่ดี” ตราบใดที่ไม่ปล่อยให้พวกเขามีปัญหากับพี่สะใภ้ ซั่งกวนอิงก็ไม่ได้คิดเรื่องอื่นๆ มากนัก นอกจากนี้สิ่งที่พวกเขาพูดนั้นสมเหตุสมผลจริงๆ หมาขี้ต้องมีมูลฝอย เรื่องราวต้องมีสาเหตุ ให้ท่านย่าว่ากล่าวสักนิดก็ดีเช่นกัน
เป็นผลให้มีคนกลุ่มหนึ่งมาที่เรือนมีคู่อย่างเอิกเกริกในไม่ช้า
“หลานสะใภ้น้อมคำนับฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เตรียมใจอยู่ก่อนแล้ว บนใบหน้าเจือรอยยิ้มที่สุภาพและห่างเหินต้อนรับทุกคนเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ของเรือนมีคู่ บรรดาสาวใช้ยกน้ำชาและของว่าง ในไม่ช้าพวกเขาก็นั่งอย่างสบายใจในห้องโถงใหญ่ ทุกคนก็จ้องมองไปที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์
“เจ้ารู้ความผิดหรือไม่?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเย็นชา กระเหี้ยนกระหือรือจะฆ่านางทันที แต่เมื่อนึกถึงผลที่ไม่ดีต่อตัวนางเอง จึงต้องล้มเลิกความคิดที่น่าดึงดูดนั้น
“หลานสะใภ้ไม่ทราบว่าทำอะไรผิดพลาดไป ฮูหยินใหญ่โปรดชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คุกเข่าลงอย่างสงบ ปราศจากอารามตกประหม่าหรือใจฝ่อ เพียงแค่รอทั่วป๋าซู่เยวี่ย ‘อยากลงโทษเล่นงานใคร’ อย่างเรียบเฉย
“พี่สะใภ้ ท่านย่าแค่อยากถามอะไรบางอย่าง พี่สะใภ้ไม่ต้องกลัว ท่านเพียงแค่นั่งลงคุยกัน” ครั้นซั่งกวนอิงเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์คุกเข่าลง ก็กระโดดออกมาทันที แต่เขาจะตรงเข้าไปพยุงเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่งามจึงจ้องม่านเหอเขม็งที่ปล่อยให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์คุกเข่าแล้วะตะโกนว่า “ม่านเหอ ยังไม่ช่วยประคองพี่สะใภ้ลุกขึ้นมาก่อนแล้วค่อยคุยกันอีกหรือ?”
“เจ้าลุกขึ้นก่อนดีกว่า” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยพูดในใจว่า ‘ไม่โกรธ! ไม่โกรธ!’ แม้จะรู้ว่าซั่งกวนอิงต้องได้รับคำแนะนำบางอย่างแน่ จึงปกป้องเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แต่นึกไม่ถึงว่าเรื่องราวจะมาจนถึงป่านนี้ ซั่งกวนอิงยังคงเลือกการที่จะปกป้องเป็นอันดับแรกแล้วค่อยว่ากัน
“ขอบคุณฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูเปราะบางจึงให้ม่านเหอช่วยพยุงลุกขึ้น มองไปทางทั่วป๋าซู่เยวี่ย แม้ใบหน้าจะสงบ แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความพะวักพะวนและความหวาดหวั่น ทำให้ซั่งกวนอิงค่อนข้างหงุดหงิด เขาไม่ควรฟังความข้างเดียวจากท่านย่าเพื่อให้พวกเขากลับมาสร้างปัญหา
“เจียจือ เจ้าเล่าเรื่องนี้ซ้ำอีกครั้ง!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเย็น เยียบ ฟังเจียจือบรรยายข้อกล่าวอ้างก่อนหน้าใหม่อีกครั้ง หลังจากเห็นความเดือดดาลและไม่พอใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็พูดเบาๆ ว่า “เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร?”
“ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ!” ครั้งนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้คุกเข่า แต่พูดด้วยความดื้อรั้นเล็กน้อยว่า “อยากลงโทษเล่นงานใคร ย่อมมีเหตุผลหาข้ออ้างได้เสมอ! ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนมีคนจงใจแพร่ข่าวลือ ใส่ร้ายหลานสะใภ้ ขอฮูหยินใหญ่ตรวจสอบด้วยเจ้าค่ะ”
“ใส่ร้าย? ทำไมเอาแต่ตั้งเป้าไปที่เจ้า แทนที่จะเป็นคนอื่น?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยตบที่เท้าแขนของเก้าอี้อย่างก้าวร้าว แล้วพูดฉอดๆ ว่า “โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเจ้าไม่ได้ล่อผึ้งเรียกผีเสื้อใช้เสน่ห์ยั่วยวนมา ไหนเลยนายน้อยของตระกูลชนชั้นสูงเหล่านั้นจะแส่มาสร้างความเดือดร้อนถึงเรือนชานได้เล่า?”
“ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่ ‘โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ’ อย่างใจเย็นแล้วพูดว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะท่านบอกว่าไม่สบาย หลานสะใภ้จะออกจากเรือนไปเยี่ยมได้อย่างไร? หากไม่ใช่แม่นมหนิงจัดแจงโดยพลการ ให้หลานสะใภ้นั่งเกี้ยวเล็กออกไป หลานสะใภ้จะเจอพวกสวะที่ไร้การศึกษาได้อย่างไร? หากจะกล่าวเพิ่มเติมอีกหน่อย ถ้าน้องชายไม่เชิญพวกไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเข้ามาในจวน จะเกิดเรื่องแย่ๆ กวนใจแบบนี้ได้อย่างไร? ยามที่เขานำสิ่งของที่ด้อยกว่าหมูและสุนัขเข้ามาในจวนนั้นเคยคิดบ้างไหมว่ายังมีญาติพี่น้องที่เป็นสตรีอยู่ในบ้าน เคยคิดไหมว่าทั้งท่านพ่อและสามีไม่อยู่ในจวนจำเป็นต้องป้องกันหรือไม่? ตอนนี้หลานสะใภ้พยายามอดกลั้นและอ่อนข้อให้เพื่อเรื่องราวจะได้สงบลง ไม่อยากให้ปัญหาใหญ่โตขึ้น ให้ผู้คนรับรู้ว่าลูกนอกสมรสของตระกูลซั่งกวนไม่เพียงผูกมิตรกับเพื่อนกเฬวรากเท่านั้น แต่ยังให้ท้ายคนเหล่านั้นมาเสียมารยาทกับพี่สะใภ้ของตนอีกด้วย แต่ฮูหยินใหญ่กล่าวโทษหลานสะใภ้เช่นนี้ หลานสะใภ้ขอปฏิเสธเจ้าค่ะ!”
“มันสมเหตุสมผลแล้วหรือที่เจ้าจะใช้เสน่ห์ยั่วยวนไม่ปฏิบัติตามหลักกุลสตรี?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยโกรธเกรี้ยวพลางกล่าวอย่างดุดันว่า “ในสายตาเจ้าเห็นข้าเป็นหัวหลักหัวตอใช่ไหม?”
“หลานสะใภ้มิกล้า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คุกเข่าลงอย่างกระด้างกระเดื่อง แค่คิดก็รู้ว่าตอนนี้นางต้องใช้สถานะมาปราบปรามผู้คนได้เท่านั้น
“อีกอย่าง ถ้าเรื่องนี้ไม่ใช่เพราะสาวใช้ในเรือนของเจ้าพูดจาส่งเดช จะมีข่าวลือเหล่านี้แพร่สะพัดออกไปได้หรือ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของซั่งกวนอิง ดูเหมือนต้องการจะพูดแทรก จึงเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาทันที ไม่ได้ใส่ร้ายเยี่ยนมี่เอ๋อร์อีกต่อไป แต่หันไปเล่นงานผู้คนรอบตัวนาง แน่นอนว่าซั่งกวนอิงจึงลุกออกจากที่นั่งและถอยกลับไป
“หลานสะใภ้ไม่ได้เข้มงวดบ่าวไพร่ ฮูหยินใหญ่ได้โปรดยกโทษให้ด้วยเจ้าค่ะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเยือกเย็น “หลานสะใภ้จะลงโทษบ่าวไพร่ที่ปั้นน้ำเป็นตัวพวกนั้นให้หลาบจำอย่างแน่นอน จะไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในอนาคตเจ้าค่ะ!”
“ในอนาคต? หากครั้งนี้ไม่ลงโทษอย่างหนัก บางทีอาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวอย่างขึงขังว่า “แม่นมสาวใช้ในเรือนนี้ล้วนมีแม่นมสามคนที่เป็นสินเดิมของเจ้าดูแลอยู่สินะ! ทั้งแม่นมฉิน แม่นมจ้าวและแม่นมเซียงด้วยใช่ไหม?”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์กำหมัดแน่นแล้วพูดว่า “แม่นมฉินกับแม่นมจ้าวช่วยหลานสะใภ้จัดการบ่าวไพร่ แม่นมเซียงทานมังสวิรัติเคารพนับถือพระพุทธศาสนามาตลอด ไม่เคยสนใจเรื่องต่างๆ เลย!”
“ไม่สนใจเรื่องต่างๆ เลย? แล้วนางมาตระกูลซั่งกวนเพื่อให้ดูแลไปจนแก่เฒ่าหรือ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเมินเฉย คิดว่าจับจุดตายของนางได้แล้ว แม่นมที่ไม่สนใจเรื่องต่างๆ เลยก็ยังคงเคารพแบบนี้ จะบอกว่านางไม่เห็นคุณค่าของผู้คนก็พูดยาก
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชะงักนิ่งเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าตนพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยจับจุดอ่อนได้ จึงเหลือบมองซั่งกวนอิงเพื่อขอความช่วยเหลือ ซั่งกวนอิงยิ้มทันทีพลางกล่าวว่า “ท่านย่า คนพวกนั้นรับใช้อยู่ข้างกายพี่สะใภ้มานานหลายปี การมีหัวใจเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าพี่สะใภ้เป็นคนคิดถึงครอบครัวไม่ลืมมิตรภาพเก่าๆ ตระกูลซั่งกวนเลี้ยงดูคนเพิ่มอีกสองคนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่จำเป็นต้องตำหนิพี่สะใภ้เพราะเรื่องนี้กระมังขอรับ!”
อิงเอ๋อร์คนนี้ตกลงช่วยใครกันแน่? ทั่วป๋าซู่เยวี่ยตัวสั่นด้วยความโกรธแล้วพูดกร้าวว่า “ข้าอยากไปดูแม่นมเซียงผู้หมายปองให้ตระกูลซั่งกวนดูแลนางไปจนแก่ตายว่าเป็นเช่นไร! ส่งคนมา ไปพาแม่นมเซียงมาพบข้า!”
“ฮูหยินใหญ่ใจเย็นเถิดเจ้าค่ะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กระวนกระวายใจเล็กน้อย ความสงบบนใบหน้าก็อันตรธานหายไปหมดสิ้น ทำให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยรู้สึกย่ามใจอยู่พักหนึ่งแล้วพูดอย่างไม่แยแสว่า “ทำไมยังยืนอยู่อีก แค่แม่นมคนหนึ่งต้องให้ข้าไปเชิญนางด้วยตัวเองเลยหรือ?”
“บ่าวรออยู่นอกห้องโถงเป็นประจำ มิกล้ารบกวนฮูหยินใหญ่ให้รอนานเจ้าค่ะ!” แม่นมฉินพาแม่นมจ้าวและเซียงหลิงเข้ามา แม่นมจ้าวคุกเข่าลงโขกศีรษะคำนับ แต่แม่นมฉินและเซียงหลิงติดตรงที่มีสถานะดีกว่า จึงไม่ได้คุกเข่า
——————–