“การออกจากจวนครั้งนี้ทุลักทุเลไม่น้อยเลยจริงๆ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มขมขื่น ใบหน้ายังแฝงไปด้วยความเศร้าและเหนื่อยล้าอยู่รางๆ ทั้งไม่สนว่าพวกนางจะมีเรื่องหรือไม่ หลังจากซั่งกวนจิ่นออกไปนางก็เรียกรวมกลุ่มพวกสาวใช้และแม่นมข้างกาย ให้จื่อหลัวและลู่หลัวพาแม่นมฉิน เซียงหลิง และแม่นมจ้าวมานั่งประจำตำแหน่ง
“สะใภ้ใหญ่ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรล้วนมีขึ้นและลง ไม่อาจจะรอบคอบไปหมดทุกด้านได้หรอก ท่านอย่าได้จริงจังจนเกินไป!” แม่นมฉินเตือนอย่างสงสาร เมื่อคืนวานนางอยู่เป็นเพื่อนเยี่ยนมี่เอ๋อร์พักใหญ่ แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ยังคงไม่ให้นางเข้าเวรดึก กังวลว่าร่างกายนางจะรับไม่ไหว ในยามตื่นนอนตอนเช้า กลับพบว่าขอบตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ดำคล้ำทั้งยากจะปกปิดความเหนื่อยล้า เห็นได้ชัดว่าไม่ได้นอนหลับสนิททั้งคืน
“เป็นข้าที่ปล่อยตัวจนสบายเกินไป ลืมว่าใจคนนั้นมันน่ากลัว โดยเฉพาะจิตใจที่มุ่งร้ายของผู้หญิง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มขมขื่น ก่อนจะควักกระดาษที่ซ้อนกันออกจากอกมา “นี่คือสัญญาขายตัวที่ฮูหยินใหญ่บังคับให้แม่นมฉินและป้าเซียงเขียน จื่อหลัว…”
“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” จื่อหลัวใช้หินติดไฟจุดเทียนขึ้นมาอย่างรู้งาน เยี่ยนมี่เอ๋อร์แผ่สัญญาขายตัวทั้งสองใบนั้นออกให้พวกนางเห็น จากนั้นก็นำไปลนไฟจนมันถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน
“แต่ไหนแต่ไรในใจของข้าก็นับแม่นมฉิน ป้าเซียงและแม่นมจ้าวเป็นผู้อาวุโสไม่ใช่ผู้รับใช้มาโดยตลอด ครั้งนี้เป็นข้าที่พลาดท่า คาดไม่ถึงว่าฮูหยินใหญ่จะหักหน้าลงมือกับข้าและคนข้างกายของข้าอย่างเปิดเผย! ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกและจะเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเช่นกัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเจ็บใจเป็นอย่างมาก “ข้าจะไม่ปล่อยให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกแล้ว!”
“สะใภ้ใหญ่ เรื่องนี้จะโทษท่านได้อย่างไร?” เซียงหลิงกล่าวทั้งถอนหายใจ “ใครก็ล้วนนึกไม่ถึงว่าฮูหยินใหญ่จะใช้วิธีหยาบๆ เช่นนี้ ทั้งพวกเรายิ่งคาดไม่ถึงว่า กฎของตระกูลซั่งกวนจะไม่อนุญาตให้พวกเรามีฐานะเหนือบ่าวไพร่ทั่วไป”
“นายท่านซั่งกวนรู้ตั้งนานแล้วว่าข้าไม่มีสัญญาขายตัว ก็ไม่ได้พูดอันใด!” แม่นมฉินก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะมีกฎเช่นนี้ กล่าวอย่างนึกเสียใจ “หากรู้ล่ะก็ ข้าคงไม่พูดว่าตัวเองมีฐานะเหนือบ่าวไพร่หรอก!”
“หากเป็นเช่นนั้น แม่นมและป้าเซียงก็คงจะถูกฮูหยินใหญ่สั่งให้คนโบยไปตรงๆ แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบเย็น “แม้จะกล่าวว่าข้ารับผิดชอบดูแลเรื่องภายในบ้าน แต่ข้าเพิ่งจะรับช่วงต่อได้ไม่กี่วัน ในใจของหญิงแก่พวกนั้นยากที่จะพูดว่ายังภักดีต่ออนุภรรยาอู๋เช่นกัน พวกนางมากด้วยเล่ห์กล ยังไม่รู้ว่าจะสร้างเรื่องอะไรขึ้นมาอีก? สิ่งที่ข้าสงสัยมากกว่าคือ เหตุใดฮูหยินใหญ่จึงรู้จักป้าเซียง! ตั้งแต่ป้าเซียงเข้าตระกูลซั่งกวนมาก็ไม่เคยเปิดเผยตัวมาก่อนสักครั้ง”
“น่าจะเป็นอู๋เลี่ยนเยี่ยนที่เผยความลับเจ้าค่ะ!” แม่นมจ้าวกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เวลานั้นนางเรียนเรื่องกฎอยู่ในห้องของข้าก็เคยพบกับแม่นมเซียง คาดว่ายามนั้นก็คงจำได้ขึ้นใจ!”
“ดูท่านางยังคงเลี้ยงไม่เชื่อง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กัดฟันอย่างเกลียดชัง
“สะใภ้ใหญ่อย่าได้มีโทสะเลยเจ้าค่ะ ภายหลังยังมีเวลาและโอกาสที่จะจัดการนางอยู่!” เซียงหลิงก็ชิงชังอู๋เลี่ยนเยี่ยนเช่นกัน คาดไม่ถึงว่าตนเองต่ำต้อยถึงขนาดนั้นก็ยังถูกคนนึกถึงลากมาเกี่ยวข้อง
“ข้าเข้าใจแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยายามข่มโทสะลงไป กล่าวพลางมองไปยังทุกคน “ที่นี่คือเรือนภายนอกอีกแห่งของตระกูลซั่งกวน ทั้งยังเป็นที่พักที่สามีจัดเตรียมให้ข้าเป็นพิเศษ ป้องกันไว้เพื่อเกิดเรื่อง เรือนสดับวายุก็เป็นเพียงเป้าล่อให้พวกเขาเท่านั้น…คนบางคนคงไม่คิดจะปล่อยให้ข้ารอดพ้นไปได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องอยู่ที่นี่”
“ดูท่าคุณชายใหญ่ก็ยังคงเป็นห่วงสะใภ้ใหญ่ไม่น้อย กลัวว่าท่านจะได้รับความไม่เป็นธรรมอะไร!” เซียงหลิงกล่าวปลอบเยี่ยนมี่เอ๋อร์ “เมื่อนึกถึงเรื่องพวกนี้แล้ว ท่านก็ควรรอคุณชายใหญ่กลับมาดีๆ อย่าปล่อยให้ตัวเองจมปลักอยู่ในความโกรธก็พอแล้ว!”
“ใช่แล้ว! สามีเอาใจใส่จริงๆ ล้วนต้องโทษข้าที่ประมาทพวกฮูหยินใหญ่เกินไป คาดไม่ถึงว่าพวกนางจะ…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หวนนึกก็สั่นศีรษะ ก่อนจะถอนหายใจออกมา กล่าวยิ้มๆ “ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ทุกคนอย่าได้ออกไปข้างนอกตามใจชอบ ม่านเหอ เจ้าและลู่หลัวพยายามทำความคุ้นเคยกับพวกพ่อบ้านที่นี่ให้เร็วที่สุด หากต้องการอะไรก็บอกกล่าวกับเขาตรงๆ ข้าไม่อยากจะพบพวกเขาอย่างออกหน้าออกตา”
“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” ม่านเหอพยักหน้ารับคำสั่ง นี่เดิมทีก็นับเป็นหนึ่งในหน้าที่ของนาง
“ทางครัวจะมีคนคอยช่วยอยู่ เซียงชุ่ยไปช่วยดูได้ แต่อย่าได้เคร่งครัดจนเกินไป ที่นี่ไม่ใช่ในจวน ไม่ว่าอย่างไรเอาแค่เหมาะสมจะดีที่สุด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เหลือบมองพวกสาวใช้กล่าว “ลู่หลัว เจ้าพยายามควบคุมพวกนาง อย่าปล่อยให้มีเรื่องไม่คาดฝันอันใดเกิดขึ้น!”
“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” ลู่หลัวแลบลิ้นออกมา ก่อนจะกล่าวรับคำสั่งเสียงดัง
“นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าจะสวดมนต์ คัดลอกคัมภีร์อยู่แต่ในห้อง ให้จื่อหลัวและเซียงเสวี่ยคอยอยู่ดูแลก็เพียงพอแล้ว หากมีเรื่องอันใดก็บอกกล่าวทางแม่นมฉินและแม่นมจ้าวแล้วกัน ไม่ต้องเข้ามารบกวนข้า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวตัดสินใจอย่างเรียบนิ่ง ก่อนจะกล่าวมองกับเซียงหลิง “ป้าหลิงชอบความเงียบสงบมาโดยตลอด ไม่ต้องไปรบกวนเช่นกัน”
“สะใภ้ใหญ่…” ม่านเหอดึงสติกลับมาไม่ทันอยู่บ้าง ไฉนพูดไปพูดมาจึงโผล่ไปถึงเรื่องสวดมนต์ภาวนาได้เล่า
“เจ้าค่ะ!” ส่วนคนอื่นๆ กลับรับคำสั่งอย่างคุ้นชินดั่งเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้มีการคัดค้านอันใด
“นี่เป็นความเคยชินของสะใภ้ใหญ่!” จื่อหลัวกล่าวยิ้มๆ กับม่านเหอ “เดือนเจ็ดเดือนแปดของทุกปี สะใภ้ใหญ่ก็มักไปสวดมนต์ภาวนา คัดลอกคัมภีร์ที่อารามจนเป็นปกติ ปีนี้พิเศษขึ้นมาหน่อย แม้ไม่สามารถไปอาราม แต่ก็ไม่อาจขาดช่วงขาดตอนไปได้!”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ม่านเหอโล่งใจขึ้นมา นางยังนึกว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ถูกกระตุ้นโทสะจน…หยุดเถอะ! อย่าคิดอะไรไปมากกว่านี้เลย!
“สะใภ้ใหญ่เจ้าคะ…” เซียงเสวี่ยร้องเรียกอย่างกังวล รอจนเยี่ยนมี่เอ๋อร์เบนสายตามายังตน ก็กล่าวช้าๆ “พวกแป้งชาดล้วนแตกหมดแล้ว หากไม่ไปซื้อเดี๋ยวนี้ล่ะก็ ตอนเย็นท่านก็จะไม่มีใช้แล้วนะเจ้าคะ!”
“ไม่เป็นไร ของข้ายังพอมีอยู่!” ลู่หลัวรับบทสนทนาอย่างรวดเร็ว ทำให้เซียงเสวี่ยไร้คำพูดไปพักใหญ่
“ของของเจ้าจะให้สะใภ้ใหญ่ใช้ได้อย่างไร?” จื่อหลัวฟาดมือไปบนหน้าลู่หลัวอย่างไม่เกรงใจไปหนึ่งที กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดูท่าเซียงเสวี่ยคงต้องออกไปสักหน่อยแล้ว หาคนที่เหมาะสมคนหนึ่งส่งพวกแป้งชาดมาให้ท่านคัดเลือก!”
“เอาเถิด! ม่านเหอ เจ้ากับเซียงเสวี่ยไปด้วยกันเถิด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ กล่าวด้วยสีหน้าจนใจอยู่บ้าง “อย่าได้ไปพวกตรอกเครื่องประทินโฉมใหญ่ๆ พวกนั้น ไปแถวตรอกเล็กๆ ก็พอ แต่ต้องเป็นที่ที่ผลิตและขายพวกเครื่องแป้งเอง การกระทำเซ่อซ่าของเซียงเสวี่ยอาจจะมีคนรู้เข้า หากตามมาจนหาที่นี่เจอก็จะแย่เอา! อีกอย่าง อย่าได้ให้คนอื่นเห็นใบหน้าของพวกเจ้า!”
“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” ม่านเหอรับคำสั่งทั้งรอยยิ้ม ด้านเซียงเสวี่ยก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ไม่ได้กังวลมากขนาดนั้นแล้ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นใบหน้าประดับยิ้ม “สะใภ้ใหญ่ ท่านวางใจได้ ข้าย่อมต้องหาเครื่องแป้งที่ดีที่สุดส่งมาให้ท่านเลือกอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ!”
——————————–
“ฮูหยินใหญ่ บ่าวได้ส่งคนไปสืบข่าวแล้วเจ้าค่ะ ที่เรือนสดับวายุในตอนบ่ายได้มีรถม้าสิบกว่าคันเข้าไปจริงๆ เจ้าค่ะ ดูจากร่องรอยของล้อรถน่าจะมีคนนั่งอยู่ด้านในเจ้าค่ะ แต่ว่าทางเรือนสดับวายุก็เพิ่มการป้องกันอย่างแน่นหนาเช่นกัน!” แม่นมเฒ่าที่อยู่ในชุดเต็มยศคนหนึ่งกล่าวกับทั่วป๋าซู่เยวี่ยด้วยความนอบน้อม ทั้งมีทั่วป๋าฉินซินนั่งฟังพวกนางพูดคุยกันอยู่ด้านข้าง
“เช่นนั้นที่อื่นๆ ล่ะ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยถามอย่างเรียบนิ่ง
“ทางเรือนพำนักอวี้ฉิงก็มีรถม้ากลุ่มหนึ่งเข้าไปเช่นกันเจ้าค่ะ หลังจากประมาณหนึ่งชั่วยามจึงค่อยออกมา! รอยล้อรถตื้น คล้ายกับเป็นรถเปล่าเจ้าค่ะ!” แม่นมเฒ่านับเป็นคนที่ละเอียดลออคนหนึ่งเช่นกัน “อีกกลุ่มไปเรือนโม่โฉว รอยล้อรถก็ลึกเช่นกัน น่าจะมีคนข้างในเจ้าค่ะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่ ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่วนกลับมาในเมือง ร่องรอยของล้อรถก็ลึกมากเช่นกัน แต่กลับลึกเกินไป ไม่คล้ายกับมีคนอยู่ แต่กลับเหมือนเป็นรถลากสิ่งของอะไรบางอย่างมากกว่าเจ้าค่ะ”
“ฮูหยินใหญ่ ทางนั้นมีข่าวว่าพ่อบ้านจิ่นได้ขนเสบียงอาหารจำนวนหนึ่งกลับมาจากในเมือง แต่ว่าสั่งให้ปิดเป็นความลับไว้ เป็นบ่าวขนเสบียงคนหนึ่งที่ปากโป้งออกมาเจ้าค่ะ!” แม่นมหนิงกล่าวเสริมหนึ่งประโยค
“ก็หมายความว่านอกจากเรือนพำนักอวี้ฉิงแล้ว ทั้งสามที่ก็ล้วนน่าสงสัยทั้งนั้น?” ทั่วป๋าฉินซินคาดไม่ถึงว่าจะมีผลลัพธ์เช่นนี้ พวกเขาจำเป็นต้องโจมตีให้ถูกจุดในครั้งเดียว ไม่อาจให้เกิดเรื่องผิดพลาดอันใดได้
“ตามความเห็นของบ่าวแล้ว เรือนโม่โฉวและเรือนสดับวายุน่าสงสัยที่สุดเจ้าค่ะ ในเมืองนั้นได้หยุดรถในเรือนพำนักเล็กๆ หลังหนึ่งพักใหญ่ แต่ได้ให้คนเข้าไปดูแล้ว เป็นเรือนโล่งว่างเจ้าค่ะ นอกจากคนที่เฝ้ายามไม่กี่คนแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นเลยเจ้าค่ะ ใกล้ๆ ก็เป็นคนทั่วไปพักอาศัยอยู่ แต่หลังจากรถม้ากลุ่มนั้นไปร้านค้า รอจนมีคนรายงานจึงค่อยไปรวมกลุ่มกับรถม้าที่เรือนพำนักอวี้ฉิงและเรือนสดับวายุ ก่อนจะกลับจวนมาด้วยกันเจ้าค่ะ!” แม่นมเฒ่ากล่าวอย่างละเอียด “โดยเฉพาะเรือนสดับวายุ มีกำลังคนมากกว่าเมื่อก่อนถึงสามสี่เท่าเจ้าค่ะ คนของพวกเราล้วนไม่กล้าเข้าไปใกล้มาก กลัวว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่นเจ้าค่ะ!”
“ท่านย่า ในเรือนสดับวายุได้มีใครส่งข่าวกลับมาหรือไม่?” ทั่วป๋าฉินซินกล่าวอย่างร้อนใจ
“แต่ไหนแต่ไรเรือนสดับวายุก็อยู่ในความดูแลของพ่อบ้านหวงจิ่ว ไม่มีใครจะสามารถแทรกแซงเข้าไปได้ ข้าว่าน่าจะเป็นเรือนสดับวายุนั่นแหละ!” แม้ว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะเหนือความคาดหมายในเรื่องความรอบคอบของพ่อบ้านจิ่น แต่ก็ยังคงคิดว่าคนน่าจะอยู่ที่เรือนสดับวายุ “เร่งรีบออกจากจวนก็เพราะพวกเขาไม่มีเวลาจัดการและไม่มีสถานที่ที่เหมาะสมพอ คิดจะหลอกล่อพวกเรา ดังนั้นจึงเกิดเรื่องที่ปล่อยรถม้าออกจากจวนพร้อมกันสี่สิบกว่าคัน ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ตั้งเป้าไว้ที่เรือนสดับวายุ จะต้องทำภารกิจให้สำเร็จผลให้ได้!”
“เจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่!” แม่นมเฒ่ารับคำสั่ง กระนั้นกลับไม่ได้ถอนตัวไปทันที กลับมองไปที่ทั่วป๋าฉินซินเพื่อรอความนัย
“ก็ยึดตามคำสั่งของท่านย่านั่นแหละ!” ทั่วป๋าฉินซินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่ว่าเรือนโม่โฉวก็ไม่อาจประมาทได้! พวกเจ้าแบ่งคนออกเป็นสองทาง กลุ่มที่มีคนหนุ่มมากให้ไปที่เรือนสดับวายุ กลุ่มที่คนน้อยหน่อยไปที่เรือนโม่โฉว ต้องรู้ว่า ทางเรือนโม่โฉวเพิ่งจะได้รับการฟื้นฟูใหม่ พวกผู้ดูแลและบ่าวไพร่ล้วนเพิ่งได้รับความเมตตาจากผู้หญิงคนนั้น เพิ่มเงินเดือนเพื่อปรับเปลี่ยนความคิด หลบหนีไปที่เรือนโม่โฉวก็เป็นไปได้เช่นกัน”
“ฉินซินกังวลว่าการคาดการณ์ของข้าจะผิดพลาดอย่างนั้นรึ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยคาดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะเชื่อฟังคำสั่งของทั่วป๋าฉินซินมากกว่า ต้องรู้ว่าพวกเขาล้วนเป็นบ่าวที่ตระกูลทั่วป๋าทิ้งไว้ในลี่โจวให้รับคำสั่งจากนาง เพียงแต่นางจะควบคุมดูแลน้อยครั้งไปบ้างเท่านั้น
“ฉินซินไม่กล้า!” ทั่วป๋าฉินซินกล่าวด้วยรอยยิ้มเริงร่า “เพียงแต่โอกาสมีเพียงครั้งเดียว หากโจมตีไม่ถูกจุด ทำให้พวกเขาเตรียมการป้องกันที่เข้มงวดขึ้น หรือส่งคนไปยังเรือนพำนักอวี้ฉิงตรงๆ ล่ะก็ พวกเราก็ย่อมไม่มีโอกาสและวิธีจะจัดการเรื่องนี้ก่อนญาติผู้พี่จะกลับมาแล้ว ข้าไม่อาจปล่อยให้เกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรได้ ท่านย่าไม่คิดแบบนั้นรึ!”
“เช่นนั้นก็ว่าตามฉินซินเถิด!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยพยายามข่มกลั้นโทสะ ก่อนแม่นมผู้นั้นจะรับคำสั่งทันที
“อีกอย่าง สาวใช้ข้างกายของผู้หญิงคนนั้นได้เซ่อซ่าทำเครื่องแป้งตกแตก นี่ก็เป็นอีกเบาะแสหนึ่งเช่นกัน!” ทั่วป๋าฉินซินดึงกระดานหมากกลับมาเป็นของตน ในใจนั้นดีใจจนแทบพูดอะไรไม่ออก นางคิดว่าตนเองมีความจำเป็นที่ต้องทำให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยรู้ว่า ตัวทั่วป๋าซู่เยวี่ยนั้นไม่ได้เป็นคุณหนูตระกูลทั่วป๋ามาหลายปีแล้ว แม้บ่าวของตระกูลทั่วป๋าล้วนเคารพนางและเชื่อฟังคำสั่งของนาง แต่หากมีตัวเองอยู่ด้วย นางก็ทำได้เพียงนั่งดูอยู่ด้านข้างเท่านั้น
“เจ้าค่ะ คุณหนู!” แม่นมกล่าวด้วยเสียงเคารพนับถือ “ข้าจะให้คนจับตาดูเจ้าค่ะ!”
“ฉินซินคิดจะลงมือเมื่อใดกัน?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมองทั่วป๋าฉินซินอย่างเรียบเย็น เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าตัวเองถูกบ่าวตระกูลทั่วป๋าและคุณหนูตระกูลทั่วป๋ากีดกันออกมาด้านนอก ความรู้สึกเช่นนี้รับไม่ได้เป็นอย่างมาก
“ยึดตามคำสั่งของท่านย่า!” ทั่วป๋าฉินซินชะงักไปเล็กน้อย จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนเองยังทำเป้าหมายไม่สำเร็จ ยังจำเป็นต้องใช้ความสนับสนุนของทั่วป๋าซู่เยวี่ยอยู่
“เย็นวันนี้ลงมือทันที!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวอย่างเยือกเย็น “เรื่องนี้เวลายิ่งนาน อุปสรรคก็ยิ่งมีมาก รอพวกเจ้าสืบหาแหล่งค้าขายเครื่องประทินโฉมให้ชัดเจน เจวี๋ยเอ๋อร์ก็คงกลับมาพอดี! ยิ่งไปกว่านั้น ข้างกายของนางก็มีสาวใช้ที่ทำพวกแป้งชาดได้ เรือนสดับวายุนั้นมีดอกไม้มากมาย หากคิดจะทำตอนนี้ก็ทำได้อยู่แล้ว!”
“เจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่!” แม่นมผู้นั้นหลังจากได้รับสายตาเป็นนัยจากทั่วป๋าฉินซินก็ตอบรับ “บ่าวย่อมทำตามคำสั่งของฮูหยินใหญ่ ขอฮูหยินใหญ่วางใจเถิดเจ้าค่ะ!”
ในที่สุด ในใจของทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็ผ่อนคลายลง พยักหน้ากล่าว “ไปเถิด! เรื่องนี้จำต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว ไม่อาจชักช้าได้!”
“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ บ่าวขอลา!”
“ฉินซิน ส่วนเจ้าก็ควรฝึกฝนนิสัยตนเองหน่อย วันนี้เป็นวันที่เจวี๋ยเอ๋อร์ออกไปวันที่เก้าแล้ว หากไม่ต่างจากที่คาดการณ์ไว้ อีกแปดเก้าวันก็คงจะกลับมาแล้ว สิ่งที่ควรจะทิ้งก็ทิ้งไปได้แล้ว อย่าได้เหลือไว้ในมือ!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยตักเตือนทั่วป๋าฉินซินที่นับวันก็ยิ่งไม่ชอบใจ บ่นรำพึงญาติของตนที่มักน้อยไปอีกที เหตุใดจึงไม่ให้กำเนิดลูกสาวมากขึ้นเสียหน่อย?
“ท่านย่าหมายความว่าอย่างไร?” ทั่วป๋าฉินซินนิ่งงันไป ของอะไรที่ควรทิ้งกัน
“ในมือของเจ้ายังมี ‘พิษกร่อนประสาท’ อยู่ไม่ใช่รึ? พิษในขนมครั้งก่อนก็คือของสิ่งนี้ ถ้าหากพ่อบ้านจิ่นบอกเรื่องนี้ให้เจวี๋ยเอ๋อร์รู้ ก็จะเสียเปรียบกับเจ้าแล้ว!” ยังแสร้งโง่อีก? ทั่วป๋าซู่เยวี่ยคาดไม่ถึงว่ามาถึงขนาดนี้แล้ว นางยังคิดจะปิดบังอีก
“ข้า…” ทั่วป๋าฉินซินคิดว่าตัวเองถูกใส่ร้ายแล้ว ในมือของนางมี ‘พิษกร่อนประสาท’ อยู่จริงๆ กระนั้นกลับไม่เคยนำมาใช้ เมื่อเห็นสีหน้าของทั่วป๋าซู่เยวี่ย รู้ว่าตัวเองแก้ตัวไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำได้แค่กล้ำกลืนฝืนทนกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว!”
—————