เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่อยู่ในอารมณ์ดีได้ถือโอกาสแอบกลับเรือนหิมะสุขใจในตอนกลางวัน ตงอวี่และเซียงเสวี่ยต่างก็พากันตกใจ แต่ก็ดีใจเป็นอย่างมากเช่นกัน…ไม่มีใครจะคาดเดาได้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะแวะเวียนมาตอนไหน อย่างไรอยู่ที่นี่ก็ถือเป็นเรื่องดีกว่า
“สะใภ้ใหญ่อารมณ์ดีจริงๆ เลยนะเจ้าคะ” เซียงเสวี่ยเตรียมน้ำร้อนให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ล้างกลิ่นหอมฉุนของดอกกุ้ยฮวา ทั้งถือโอกาสจัดการกลิ่นดอกกุ้ยฮวาที่ติดบนเสื้อผ้า
“ใช่ ดีมากๆ เลยล่ะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวราบเรียบ “ใจที่เอาแต่ว้าวุ่นมาโดยตลอด ในที่สุดก็สามารถสงบลงได้แล้ว ย่อมต้องรู้สึกสบายใจ ข้าจะไม่ออกไปอีกแล้ว เจ้าก็วางใจเถิด”
“เช่นนั้นก็ดีแล้วเจ้าค่ะ” เซียงเสวี่ยหวีผมให้นางอย่างแผ่วเบา ก่อนจะอดบ่นออกมาไม่ได้ “ผมนี้ยุ่งยากเหมือนกันนะเจ้าคะ สะใภ้ใหญ่ หรือจะใช้โอกาสตอนแม่นมฉินไม่ทันได้สนใจตัดออกเสียหน่อยดีไหมเจ้าคะ?”
“เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากทำหรือไร” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองนางอย่างไม่สบอารมณ์ไปหนึ่งที นางเกลียดผมยาวสลวยนี้ยิ่งกว่าเซียงเสวี่ยเสียอีก แต่หากแม่นมฉินรู้เข้า จะไม่บ่นพร่ำใส่ตัวเองจนเบื่อเลยหรืออย่างไร?
“คนตายก็ไม่ยุ่งยากแล้ว” ประโยคที่เย็นยะเยือกไม่รู้ว่าดังเข้ามาจากทางไหน เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยัดกายขึ้นด้วยความตกใจ นางจับความผิดปกติอันใดไม่ได้เลย เช่นนั้นผู้ที่มาย่อมมีวรยุทธ์สูงกว่านางอยู่มาก
“ใครกัน?” มือของเซียงเสวี่ยสั่นไปเล็กน้อย เสียง ‘เอี๊ยด’ ดังขึ้นพร้อมประตูที่เปิดออก ก่อนคนที่สวมชุดสีน้ำเงินผู้หนึ่งจะลอยเข้ามา ในมือยังหิ้วตัวคนเอาไว้ กลับเป็นแม่นมฉินและเซียงหลิง
“เป็นคนที่รูปลักษณ์งดงามคนหนึ่งจริงๆ” คนชุดน้ำเงินอ้าปากพึมพำเสียงเบา น้ำเสียงยังคงมีแต่ความเรียบเย็น “มิน่าเล่าจึงกลายเป็นบ่อเกิดหายนะได้!”
“เจ้าเป็นใครกัน?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดึงเซียงเสวี่ยเอาไว้ไม่ให้นางถลาเข้าไป นางรู้ว่าเซียงเสวี่ยมักติดนิสัยซ่อนพิษไว้ในแขนเสื้อ แต่ในมือของคนผู้นี้หิ้วตัวทั้งสองคนไว้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังทำให้ตัวเองจับความผิดปกติไม่ได้โดยสิ้นเชิง ฝีมือก็ย่อมห่างชั้นกับตัวเองมาก เซียงเสวี่ยบุกเข้าไปก็นับเป็นการรนหาที่ตายเท่านั้น
“คนที่จะมาเอาชีวิตเจ้า!” คนชุดน้ำเงินคลายแม่นมฉินและเซียงหลิงลงเล็กน้อย มองพินิจทั้งพึมพำเสียงเบา ก่อนจะกล่าวพลางถอนหายใจ “คนงามเช่นนี้ อายุน้อยเช่นนี้ก็มาต้องตายนับว่าเสียของแล้วจริงๆ! แม่นางคนงาม เห็นแก่ที่เจ้าหน้าตาสะสวย จะมอบโอกาสให้เจ้าเลือกแล้วกัน หากเจ้ายอมลงมือเอง ข้าก็จะเหลือร่างเจ้าไว้ ให้เจ้าได้ตายอย่างงดงาม แต่หากเจ้าไม่อาจลงมือได้ รอให้ข้าเป็นฝ่ายลงมือ ศพก็จะไม่สวยแล้วนะ!”
“สะใภ้ใหญ่ อย่าฟังคำพูดไร้สาระของเขานะเจ้าคะ!” เสียงของม่านเหอดังขึ้นพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่งที่ด้านนอกประตู ในนั้นมีสองคนที่เคยเป็นคนแบกเกี้ยวส่งนางออกจากจวน ในมือของพวกเขาล้วนถืออาวุธอยู่ ดูท่าทางยังลนลานอยู่บ้าง เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่นสะท้านในใจ ดูท่าพวกคนที่มีฝีมือที่สุดล้วนยังไม่มาถึงกัน
“ตายจริง ถูกจับได้เสียแล้ว!” แม้คนชุดน้ำเงินจะพูดเช่นนี้แต่กลับไม่มีความตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่ามั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเรามาลองกันสักตั้งดีหรือไม่? จะเป็นข้าที่หักคอคนงามนี้ได้ก่อนหรือว่าจะเป็นพวกเจ้าที่ช่วยนางได้ก่อน?”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์คาดคะเนระยะห่างของทั้งสองคนเล็กน้อย หากตัวเองไม่เป็นวรยุทธ์ เห็นได้ชัดว่าจะทำให้คนชุดน้ำเงินมีโอกาสลงมือ แต่ตนเองก็ไม่ใช่หญิงสาวอ่อนแอบอบบางขนาดนั้น หากจะหนีไปก็ไม่นับว่าเป็นปัญหา ทั้งยังสามารถพาเซียงเสวี่ยหลบหนีไปด้วยกันได้ด้วย เพียงแต่…นางเหลือบมองแม่นมฉินที่อยู่ในมือคนผู้นั้นไปหนึ่งที นางปิดตาทั้งสองข้างลงราวกับหมดสติไปโดยสิ้นเชิง ส่วนเซียงหลิงกลับเบิกตากว้าง แฝงไปด้วยท่าทีวิงวอน
“สะใภ้ใหญ่ พวกเราหนีได้นะเจ้าคะ!” เซียงเสวี่ยกดเสียงต่ำ แม้จะไม่รู้ว่าหลังจากที่หนีไปแล้ว คนผู้นี้จะไล่ตามเข่นฆ่าคนไปอีกเท่าใด แต่อย่างไรก็ย่อมหนีพ้นอย่างแน่นอน
“เช่นนั้นพวกเจ้าอยากจะลองดูสินะ!” คนชุดน้ำเงินกลับไม่มีท่าทีรีบร้อนสักนิด กล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบ “อย่างนั้นก็จัดการกับผู้หญิงทั้งสองคนนี้ในมือข้าก่อนแล้วกัน!”
“ช้าก่อน!” ความคิดร้อยพันแล่นเข้ามาในหัวของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ในที่สุดก็เอ่ยปากตามที่เขาต้องการ มองคนในชุดน้ำเงินด้วยสายตาที่เรียบเย็น “ข้าจะลงมือเอง!”
“สะใภ้ใหญ่!” เสียงร้องของเซียงเสวี่ยดังกว่าใครทั้งนั้น หรือนางจะลืมไปแล้วว่าตัวเองไม่ได้ตัวคนเดียว? เหตุใดจึงยอมรับปากง่ายดายเช่นนี้?
“สะใภ้ใหญ่ อย่านะเจ้าคะ!” ม่านเหอร้องขอ “ส่งคนไปหาคุณชายใหญ่แล้วนะเจ้าคะ เขาจะมาในอีกไม่ช้า พวกเราย่อมยืนหยัดรอจนคุณชายใหญ่มาได้แน่เจ้าค่ะ!”
“หุบปาก!” คนชุดน้ำเงินตะโกนกร้าวเสียงดัง จากนั้นก็ยิ้มตาหยีมองที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ กล่าวว่า “ไม่เลวเลย รู้จักประเมินสถานการณ์เสียด้วย หากให้ข้าลงมือด้วยตัวเอง ยังไม่รู้ว่าจะมีผู้เหลือรอดเท่าใด แต่หากเจ้าลงมือเองล่ะก็ ข้ารับประกันว่าจะไม่ทำร้ายชีวิตของคนอื่น”
“ข้าอยากได้ยินเสียงแม่นมฉิน” คนที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นห่วงที่สุดก็ยังคงเป็นแม่นมฉิน นางไม่รู้ว่าได้เกิดปัญหาอันใดกับแม่นมฉินหรือว่าไม่อยากให้ตัวนางทำเรื่องโง่ๆ ดังนั้นจึงได้แสดงท่าทีนั้นออกมา
“เจ้าคงกังวลว่านังแก่นี่จะตายสินะ” คนชุดน้ำเงินฉีกยิ้มขึ้นมา “วางใจเถิด ไม่ตายง่ายๆ หรอก”
“เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยายามรักษาท่าทีให้เรียบนิ่ง ไม่ให้ตัวเองเผยความลนลานออกมา
“ง่ายมาก ใช้ปิ่นปักผมที่อยู่บนโต๊ะแต่งหน้าของเจ้า เลือกอันที่ยาวๆ ใช่ แบบนั้นแหละ!” หลังจากคนชุดน้ำเงินเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ถือปิ่นปักอันหนึ่งก็พลันตื่นเต้นขึ้นมา ใบหน้าล้วนแต่ปรากฏรอยยิ้มอำมหิต หัวเราะเสียงเย็น “หลังจากนั้นก็แทงที่หน้าอกซ้ายของเจ้าลงไปแรงๆ หากแทงพลาด แทงตื้นเกินไป ก็อย่าโทษข้าที่ไม่รักษาสัญญาว่าจะลงมือแล้วกัน!”
“สะใภ้ใหญ่…” เซียงเสวี่ยดึงมือของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไว้ นางกังวลว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะทำตาม
“หลบไปเสียนังหนู อย่ามารบกวนเรื่องของข้า!” คนชุดน้ำเงินวางทั้งสองคนลงอย่างรวดเร็ว แม่นมฉินและเซียงหลิงล้วนพากันสำลักไอออกมา เซียงหลิงไม่ได้กล่าวอันใด ด้านแม่นมฉินลืมตาขึ้น ก่อนจะมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเรียบนิ่ง กล่าวด้วยเสียงเบา “หากเกิดเรื่องผิดพลาดอะไรกับท่าน บ่าวก็จะไม่อยู่เช่นกัน!”
“นังแก่นี่หาที่ตายจริงๆ!” คนชุดน้ำเงินคาดไม่ถึงว่ามาถึงเวลานี้แล้วแม่นมฉินก็ยังปากหนัก ยกเท้าขึ้นเตรียมที่จะถีบ
“ยั้งมือเดี๋ยวนี้นะ!” ที่จริงแล้วเยี่ยนมี่เอ๋อร์อยากจะร้องว่ายั้งเท้ามากว่า เห็นคนชุดน้ำเงินเก็บเท้ากลับไป นางก็สบมองกับเซียงเสวี่ย แล้วเอ่ยว่า “เจ้าถอยไปอยู่ที่ข้างเตียง!” ด้านข้างเตียงมีระยะห่างจากที่นี่อยู่หนึ่งวา[1]หากคิดจะหนีก็ย่อมมีโอกาสมากกว่า
“ไม่เจ้าค่ะ!” เป็นครั้งแรกที่เซียงเสวี่ยปฏิเสธคำสั่งของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นางรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ย่อมตัดสินใจทำตามคนผู้นั้น
ผัวะ! เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดึงเซียงเสวี่ยเข้ามาอย่างแรง ก่อนจะผลักนางลงไปที่พื้น จากนั้นก็ใช้ปิ่นทาบที่ตำแหน่งอกด้านซ้าย กล่าวด้วยเสียงเยือกเย็น “ตรงนี้รึ?”
“มิผิด!” คนชุดน้ำเงินมองด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แทงเข้าไปแรงๆ ข้ารับประกันว่าจะไม่ทำร้ายชีวิตของใคร…หึ!…หากปิ่นแทงเข้าไปหมดแล้วเจ้ายังไม่ตาย ข้าก็ไม่อาจเข้าไปแทงเพิ่มอีกหรอก!”
ที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ต้องการก็คือประโยคนี้ นางไม่สนใจเสียงเรียกของใครทั้งนั้น สูดลมหายใจเข้าลึกเล็กน้อย ใช้ลมปราณที่ซ่อนเร้นไว้ลึกที่สุดของร่างกายปกป้องบริเวณท้องน้อยเอาไว้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะแทงปิ่นไปที่หน้าอกซ้ายอย่างแรงจนได้ยินถึงเสียงปิ่นเสียบทะลุเนื้อ ผ่านเข้าไปถึงกระดูก รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่แทบจะฉีกร่างนางออกจากกัน ก่อนร่างระหงจะโอนเอนเล็กน้อย กระนั้นก็ไม่ยอมจะล้มลง เซียงเสวี่ยรีบปีนขึ้นมาประคองร่างนางเอาไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา…
“ช่างเป็นหญิงสาวบอบบางที่ใจกล้าจริงๆ!” คนชุดน้ำเงินนึกไม่ถึงว่าหญิงสาวบอบบางเช่นนี้กลับสามารถใจแข็งลงมือได้ เห็นปิ่นแท่งนั้นแทงทะลุออกมาด้านนอก ก็มั่นใจว่าย่อมแทงลึกเข้าหัวใจ ภารกิจของเขาก็นับว่าสำเร็จแล้ว ไม่สนใจคนที่ถลาเข้ามาทั้งเสียงร้องอย่างตกใจ เขารวบรวมพลังที่ขาทั้งสองข้าง พุ่งขึ้นไปด้านบน ทะลุหลังคาจากจนเป็นรู ก่อนจะยืนบนหลังคามองหญิงสาวรูปงามที่ในที่สุดก็ตัวอ่อนล้มลงไปในอกของสาวใช้ผู้นั้น ดวงตาที่เบิกกว้างมาโดยตลอดก็ค่อยๆ ปิดลง คล้ายกับว่าได้ไร้ลมหายใจไปแล้ว…
ช่างเป็นหญิงสาวที่หาได้ยากจริงๆ! คนชุดน้ำเงินถอนหายใจ เสียดายที่เดิมทีก็ไม่ควรมีการคงอยู่ของนาง ยิ่งไม่ควรแต่งกับตระกูลเก่าแก่อย่างเอริกเกริก ทั้งยังได้รับความโปรดปรานอย่างมากมาย นับว่าเป็นหญิงงามที่อาภัพอย่างแท้จริง!
หลบหนีจากคนพวกนั้นขึ้นไปบนหลังคาอย่างง่ายๆ ทั้งยังหนีออกไปจากเรือนหิมะสุขใจอย่างง่ายดาย แฝงตัวกลมกลืนไปกับผู้คนภายนอก ต่อให้หาอย่างไรก็คงหาไม่เจออีกแล้ว…
“สะใภ้ใหญ่…” เซียงเสวี่ยประคองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง พยุงนางไม่ให้นางล้มลงไป ในตอนที่แม่นมฉินเห็นปิ่นแท่งนั้นปักเข้าไปก็เป็นลมล้มลงไปแล้ว ส่วนเซียงหลิงนั้นดูแลนางด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน
“ข้าไม่เป็นไร…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คล้ายกับทนความเจ็บปวดเช่นนั้นไม่ไหวจึงล้มลงไป นางเห็นคนชุดน้ำเงินทะยานขึ้นไปบนหลังคาอย่างง่ายดาย ทั้งพาเอาพวกบ่าวที่ไล่ตามอย่างตะลีตะลานไปด้วย มองสาวใช้ที่ถลาเข้ามา ก็กัดฟัน พยายามกล่าวในยามที่พอประคองสติไว้ได้อยู่ “ข้าไม่เป็นอะไรหรอก…ตงอวี่ต้องไปเดี๋ยวนี้…”
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยใบหน้าอาบน้ำตา นางรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่อาจตาย ทั้งรู้ว่าหากไม่ใช่เพราะนางมีความมั่นใจก็ไม่อาจทำตามคำพูดของคนชุดน้ำเงินเช่นกัน แต่ว่า…ฉากที่นางแทงปิ่นลงที่อกอย่างเด็ดเดี่ยวนั้นได้สะเทือนใจนางอย่างถึงที่สุด
“สะใภ้ใหญ่…” ม่านเหอถลาเข้ามาด้านข้างนาง กลับเห็นว่านางค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง ก็ทำอะไรไม่ถูก หรือว่า…หรือว่า…
“สะใภ้ใหญ่ยังหายใจอยู่!” คำพูดของเซียงเสวี่ยทำให้ม่านเหอรวบรวมสติที่แทบจะกระจัดกระจายขึ้นมาได้อีกครั้ง คว้ามือของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เพื่อตรวจอาการ ก็พบว่ายังคงมีชีพจรอยู่จริงๆ เพียงแต่แผ่วเบาจนแทบจะคลำไม่เจอ
“พาสะใภ้ใหญ่ไปที่เตียง!” ม่านเหอและเซียงเสวี่ยประคองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ไม่ได้สติไปที่เตียงอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็กล่าว “รีบไปเชิญนายท่านอินเข้ามา เร็วเข้า!”
มีคนรับคำสั่งก่อนจะออกไป ยามนี้เซียงเสวี่ยจึงเพิ่งพบว่าแทบจะไม่ได้เห็นเงาของจื่อหลัวและลู่หลัวเลย กล่าวถามออกไป “จื่อหลัว ลู่หลัวล่ะ?”
“พวกนางถูกคนผู้นั้นทำให้สลบไป…” ม่านเหอเช็ดน้ำตา มองใบหน้าที่ไร้สีเลือดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เอาแต่จับมือของนางสัมผัสชีพจรที่แผ่วเบาแต่ก็ยังคงเต้นอยู่ตลอดเวลา “มีคนพบพวกนางและคนกลุ่มหนึ่งนอนอยู่ในมุมมืดจึงได้รู้ว่ามีคนลอบเข้ามา วรยุทธ์ของคนผู้นี้ไม่ธรรมดา เกรงว่าภูมิหลังก็คงไม่ธรรมดาเช่นกัน!”
“พี่ม่านเหอ สะใภ้ใหญ่จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” เซียงเสวี่ยยื่นมือไปตรวจสอบลมหายใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แม้จะแผ่วเบาแต่ก็สม่ำเสมอ รู้ว่านางคงไม่เป็นอันใดมาก เพียงแต่เพื่อปกป้องหัวใจและทารกในครรภ์ จึงได้เกิดสภาวะแกล้งตายและเป็นลมเช่นนี้ขึ้น
“ใช่…” น้ำเสียงของม่านเหอสั่นเครือ นางไม่รู้ว่าสะใภ้ใหญ่จะสามารถยืนหยัดได้นานเท่าใด ขอเพียงแค่นางสามารถยืนหยัดรอจนนายท่านอินมาก็ย่อมช่วยกลับมาได้แน่ แต่นางจะสามารถประวิงเวลาจนถึงยามนั้นได้หรือไม่?
“มี่เอ๋อร์…” แม่นมฉินได้สติก็ร้องขึ้นอย่างตกใจ ไม่สนใจการขัดขวางจากเซียงหลิง ลุกขึ้นมาอย่างโซซัดโซเซ พุ่งมาที่หน้าเตียงด้วยความทุลักทุเล เซียงเสวี่ยขวางนางไว้ทันที กล่าวปลอบใจ “แม่นม สะใภ้ใหญ่ไม่เป็นอะไร ท่านอย่าได้ทำให้เรื่องยุ่งเลย”
“มี่เอ๋อร์ไม่เป็นอะไรจริงๆ อย่างนั้นรึ?” แม่นมฉินจะกล้าเชื่อได้อย่างไร ปิ่นแท่งนั้นแทงเข้าไปถึงหัวใจ จะไม่เป็นอันใดได้อย่างไร
“แม้ชีพจรของสะใภ้ใหญ่จะเต้นแผ่วเบาแต่ก็ยังมั่นคงอยู่ ขอเพียงแค่นางสามารถยืนหยัดรอจนนายท่านอินมาก็ย่อมไม่เป็นอะไรแน่!” ม่านเหอไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังกล่าวปลอบใครกันแน่
“รีบไปเอาแผ่นโสมมาให้มี่เอ๋อร์เร็ว!” แม่นมฉินนั่งลงด้านล่างเตียง มองใบหน้าที่ซีดเผือดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา แต่อย่างไรก็เป็นคนชรา ยังคงมีประสบการณ์มาก
“ข้าไปเอง!” เซียงเสวี่ยออกไปอย่างรวดเร็ว นางยังจำเป็นต้องให้ตงอวี่ฉวยโอกาสจากไปในเวลานี้ด้วย ไม่อาจทำให้ถูกพวกคนกลุ่มเดียวกับคนชุดน้ำเงินจับได้…
——————————–
[1] หนึ่งวา = ประมาณสองเมตร