สิ่งที่เรียกว่าคนกำหนดหรือจะสู้ฟ้าลิขิต แล้วสิ่งที่เรียกว่าประจวบเหมาะโดยบังเอิญนั้น ในที่สุดซั่งกวนจิ่นก็เข้าใจในวันนี้!
เพื่อจะรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เขานอนไม่หลับทั้งคืนและซ่อนตัวอยู่ที่ใดสักแห่งเกือบตลอดคืน จนแน่ใจว่าไม่มีทางจะถูกจับกลับไปเป็นคนที่รับเคราะห์แทนได้ เมื่อได้ยินสิ่งที่ไม่คาดคิดจากคำพูดอึกๆ อักๆ จากลูกหลานห่างๆ ของตระกูลซั่งกวนที่กลับมา ทันใดนั้นสิ่งต่างๆ ก็เกิดพลิกกลับตาลปัตรไปหมด หันไปในทิศทางที่พวกเขานึกไม่ถึง ในขณะที่ซั่งกวนจิ่นไม่สามารถกลั้นรอยยิ้มไว้ได้ ส่วนอีกด้านหนึ่งเพื่อจะกลับบ้านแต่เนิ่นๆ ซั่งกวนฮ่าวที่เร่งรีบเดินทางทั้งคืนได้กลับมาพร้อมกับกลุ่มคนที่เหนื่อยล้า
ในภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด เป็นการยากที่จะให้ญาติผู้หญิงทุกคนกลับไปพักผ่อนที่ห้อง ยังไม่ทันจะได้มีเวลาพักหายใจ เมื่อมีการรายงานเรื่องสำคัญและเร่งด่วนที่สุดไปยังซั่งกวนฮ่าวนั้น สีท้องฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้นเล็กน้อย และมีเสียงกรีดร้องสนั่นหวั่นไหวแว่วมาจากเรือนทางใต้ตัดผ่านความเงียบก่อนรุ่งสางต้อนรับเข้าสู่วันใหม่…
ทั่วป๋าซู่เยวี่ยตื่นเช้ามาก ไม่ถึงยามเหม่า[1] นางก็เตรียมแต่งตัวพร้อมออกเดินทางแล้ว นางไม่ได้เรียกอวี่ไข่ (ถึงเรียกก็เรียกไม่ได้) และก็ไม่ได้เรียกพิงถิง แต่สั่งกำชับแม่นมและสาวใช้ที่ไว้ใจได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น สิ่งที่พวกนางเฝ้ารอคอยก็คือเสียงกรีดร้องของทั่วป๋าฉินซิน ครั้นได้ยินเสียงกรีดร้องนั้น ทั่วป๋าซู่เยวี่ยจึงพาพวกแม่นมรีบมุ่งหน้าไปที่เรือนทางใต้อย่างรวดเร็ว (พวกนางไม่กล้าทำประเจิดประเจ้อเกินไป ไม่ได้แจ้งให้เกี้ยวรอล่วงหน้า จึงได้แต่รบกวนสองขาของพวกนางให้ทำงานหนัก) ขณะที่เดินไป ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็ชื่นชมอยู่ในใจไปพลาง ในที่สุดยัยเด็กสาวฉินซินคนนี้ก็เรียนรู้จะฉลาด พอได้ยินเสียงกรีดร้องก็รู้ว่านางตื่นตระหนกแค่ไหน นางยอมรับไม่ได้ขนาดไหน นางไม่คาดคิดมากเพียงใด…ใครก็ตามที่ได้ยินเสียงกรีดร้องนี้ จะไม่คิดว่าฉินซิน วางกับดักนี้ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน…
ความเจ็บแปลบไปทั้งตัวทำให้ทั่วป๋าฉินซินครวญครางอย่างควบคุมไม่ได้ มือใหญ่ข้างหนึ่งจับเอวนางไว้แน่น ขาหนักอึ้งกดทับร่างของนางอยู่จึงไม่มีเรี่ยวแรงอีกต่อไป แต่สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายทำให้นางขวยเขินและมีความสุข ในที่สุดนางก็เป็นคนของลูกผู้พี่…
โดยไม่ต้องลืมตา นางสัมผัสได้ว่าสิ่งที่หนุนนอนอยู่ไม่ใช่หมอน แต่เป็นแขนของบุรุษ ศีรษะของนางไม่ได้อยู่บนขอบเตียง แต่เป็นคางของผู้ชาย หนังศีรษะของนางสัมผัสได้ถึงลมหายใจออกของเขา มือของนางแตะหน้าอกของชายคนนั้น รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงโครมคราม…เป็นพรอันประเสริฐที่ได้ตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนของลูกผู้พี่เชียวนะ!
นางคิดถึงว่าจะเปลี่ยนมือที่วางทาบหน้าอกไปโอบกอดแผ่นหลังของชายผู้นั้นไม่หยุดหย่อน เพื่อให้ระยะห่างอันน้อยนิดระหว่างทั้งสองมลายหายไป ถ้าเป็นอย่างที่คิดนี้ได้ต่อไปเรื่อยๆ คงวิเศษทีเดียว! น่าเสียดายจริง…
ทั่วป๋าฉินซินถอนหายใจเล็กน้อย แล้วสูดหายใจเข้าลึก เงยหน้าขึ้นมองก่อนเตรียมพร้อมจะกรีดร้อง อยากดูคนรักที่นอนหลับใหลอยู่สักแวบหนึ่ง หลังจากที่นางส่งเสียงร้องออกมา ก็ไม่มีช่วงเวลาที่เงียบสงบเช่นนี้ระหว่างพวกเขา แต่ว่า…
“หา!” แม้จะมีเพียงแสงรำไร แต่ทั่วป๋าฉินซินก็ยังมองเห็นได้ นี่ไม่ใช่ลูกผู้พี่ที่นางคิดคะนึงหา แต่เป็นใบหน้าที่คุ้นเคยและน่าขยะแขยงของซั่งกวนอวี่ไข่ เป็นไปได้อย่างไร? เป็นไปได้อย่างไร? นางรับไม่ได้ ตะโกนร้องอย่างตกใจ นางหวังว่ามันจะเป็นแค่ฝันร้าย!
“ร้องอะไรน่ะ! หา หา…” ซั่งกวนอวี่ไข่ถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับใหล พูดอย่างสับสนออกมาคำหนึ่ง แต่สะดุ้งกลัวกับใบหน้าที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมจนอกสั่นขวัญแขวน
“เป็นเจ้าไปได้อย่างไร? เหตุใดถึงเป็นเจ้าไปได้? เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” ทั่วป๋าฉินซินทั้งผลักและทุบตีอย่างสุดแรง เกิด เมื่อคืนเห็นได้ชัดว่าเป็นลูกผู้พี่ พอตื่นขึ้นมาจะกลายเป็นซั่งกวนอวี่ไข่ได้อย่างไร ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร!” ในหัวของซั่งกวนอวี่ไข่ยังคงยุ่งเหยิง จำอะไรไม่ได้ แต่…เขากับทั่วป๋าฉินซินนอนกายแนบชิดกันอยู่บนเตียง ความรู้สึกแปลกๆ มาจากร่างกายส่วนล่าง พาให้เขารู้ว่าเขาและนางเนื้อกายสนิทแนบแน่นไม่มีช่องว่างแม้แต่น้อย
“ออกไป! เจ้าออกไป! เจ้าออกไปเดี๋ยวนี้!” ทั่วป๋าฉินซินทั้งร้องไห้และตบตีซั่งกวนอวี่ไข่ รู้สึกถึงมือและขาของเขาออกจากร่างกายของนาง แน่นอนว่ายังเป็นเขาที่ออกไปก่อนนั่นเอง…
ตุ้บ! ซั่งกวนอวี่ไข่ตกจากเตียงอย่างกระเซอะกระเซิง เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขารู้ว่าต้องออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุดทันทีทันใด เขาโขยกเขยกลุกขึ้นจากพื้น แยกไม่ออกแล้วว่าเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ของใครที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้น ไม่ว่าจะแต่งตัวเรียบร้อยหรือไม่ ก็ไม่สนใจทั่วป๋าฉินซินที่นั่งร่ำไห้และกรีดร้องอยู่บนเตียงอย่างหมดอาลัยตายอยาก แม้จะรีบวิ่งโกยแน่บออกไปข้างนอก กระนั้นพอเปิดแง้มประตู กลับปะทะกับทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่มาด้วยความเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ…
ทั่วป๋าซู่เยวี่ยรีบเร่งสุดชีวิต…มิอาจปล่อยให้เจวี๋ยเอ๋อร์มีโอกาสหรือทางจะหลุดรอดไปได้ ถ้าไม่สามารถจับเรื่องชู้สาวบนเตียงได้ ต่อไปก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว แต่นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า นางวิ่งมาจวนเจียนจะละสังขาร ในที่สุดก็ถลามาเจอซั่งกวนอวี่ไข่ที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ย เตรียมเปิดประตูหนีด้วยท่าทางตื่นตระหนก
“เป็นเจ้าไปได้อย่างไร?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยร้องเสียงแหลม
“ไม่ใช่ข้า!” ซั่งกวนอวี่ไข่ตอบกลับทันที
“เจ้ายังไม่ไสหัวออกไปอีก!” ทั่วป๋าฉินซินกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งเมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างคนทั้งสอง
“เจ้าไปเร็วเข้า!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่กล้าคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ยามนี้นางแค่ต้องการให้อวี่ไข่ออกไปจากจุดที่ผิดที่ผิดทางนี้โดยเร็ว
“อื้ม!” ซั่งกวนอวี่ไข่ขานตอบ ก่อนประตูจะแง้มดิบดีก็รีบวิ่งพรวดพราดออกไป เขาจะรั้งอยู่จนถูกใครจับไม่ได้
โป๊ก! คนที่กำลังมาปะทะกับซั่งกวนอวี่ไข่ ‘ความเหน็ดเหนื่อยมาทั้งคืน’ ของซั่งกวนอวี่ไข่ก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ทั้งก้าวย่างที่ไม่มั่นคง กอปรกับความวุ่นวายในสมอง ก็ล้มลงกับพื้นโดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลย แล้วก่นด่าโดยไม่มอง “บ่าวไพร่คนไหนมันไม่มีตา…”
“ข้าเอง!” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น เต็มไปด้วยความโมโหและผิดหวัง ซั่งกวนอวี่ไข่คิดว่าเขาเห็นภาพหลอนเมื่อถูกชนล้มลง เขาจึงตบหัว เงยหน้าขึ้นพร้อมกับภาพลวงตาสุดท้าย ก็เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวของซั่งกวนฮ่าวปรากฏขึ้นในสายตาของเขา
“ท่านพ่อ!” ซั่งกวนอวี่ไข่ตะโกนอย่างสิ้นหวัง แต่ถูกซั่งกวนจิ่นปิดปากไว้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มองซั่งกวนอวี่ไข่ที่แต่งตัวไม่เรียบร้อยไม่ว่า ทั้งยังสวมกางเกงขายาวของผู้หญิงอีกด้วย ซั่งกวนฮ่าวจึงจัดการลงโทษโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ซั่งกวนฮ่าวเดินเข้ามาในเรือนอย่างช้าๆ ด้วยใบหน้าบึ้งตึง แม่นมและสาวใช้หลายคนที่เห็นเขาต่างอ้าปากหวอ แต่ตกใจกลัวแววตาที่เย็นชาและไม่ร้อนรนของเขาจนกลืนคำพูดไปด้วย ไม่กล้าพูดอะไร
“เป็นเยี่ยงนี้ไปได้อย่างไร?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกระซิบถามทันทีที่เข้ามาในห้องก็ต้องตกใจกับเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายเกลื่อนพื้น มองทั่วป๋าฉินซินที่ร่างเปลือยเปล่า ใช้ผ้าห่มผืนหนาคลุมกายและร้องไห้ฟูมฟายอยู่
“ข้าก็ไม่รู้!” ทั่วป๋าฉินซินน้ำตาไหลและสะอื้นไห้พูดว่า “เห็นชัดๆ ว่าเป็นลูกผู้พี่ ข้าเห็นอยู่ทนโท่ว่าเป็นลูกผู้พี่ หลายคนก็เห็นด้วย แต่เมื่อตื่นขึ้นก็กลายเป็นเช่นนี้…ข้าควรทำอย่างไร? ข้าควรทำอย่างไรดี…”
“อย่าร้องไห้!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยทำอะไรไม่ถูกในสถานการณ์เช่นนี้พลางกล่าวว่า “รีบเก็บข้าวของที่พื้น เมื่อมีคนถามก็ยืนกรานบอกว่าเป็นเจวี๋ยเอ๋อร์ เล่าว่าพอเขาได้ยินเจ้ากรีดร้องก็กระโจนออกไปทางหน้าต่าง เข้าใจไหม?”
“ข้าไม่เข้าใจ ท่านแม่โปรดอธิบายด้วย!” เสียงอันเยือกเย็นของซั่งกวนฮ่าวดังแว่วมาจากนอกห้อง ทำให้ทุกคนในห้องสีหน้าซีดเผือด ซั่งกวนฮ่าว? เขาจะกลับมาในอีกสองหรือสามวันไม่ใช่หรือ? ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้?
“ยังมีอีก เจ้าลูกเนรคุณคนนี้วิ่งออกมาจากห้องของฉินซินด้วยเสื้อผ้าหลุดลุ่ยได้อย่างไร ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ท่านแม่ให้คำอธิบายแก่ข้าด้วย!” ซั่งกวนฮ่าวเตะซั่งกวนอวี่ไข่เข้าไปในห้องด้วยตัวเอง แต่เขายืนอยู่ที่หน้าประตูแล้วพูดว่า “ที่นี่คือตระกูลซั่งกวน ท่านแม่อยากจะใช้อิทธิพลบังฟ้าด้วยมือข้างเดียว ปิดบังสายตาของทุกคนดูเหมือนจะยาก ข้ารอท่านอธิบายอยู่!”
“ฮ่าวเอ๋อร์!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยร้องเสียงแหบแห้งแต่ไม่รู้จะพูดอะไรอีกต่อไป ครั้นมองซั่งกวนอวี่ไข่ที่ขดตัวกลมเป็นลูกหนัง แล้วมองทั่วป๋าฉินซินที่กลัวจนตัวสั่นและไม่สามารถเอื้อนเอ่ยอะไรได้ มองดูพื้นที่รกเกลื่อนกลาดอีกครั้ง นางกลอกตามองค้อนขวับ แล้วเป็นลมล้มพับไป แม่นมหนิงที่อยู่ข้างๆ ช่วยพยุงนางอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้นางล้มลงกับพื้น
“ฮูหยินใหญ่เป็นลม!” แม่นมหนิงร้องเรียก ซั่งกวนฮ่าวยิ้มอย่างเยียบเย็น เป็นลม? เมื่อสิ่งต่างๆ ถูกเปิดเผย ยามที่ทำ อะไรไม่ถูกก็เป็นลม ถึงเวลาแล้วที่นางจะเป็นลมจริงๆ เสียที!
“พวกเจ้าสองคนเข้าไปช่วยประคองฮูหยินใหญ่ออกมา ให้นางพักผ่อนอยู่ในเรือน! น้องจิ่น เรียกหงหลันมาตรวจดูอาการฮูหยินใหญ่ และบอกคนจากเรือนพนาวายุให้มาพบข้าด้วย หากเรื่องในวันนี้ไม่กระจ้างแจ้ง ผู้คนในเรือนแห่งนี้อย่าหวังจะได้ออกไปข้างนอกเว้นแต่จะตาย!” ซั่งกวนฮ่าวฉุนเฉียวแล้วจริงๆ เขาโกรธมาถึงขีดสุดขั้นนั้นแล้ว ไม่นึกว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยยังคิดจะสาดใส่ความซั่งกวนเจวี๋ยอีก นั่นคือนายท่านคนต่อไปของตระกูลซั่งกวน เป็นลูกชายคนโตของเขา และเป็นหลานชายคนโตของนางด้วย นางลอบวางแผนครั้งแล้วครั้งเล่ากระทั่งมาถึงจุดนี้ก็ยังไม่ยอมรามือ
“อีกอย่าง พวกเจ้าสองคนเข้าไปรอให้คุณหนูทั่วป๋าลุกขึ้น ห้ามขยับเขยื้อนสิ่งใดในห้องตามอำเภอใจ รอคนจากเรือนพนาวายุมายลดูคุณหนูตระกูลทั่วป๋าที่น่าภาคภูมิใจของพวกเขาว่านี่มันเป็นตัวอะไรกันแน่!” ซั่งกวนฮ่าวได้ฟังเพียงไม่กี่คำที่ซั่งกวนจิ่นรายงานมาในระหว่างทางแล้ว จึงรู้สถานการณ์คร่าวๆ ของเรื่องนี้ กระทั่งเขายังอาจจะกระจ่างแจ้งมากกว่าซั่งกวนจิ่นเสียอีกว่าเหตุใดจึงได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น…แต่ถ้าไม่ใช่เพราะอินหงหลันรีบร้อนพูดออกมา เขาอาจจะตัดหัวออกก็ได้
แต่โชคดีที่อินหงหลันพูดทะลุกลางปล้องขึ้นมา ไม่อย่างนั้นล่ะก็ จะกลายเป็นเหมือนญาติห่างๆ ของตระกูลซั่งกวนผู้นั้น ทั่วป๋าเชียนเย่าคงอยากจะตบทั่วป๋าฉินซินให้ตายคามือมากกว่าจะยกนางให้แต่งงานกับตระกูลเล็กๆ ที่ไม่รู้จัก ในกรณีนั้นตระกูลซั่งกวนกับตระกูลทั่วป๋าคงจะต้องแตกหัก
ซั่งกวนเจวี๋ยรีบเข้ามาอย่างเชื่องช้า…ทันทีที่เขาออกจากเรือนมีคู่ก็ถูกโม่เซียงขวางไว้ให้รอมานานพักใหญ่ เขารู้ว่าเรื่องราวเปลี่ยนไปในทิศทางที่ไม่คาดคิด และรู้ว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อได้ยินเรื่องของงานประลองยุทธ์ด้วยระหว่างทางกลับเมื่อสามวันก่อน…แน่นอนมันหมายถึงว่าตระกูลซั่งกวนต้องพูดสะสางเรื่องบางอย่าง จึงกังวลว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะทนทุกข์ทรมาน ดังนั้นทุกคนจึงตัดสินใจเร่งรีบออกเดินทางตลอดคืน แล้วกลับมากลางดึก เพียงเพราะเป็นห่วงเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ตั้งครรภ์ว่าจะตกใจเสียขวัญ เลยไม่อนุญาตให้ไปรบกวนเรื่องนี้
ในเมื่อมีบิดานั่งประจำการอยู่ ซั่งกวนเจวี๋ยจึงมาช้าๆ ด้วยความรู้สึกปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ เขาไม่ลืมจะสั่งกำชับอยู่แล้วว่า…หากทั่วป๋าเชียนเย่ามาถึงเรือนชาน ให้เชิญเขาไปชมการแสดงที่เรือนทางใต้โดยตรง ไม่ต้องรายงาน…
———————————-
[1] ยามเหม่า คือ ช่วงเวลา 05:00 – 06:59