เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 224 ไม่เจียมตัวอีกคนแล้ว

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

งานแต่งงานของอวี่ไข่และอวี่ฮ่าวในวันนี้คึกคักคับคั่งไปด้วยแขกเหรื่อยิ่งกว่างานของซั่งกวนเจวี๋ยเสียอีก…แขกของตระกูลซั่งกวน ตระกูลมู่หรง และตระกูลทั่วป๋าล้วนเบียดเสียดอยู่ด้วยกัน แม้ว่าคิดอยากจะอยู่เงียบๆ ก็แทบเป็นไปไม่ได้ เพียง แต่ฐานะของพวกแขกนั้นกลับด้อยไปอยู่บ้าง มู่หรงฉวีกุยปรากฏตัวด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มเริงร่า ลูกสาวที่เขารักและเอ็นดูที่สุดกำลังจะออกเรือน ย่อมต้องออกหน้าด้วยตัวเอง ในทางตรงกันข้าม ตระกูลทั่วป๋ากลับดูห่อเหี่ยวลงอย่างมาก ตามที่ได้ยินมา ทั่วป๋าเชียนเย่ากล่าวว่าล้มป่วย ไม่อาจมาได้ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของลูกชายคนโต ทั่วป๋าฉินหลิ่งที่รับผิดชอบออกหน้าแทนเขาในทุกๆ เรื่อง นี่ทำให้ขบวนส่งเจ้าสาวของตระกูลทั่วป๋าขาดสีสันไปมาก

แต่ว่าผู้นำตระกูลของตระกูลอื่นๆ ต่างก็ไม่ได้มาร่วมงานด้วยตนเอง ส่วนมากก็ล้วนเป็นลูกคนโตภรรยาเอกที่มาออกหน้าแทนทั้งนั้น ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าแขกเหรื่อที่มามีจำนวนมากขึ้นไม่น้อย ถึงกระนั้นก็ยังทำให้คนรู้สึกถึงความแตกต่างกับงานแต่งครั้งที่แล้วได้อย่างชัดเจน

หลังจากเปิดผ้าคลุมหน้า พวกแขกผู้ชายก็ดึงเจ้าบ่าวออกไปพูดคุยเฮฮาสนุกสนาน ส่วนเจ้าสาวก็ต้องทำตามประเพณี รั้งตัวอยู่ในเรือนหอ ในเมื่อได้จัดเตรียมเรือนใหม่ให้พวกเขาเสร็จเรียบร้อย งานแต่งวันที่เจ็ดให้หลังก็ต้องย้ายออกไปพักที่นั่น ที่นี่เป็นเพียงที่พำนักชั่วคราวเท่านั้น จึงไม่ได้พิถีพิถันอะไรมาก ทั้งในวันที่สาม เจ้าบ่าวยังต้องเชิญเพื่อนสนิทมิตรหายทุกคนไม่น้อยกว่าสิบคนไปเยี่ยมชมบ้านใหม่ของตนเอง ทั้งนับว่าเป็นการทำให้รู้จักลู่ทาง ภายหลังจะได้สะดวกไปมาหาสู่กัน

ซั่งกวนอวี่ไข่เพิ่งจะออกไป ทั่วป๋าฉินซินก็ทักทายต้อนรับสมาชิกผู้หญิงของตระกูลทั่วป๋าให้นั่งลง (ทั่วป๋าฉินซินไม่ได้สนิทสนมกับใครเท่าใด นอกจากสมาชิกผู้หญิงของตระกูลทั่วป๋าแล้ว แขกผู้หญิงคนอื่นๆ ก็ล้วนไปทางมู่หรงชิงหวั่นโดยไม่ได้นัดหมาย) ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไร ก็มีสาวใช้กล่าวรายงานเสียก่อน “สะใภ้ใหญ่มาเจ้าค่ะ!”

ทั่วป๋าฉินซินคาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก นางรู้ว่ามู่หรงชิงหวั่นและเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงมีมิตรภาพต่อกันอยู่บ้าง ส่วนตัวเองและนางกลับมีความสัมพันธ์ที่น่าอึดอัด ในยามนี้ร่างกายของนางยังเคลื่อนไหวลำบาก ควรจะเลือกไม่ต้องสนใจทั้งสองฝ่าย หรือไม่ก็ตั้งใจไปเยี่ยมดูทางมู่หรงชิงหวั่นก็พอแล้ว กลับนึกไม่ถึงว่านางจะมาหาทางตัวเองด้านนี้

“ขอโทษด้วย ข้ามาสายเสียแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มราบเรียบ เดินเข้าประตูมาภายใต้การพยุงของสาวใช้ทั้งสอง กวาดสายตาไปรอบๆ มองคนที่เผยท่าทีแตกต่างกันไปเหล่านั้น ก็กล่าวยิ้มๆ “จะมาแสดงความยินดีน้องสะใภ้ที่แต่งงานใหม่ เดิมทีก็ควรมาเร็วหน่อย แต่ข้านั้นร่างกายเทอะทะ ไม่กล้ามาร่วมสนุก ดังนั้นจึงให้พวกสาวใช้คอยดูอยู่ที่ประตู เมื่อรู้ว่าพวกแขกผู้ชายไปกันหมดแล้วจึงได้เข้ามา อย่างไรขอน้องสะใภ้อย่าได้ถือสาหาความ”

“ร่างกายของพี่สะใภ้สำคัญกว่า สามารถเข้ามาหาได้ก็นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมากแล้ว!” ทั่วป๋าฉินซินกล่าวอย่างเป็นพิธี ก่อนจะแย้มยิ้ม “พี่สะใภ้เชิญนั่งลงเถิด”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มบาง ก่อนจะค่อยๆ นั่งลงโดยมีจื่อหลัวและช่าจื่อช่วยกันประคอง เห็นแววตาของหวังเหยียนหย่าที่เผยความตกใจอยู่บ้างก็กล่าวยิ้มๆ “พี่สะใภ้ทั่วป๋า ไม่เจอกันตั้งนาน!”

“ใช่แล้ว ไม่เจอกันมานานมาก!” หวังเหยียนหย่ามองร่างที่เดินเหินไม่สะดวก ทั้งใบหน้าที่ยังปรากฏกระด่างดำสามสี่แห่ง แต่ก็ยังสวยไม่สร่างของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ รู้สึกแปลกใจอยู่บ้างว่าเหตุใดนางจึงไม่ใช้เครื่องแป้งปกปิด กระนั้นก็ยังคงกล่าวยิ้มรับ “ในยามที่เจอกันครั้งที่แล้วยังเป็นตอนที่น้องสะใภ้และน้องเจวี๋ยเพิ่งจะแต่งงานกันอยู่เลย มาลองนับดูแล้วก็เพิ่งผ่านไปหนึ่งปีพอดี ดูแล้วน้องสะใภ้เจวี๋ยก็มีสง่าราศีไม่น้อยเลย!”

“ยังพอได้อยู่กระมัง!” ใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอย่างมีสุข “นอกจากเด็กในท้องที่ซุกซนจนทำให้คนเหนื่อยไปบ้าง อย่างอื่นข้าก็แทบจะไม่ได้ทำอันใด สีหน้าย่อมต้องดีอยู่แล้ว”

“น้องสะใภ้เป็นคนที่วาสนาดี เพียงแต่ไม่รู้ว่าในครรภ์นี้จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย?” หวังเหยียนหย่าคลี่ยิ้ม แสร้งกล่าวคล้ายไม่ใส่ใจเท่าใด “น้องเจวี๋ยอายุตั้งยี่สิบสองแล้ว หากยังชักช้าไม่มีบุตรชายคนโตละก็ คงจะไม่ดีนัก ไม่รู้ว่าหมอเทวดาอินได้ตรวจครรภ์ให้เจ้าดีๆ หรือไม่ ได้พูดบ้างหรือเปล่าว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย?”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์กระตุกยิ้มหวานขึ้นมา “ข้ากลับไม่สนใจ จะชายหรือหญิงก็ล้วนดีทั้งนั้น!”

“เช่นนั้นท่านลุงซั่งกวนได้คิดแบบนี้หรือไม่?” หวังเหยียนหย่าเผยยิ้มราบเรียบ “พวกเขาคงจะพร่ำบ่นทุกวัน อยากจะรู้ว่าเป็นหญิงหรือชายกระมัง!”

“ไม่มีหรอก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้ม “พูดถึงเรื่องนี้ลุงอินก็มักทำหน้ากลัดกลุ้มออกมา ก่อนหน้านี้หลายเดือนเขาก็ตรวจรู้แล้วว่าเป็นหญิงหรือชาย แต่ก็เอาแต่ปิดปากเป็นความลับ คาดไม่ถึงว่า พวกเราต่างก็ไม่อยากจะรู้เพศของลูกกัน บางครั้งเหลือความตื่นเต้นให้ตัวเองเสียบ้างก็นับเป็นเรื่องดีเช่นกัน”

หวังเหยียนหย่าตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนช่าจื่อจะกล่าวยิ้มๆ ขึ้นมา “คุณชายใหญ่ของพวกเรา เช้าจรดเย็นก็เอาแต่พร่ำว่าเป็นลูกสาว ด้านฮูหยินกลับกล่าวอย่างไม่หยุดหย่อนว่าเป็นหลานชาย ส่วนนายท่านกลับไม่เข้าข้างใคร แสร้งทำเป็นไม่สนอันใดทั้งนั้น แต่ข้าเห็นนายท่านตระเตรียมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้น คงจะหวังว่าได้คุณหนูคนหนึ่งเช่นกัน เขามักจะพูดบ่อยๆ ว่าสะใภ้ใหญ่ของเรางดงามถึงเพียงนี้ หากสามารถมีหลานสาวที่หน้าตาสะสวยเหมือนมารดาก็คงดีกว่าอะไรทั้งนั้น”

“ข้าว่าท่าจะยาก!” จือหลัวยิ้มรับบทสนทนา “เจ้าไม่เห็นยามที่นายท่านอินได้ยินคุณชายใหญ่เรียกคำว่าลูกสาวตัวน้อยหรือ คิ้วนั้นแทบจะขมวดผูกกันเป็นปม หากไม่ใช่เพราะฮูหยินอินบอกไม่ให้เขาเผยออกมา เขาย่อมต้องกระโดดขึ้นมาโต้แย้งคำพูดของคุณชายใหญ่เป็นแน่”

ก็หมายความว่าเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นเด็กผู้ชายอย่างนั้นหรือ? หวังเหยียนหย่ามองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เผยยิ้มระรื่นอย่างอิจฉาอยู่บ้าง ปีนั้นยามที่นางท้องลูกคนแรก สองสามีภรรยาทั่วป๋าเชียนเย่าและทั่วป๋าฉินหลิ่งต่างก็คาดหวังให้ตนกำเนิดบุตร ชายในท้องแรก ทำให้นางต้องทนทุกข์ใจ รอจนลูกคลอดแล้ว ยามที่มั่นใจว่าเป็นเด็กผู้ชายจึงค่อยหายอกหายใจคล่อง นางเชื่อว่าหากนางให้กำเนิดลูกสาว ย่อมต้องทำให้คนของตระกูลทั่วป๋าทั้งหมดผิดหวังอย่างถึงที่สุดอย่างแน่นอน แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูเหมือนจะไม่ได้กังวลและว้าวุ่นใจเช่นนั้น

“เดิมทีพี่สะใภ้ก็เป็นคนที่มีวาสนาดีอยู่แล้ว!” ในยามที่ทั่วป๋าฉินซินกล่าวก็ปวดร้าวในใจขึ้นมา ก่อนหน้านี้นางมีแต่ความจงเกลียดจงชังให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ แต่ตอนนี้มีเพียงความอิจฉาที่มากขึ้นเท่านั้น นางดูคล้ายกับว่าได้โลกทั้งใบ แต่ตัวเองกลับสูญสิ้นทุกอย่างไป

“ไม่หรอกน่า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มขึ้นมา จากนั้นเมื่อเห็นว่าหลังจากนางเข้ามาคนพวกนั้นก็ไม่มีใครพูดจึงกล่าวยิ้มๆ “ข้าต้องไปดูทางชิงหวั่นด้วย ไม่รั้งตัวอยู่นานแล้ว! ฉินซินก็ต้อนรับแขกเหรื่อดีๆ แล้วกัน!”

“พี่สะใภ้รักษาตัวด้วย!” ทั่วป๋าฉินซินเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์หยัดกายขึ้น ก็ไม่คิดจะเหนี่ยวรั้ง จากความสัมพันธ์ของทั้งสอง เยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้ามาหาเช่นนี้ได้ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว หากเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะอยู่รับแขกเป็นเพื่อนนางที่นี่ก็คงจะแปลกเกินไป ทั้งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เช่นกัน

เยี่ยนมี่เอ๋อร์เดินออกไปช้าๆ โดยมีสาวใช้ทั้งสองคอยช่วยพยุง รอหลังจากนางออกจากห้องไปแล้ว คนในห้องก็ส่งสายตาแลกเปลี่ยนกันทันที น้องสาวอนุภรรยาคนหนึ่งของทั่วป๋าฉินซินกล่าวถามด้วยรอยยิ้มขึ้นมา “ท่านพี่ ดูท่าพี่สะใภ้เจวี๋ยจะ

สุภาพอ่อนโยน อัธยาศัยดีไม่น้อย!”

ทั่วป๋าฉินซินคลี่ยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้ตอบอันใด มารดาของน้องสาวอนุผู้นี้ของนางเคยเป็นหญิงงามที่มีชื่อเสียงของยุทธภพ ดังนั้นจึงมีหน้าตาคล้ายมารดาของนางอยู่ไม่กี่ส่วน และหลังจากที่นางกลับถึงเหยี่ยนโจว ผู้ที่กระตุ้นโทสะนางครั้งแล้วครั้งเล่าก็คือน้องสาวอนุที่ยโสโอหังคนนี้

“น้องสะใภ้เจวี๋ยเป็นคนที่อัธยาศัยดีมาโดยตลอด” หวังเหยียนหย่าช่วยตอบให้ จนถึงยามนี้นางยังคงคิดว่าที่ทั่วป๋าฉินซินทำเรื่องไม่สำเร็จก็เพราะตัวนางที่โง่เอง เดิมทีก็ไม่ได้เห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์อยู่ในสายตาแต่อย่างไร

“ก็หมายความว่าบางคนที่ทำเรื่องไม่สำเร็จก็ต้องโทษความโง่งมของตัวเองแล้ว” เด็กสาวที่หัวเราะออกมาอย่างสดใสไร้เดียงสา มองทั่วป๋าฉินซินไปทีหนึ่ง กล่าวอย่างมีเลศนัย “พี่สะใภ้เจวี๋ยตั้งท้อง แต่ข้างกายของพี่ใหญ่เจวี๋ยกลับไม่มีคนรู้ใจสักคนเดียว คงจะเหงามากกระมัง!”

นังโง่ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคนนี้! ทั่วป๋าฉินซินมองน้องสาวลูกอนุผู้นี้ด้วยแววตาเย็นเยียบ นางรู้มาโดยตลอดว่าน้องสาวลูกอนุผู้นี้ก็สนใจในตัวซั่งกวนเจวี๋ยเช่นกัน น่าเสียดายที่แม้แต่ชื่อของนาง ซั่งกวนเจวี๋ยก็อาจจะยังไม่รู้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่นางมีใจชมชอบเขา กระนั้นใบหน้ายังคงกล่าวออกไปด้วยรอยยิ้ม “น้องฉินอวิ้นพูดไม่ผิด เพียงแต่ไม่รู้ว่าลูกผู้พี่จะชอบพอคนที่รูปลักษณ์ไม่โดดเด่น ทั้งชาติกำเนิดต้อยต่ำได้หรือไม่?”

“ท่านพี่กำลังพูดถึงใครหรือ?” ทั่วป๋าฉินอวิ้นยังคงประดับรอยยิ้มบนใบหน้าโดยไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าแววตากลับแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเย็นในชั่วพริบตา นางอายุน้อยกว่าทั่วป๋าฉินซินสองปี นับว่าเป็นน้องสาวที่มีอายุใกล้เคียงกับทั่วป๋าฉินซินที่สุดแล้ว แต่เพราะเป็นเช่นนี้ นางจึงเกลียดชังทั่วป๋าฉินซินยิ่งนัก…ตั้งแต่เล็กนางก็ต้องรับต่อสิ่งของที่ทั่วป๋าฉินซินไม่ต้องการแล้วนำ มาใช้ เครื่องประดับของมีค่าต่างๆ ยามที่ทั่วป๋าฉินซินเลือกอันดีๆ ไปแล้วนางถึงจะได้เลือกต่อ พวกเสื้อผ้าก็เช่นกัน เมื่อทั่วป๋าฉินซินไม่ชอบหรือไม่สวมใส่ นางจึงค่อยได้มาอยู่บนร่าง…ดังนั้นยามที่ทั่วป๋าฉินซินกลับมาที่เหยี่ยนโจว นางก็อยากจะแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างมาจากทั่วป๋าฉินซินอย่างอดใจคอยไม่ไหว ‘ซั่งกวนเจวี๋ย’ ชายหนุ่มที่ทั่วป๋าฉินซินปรารถนาแต่ก็ไม่อาจได้มาเช่นกัน

“แค่พูดถึงพวกขี้เหร่ที่ไม่เจียมกะลาหัวตัวเองเท่านั้น!” ทั่วป๋าฉินซินแย้มยิ้ม ไม่สนใจแววตามืดมนของนางแม้แต่น้อย นางน่ะหรือ? อยากจะต่อกรกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังนับว่าห่างชั้นกันมาก เอ๊ะ…ไม่ถูก เยี่ยนมี่เอ๋อร์ในยามนี้นับว่าอยู่ในฐานะที่ไม่ธรรมดา หากมีคนของตระกูลซั่งกวนรู้ถึงความคิดของนาง เกรงว่าคงจะไม่ปล่อยแม้แต่โอกาสกระโจนหนีให้นาง แต่อาจจะถูกไล่ออกจากประตูไปตรงๆ เสียมากกว่า

“ท่านพี่พูดเช่นนี้ ข้าก็ยังอยากจะเป็นคนที่ไม่เจียมตัวผู้นั้นขึ้นมาจริงๆ แล้ว!” ทั่วป๋าฉินอวิ้นกล่าวทั้งกระตุกยิ้มขึ้น “ข้าไม่ใช่คนบางคนที่ถูกตามใจจนเสียคน คิดไปเองว่าตัวเองเป็นหนึ่งไม่มีใครเทียบเทียม พี่สะใภ้ ท่านว่าใช่หรือไม่?”

แววตาของหวังเหยียนหย่าประกายวูบไหว ทว่าใบหน้ายังคงแฝงไปด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เป็นวันมงคลของฉินซิน ไม่อาจพูดอะไรทำร้ายความสัมพันธ์ของพี่น้องได้ อย่างไรทุกคนก็พูดคุยกันเรื่องอื่นดีกว่า!”

ทั่วป๋าฉินอวิ้นเผยท่าทีพอใจ ชำเลืองมองทั่วป๋าฉินซินไปที ประโยคนี้ของหวังเหยียนหย่า เห็นได้ชัดว่ายืนอยู่ฝ่ายเดียวกับตน หากสามารถได้อยู่ในตำแหน่งที่ทั่วป๋าฉินซินปรารถนามาโดยตลอด แต่ไม่อาจจะทำได้ ทั่วป๋าฉินซินย่อมจะปวดใจเจียนตายเป็นแน่

“พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะโกรธน้องหรอก!” ความรู้สึกดีๆ อันน้อยนิดที่ทั่วป๋าฉินซินหลงเหลือให้หวังเหยียนหย่าอยู่ได้ถูกท่าทีไล่ต้อนในเวลานี้ของนางทำลายจนหายไปหมดแล้ว ยามนี้ก็ยิ้มขึ้นมา “วันนี้แทนที่จะกล่าวว่าเป็นวันที่น่ายินดีของข้า มิสู้กล่าวว่าเป็นวันที่น่าเศร้าของข้ามากกว่า แทบจะทุกคนต่างก็รู้ทั้งนั้น ที่ข้าแต่งกับซั่งกวนอวี่ไข่ก็เพราะไม่มีทางเลือก ไม่มีความจำเป็นต้องกลบเกลื่อนอะไร แม้ว่าจะพูดอันใด ก็คงเป็นเพียงการเสแสร้งแสดงความยินดีออกมาเล็กน้อยเท่านั้น เพียงแต่ น้องฉินอวิ้น ในฐานะที่ข้าเป็นพี่สาว ก็อยากจะเตือนเจ้าสักประโยค เจ้ามีใจชมชอบลูกผู้พี่นั้นนับเป็นเรื่องปกติ แต่เกิดเป็นคนอย่าได้มักใหญ่ใฝ่สูงมากเกินไป ยิ่งอย่าได้คิดเพ้อฝันไปเอง ชาติกำเนิดเช่นนี้ของเจ้า อย่างมากก็เป็นได้แค่อนุให้ลูกผู้พี่เท่านั้น ทั้งยังอาจจะเป็นอนุที่ไม่อาจได้รับความโปรดปรานทั้งชั่วชีวิต”

“ขอบคุณท่านพี่ที่ตักเตือน!” ทั่วป๋าฉินอวิ้นเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพ่นคำพูดออกมา มองทั่วป๋าฉินซินอย่างแค้นเคือง “แต่ว่าน้องนั้นเชื่อมั่นในตัวเองอย่างมาก ย่อมไม่อาจจะเหมือนใครบางคนที่ชื่อเสียงป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี!”

“เช่นนั้นก็ดี!” จู่ๆ ทั่วป๋าฉินซินก็พบว่าความอดกลั้นอารมณ์ของตนเองเปลี่ยนไปอย่างมาก หากเป็นเมื่อก่อนย่อมต้องคิดจะบีบคออีกฝ่ายให้ตายไปเสีย แต่ยามนี้เพียงรู้สึกขบขันเท่านั้น ดังนั้นนางจึงเผยรอยยิ้มขึ้นมา “ชื่อเสียงของตระกูลทั่วป๋าได้ถูกข้าที่เป็นพี่สาวไม่ได้เรื่องคนนี้ทำลายไปกว่าครึ่งแล้ว โชคดีที่อย่างน้อยพี่สาวยังได้ออกเรือนอย่างมีหน้ามีตาอยู่บ้าง ข้าก็ไม่รู้ว่าหากน้องสาวเกิดมีข่าวเสียหายอะไรออกมาเช่นกัน ยังจะสามารถอยู่ดูดวงอาทิตย์ขึ้นฟ้าอย่างสบายๆ ได้หรือไม่!”

“ท่านพี่โปรดวางใจ ข้าย่อมไม่เหมือนกับเจ้าที่แต่งอย่างมีหน้ามีตาให้กับลูกอนุที่ไม่มีอนาคตได้หรอก ข้ายินยอมที่จะแต่งเป็นอนุกับคนที่มีชาติกำเนิดสูงส่งค้ำฟ้า มีอำนาจควบคุมทั้งหมดทั้งมวล ดีกว่าจะต้องแต่งเป็นภรรยาเอกที่ต้องอยู่หลบๆ ซ่อนๆ ไม่อาจเชิดหน้าชูตาได้ตลอดกาล!” ทั่วป๋าฉินอวิ้นในเวลานี้ได้ตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแต่งกับซั่งกวนเจวี๋ยให้ได้ แม้ว่าจะตำแหน่งอนุภรรยาก็จะแต่งให้เขา

“เช่นนั้น ข้าก็จะตั้งหน้าตั้งตาคอย!” ทั่วป๋าฉินซินคลี่ยิ้ม นางอยากเห็นมากว่าน้องสาวผู้นี้จะมีจุดจบที่น่าอนาถถึงเพียงใด

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

Status: Ongoing
จากแผนการล่มงานวิวาห์คลุมถุงชนกลับต้องเปลี่ยนเป็นแผนการมัดใจว่าที่สามี เมื่อเขาคนนี้กับชายในฝันของนางคือคนเดียวกัน... 'ถึงเขาจะเจ้าชู้ที่สุดในใต้หล้า แต่เจ้าสาวอย่างข้าจะปราบให้ดู!'

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท