ในเย็นวันที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลอดลูกนั้น แม่นมฉินก็ได้สั่งการให้สาวใช้คนสนิทสองคนตั้งโต๊ะจุดธูปเทียนไหว้สักการะไปทางทิศของอู๋โจวภายในเรือนมีคู่ นางพูดอย่างไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่ก็คงจะไม่มีอะไรมากไปกว่ากล่าวว่า เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้คลอดบุตรอย่างราบรื่น เป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง จากนั้นก็เอาแต่พึมพำให้จงเสวี่ยฉิงวางใจไม่หยุด เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก คิดว่าการกระทำเช่นนี้ของแม่นมฉินผิดปกติอย่างยิ่ง ทั้งนึกถึงยามที่ตนเองกำลังเจ็บท้องใกล้คลอดขึ้นมา เวลานั้นแม่นมฉินก็ดูกระวนกระวายใจอย่างถึงที่สุด จึงให้จื่อหลัวเชิญแม่นมฉินมาข้างๆ เตียง อยากถามว่าตกลงเหตุใดนางจึงมีท่าทีผิดปกติเช่นนั้นกันแน่
“นั่นเพราะบ่าวกังวล…” แม่นมฉินมองดูสีหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ฟื้นฟูกลับมาเกือบปกติแล้ว ก่อนจะมองดูซั่งกวนหมิงที่เมื่อครู่เพิ่งเรียกหานม แต่ยามนี้กำลังหลับปุ๋ยอยู่ กล่าวอย่างหวาดกลัวไม่หาย “พูดกันว่าคลอดลูกก็เหมือนเดินผ่านประตูผี ในปีนั้นที่ฮูหยินให้กำเนิดคุณหนูฉิงก็ประสบภาวะคลอดยาก ด้วยเหตุนั้น ก็ไม่สามารถคลอดบุตรได้อีกเลย นายท่านและฮูหยินมี
ความรู้สึกผูกพันลึกซึ้งต่อกัน ปฏิเสธข้อเสนอของนายท่านใหญ่ที่จะรับอนุหรือเมียบ่าวให้เขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังนั้นพวกเขาจึงมีทายาทเป็นคุณหนูฉิงเพียงคนเดียว ในยามที่คุณหนูฉิงคลอด ท่านก็ประสบกับภาวะคลอดยากอีกครั้ง เสียเลือดเป็นอย่างมาก รอดชีวิตอย่างหวุดหวิด แต่ร่างกายกลับได้รับผลกระทบอย่างหนัก ต้องพักฟื้นถึงสองปีจึงค่อยกลับมาเป็นปกติได้ ภายหลังก็ไม่มีข่าวคราวอันใดเลย บ่าวจึงกังวลใจ กลัวว่าท่านจะเหมือนกับพวกนาง…”
มองแม่นมฉินที่ราวกับยกภูเขาออกจากอก เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็กระตุกยิ้มขึ้นอย่างราบเรียบ จับมือแม่นมฉินไว้ “แม่นม ข้าคือมี่เอ๋อร์ ไม่ใช่ท่านแม่หรือท่านยาย ไม่ได้อ่อนแอเหมือนพวกนางถึงขนาดนั้น เจ้าก็วางใจเถิด”
“ยามนี้แน่นอนว่าหมดห่วงแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมฉินพลิกจับมือของมี่เอ๋อร์ “เห็นท่าทีของท่านก็รู้แล้วว่า ร่างกายของท่านเพียงอ่อนแรงอยู่บ้างเท่านั้น ไม่ได้บาดเจ็บแต่อย่างใด ขอเพียงแค่พักฟื้นดีๆ สักช่วงหนึ่ง อยู่เดือนหลังคลอดก็เพียงพอแล้ว”
“ปีนั้นยามที่ท่านแม่ท้องข้าร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอย่างนั้นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตอนที่จงเสวี่ยฉิงให้กำเนิดตัวเองนั้นประสบกับภาวะคลอดยาก แต่พอคิดก็รู้ได้ทันที ท่านแม่ย่อมไม่อยากให้ตัวเองรู้สึกผิดอันใด ทั้งไม่ต้องการให้ตัวเองมีเงามืดดำอันใดติดค้างอยู่ภายในใจ
“ไม่นะเจ้าค่ะ” แม่นมฉินสั่นศีรษะ “ปีนั้นยามที่ฮูหยินท้องคุณหนูฉิง ทั้งยามที่คุณหนูฉิงท้องท่านก็ล้วนเหมือนกัน สุขสบายไม่เจ็บป่วยอันใด กินอิ่มหลับสบาย แต่พอถึงตอนที่คลอดก็เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น ดังนั้นบ่าวจึงได้กังวลและหวาดกลัวเป็นอย่างมาก หากท่านได้รับบาดเจ็บอันใด ข้าก็คงไม่มีหน้าไปพบคุณหนูฉิงหรอกเจ้าค่ะ!”
“แม่นม ข้าก็ยังอยู่ดีไม่ใช่หรือ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างกระเง้ากระงอด เห็นแม่นมฉิงคิดเพื่อตัวเองถึงขนาดนี้ นางก็ยังคงรู้สึกดีใจ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความไม่สบายใจอยู่เลือนราง
“เจ้าค่ะ!” แม่นมฉินเช็ดน้ำตาที่หางตา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่ายามนี้ท่านสบายดี ตั้งแต่นี้ไป ท่านต้องอยู่เดือนดีๆ ในยามที่อยู่เดือนก็จะไม่มีปัญหาอันใดแล้ว ปีนั้นแม้ว่าคุณหนูฉิงจะได้รับบาดเจ็บอย่างร้ายแรง แต่พออยู่เดือนหลังคลอด ก็ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมา ในยามที่อยู่เดือนหลังคลอด ท่านต้องระมัดระวังดีๆ นะเจ้าค่ะ!”
“ข้าเข้าใจแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า กล่าวอย่างว่าง่าย “ในเดือนนี้ไม่ว่าแม่นมจะพูดอะไรข้าก็จะทำตามทั้งนั้น ล้วนจะเชื่อฟังตามที่แม่นมบอกทุกอย่าง เช่นนี้เจ้าก็คงวางใจได้แล้วกระมัง!”
“แน่นอนเจ้าค่ะ!” แม่นมฉินยิ้มอย่างพอใจ จากนั้นก็เดินไปหาซั่งกวนหมิงที่กำลังนอนหลับสนิท นางไม่มีเวลามองสิ่งมีชีวิตตัวน้อยดีๆ สักครั้ง ในเวลานี้จึงอุ้มเขาขึ้นมา พอได้เห็นก็ดีใจ…
“คุณชายน้อยและคุณชายใหญ่หน้าตาเหมือนกันจริงๆ เจ้าค่ะ! แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่อาจจะเหมือนท่านได้ เด็กผู้ชาย หากรูปลักษณ์เหมือนท่านมากไป นั่นก็จะไม่ดีแล้ว” แม่นมฉินพึงพอใจในรูปโฉมของซั่งกวนหมิงเป็นอย่างมาก หากหน้าตาคล้ายกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์มากเกินไป นั่นก็จะไม่รูปงาม แต่จะกลายเป็นมารร้ายแทนน่ะสิ
“ข้าก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะทั้งยิ้มๆ “แม่นม เหตุใดเจ้าเด็กดื้อคนนี้ตอนอยู่ในท้องจึงได้ซุกซนขนาดนั้น แต่ยามนี้กลับนิ่งเสียสนิท? มีเพียงตอนที่หิวจะร้องครางออกมา นอกจากนั้นก็ไม่ได้ร้องไห้อะไรอีกเลย”
“ข้าว่าเขาก็คงเหนื่อยเหมือนกัน!” แม่นมฉินทำเพียงอุ้มดูเขา แม้จะจับก็ไม่กล้าจับสักนิด กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เขาคงรู้ว่าการคลอดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ก่อนหน้านั้นจึงได้พยายามใช้แรงไปเสียหมด ท่านจึงสามารถให้กำเนิดเขาอย่างราบรื่นได้ถึงขนาดนี้ ยามนี้ย่อมกำลังสะสมกำลัง รอจนเขาฟื้นฟูร่างกายแล้ว คงจะเกเรซุกซนไม่หยุดเป็นแน่เจ้าค่ะ”
อย่างนั้นหรือ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำเพียงมองเด็กน้อยที่นอนหลับอย่างน่ารักด้วยความแปลกใจ นึกถึงยามที่เขาอาละวาดซุกซนอยู่ในท้อง แต่ก็ยังคงเชื่อตามที่แม่นมฉินพูด…
มีประสบการณ์ก็คือมีประสบการณ์! เยี่ยนมี่เอ๋อร์มมองซั่งกวนหมิงที่กำลังลืมตาสองข้างกวาดมองไปทั่วอย่างอ่อน เพลียอยู่บ้าง เป็นเพียงเด็กอายุสามสี่วันเท่านั้น ในยามที่ไม่นอนหลับก็ชอบเบิกดวงตาที่ใสบริสุทธิ์คู่นั้น คล้ายว่ากำลังมองหาอะไรอยู่ เยี่ยนมี่เอ๋อร์เอาแต่คิดมาตลอดว่าเขาสามารถมองเห็นตัวเองหรือเปล่า ทุกครั้งที่เขาลืมตาโตขึ้น นางก็อุ้มเขาไว้ในอ้อมอกอย่างเอ็นดู แต่สิ่งที่ทำให้นางท้อใจก็คือ ทุกครั้งที่เด็กน้อยอยู่ในอ้อมอกของตนกลับไม่แม้แต่จะมองตนสักนิด ก็หาวหลับไปทันที แต่พอวางเขาไว้บนเตียง ไม่นานนัก เขาก็จะตื่นขึ้นมา เบิกดวงตาที่ไม่จับจ้องสิ่งใดคู่นั้น จะอย่างไรก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลับ
ถามอินหงหลัน เขาก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมาอย่างไม่อาย กล่าวว่าในยามนี้เด็กน้อยไม่อาจมองเห็นอะไรทั้งนั้น เขาลืมตาก็เพียงบอกว่าเขายังตื่นอยู่เท่านั้น พูดให้ชัดเจนอีกหน่อยก็คือเจ้าตัวเล็กกำลังทรมานคน อีกทั้งสิ่งที่ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รู้จะทำอย่างไรก็คือ นอกจากตัวเอง หวงฝู่เยวี่ยเอ้อและซั่งกวนเจวี๋ยแล้ว เปลี่ยนเป็นคนอื่นๆ มาอุ้มเขาก็จะไม่นอนหลับแต่โดยดีเช่นนี้แล้ว แต่จะเอาแต่ลืมตา จนกระทั่งอ่อนล้า…หากอ่อนล้าแล้ว ทั้งสามคนยังไม่มาอุ้มต่อ เขาก็จะเริ่มส่งเสียง ‘อุแว้’ ร้องไห้เสียงดังออกมาอย่างไม่ลังเล เสียงนั้นมีพลานุภาพสะท้านฟ้าสะเทือนดินอยู่บ้าง ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทั้งขบขันทั้งโมโหในขณะ เดียวกัน
สิ่งที่ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ่งขบขันก็คือ เจ้าตัวเล็กเกิดได้สองวัน ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็กลับมา พาแม่นมสาวใช้ช้างกายมาเยือนเรือนมีคู่เป็นครั้งที่สอง นางนั้นเข้ามาดูหน้าเหลน น่าเสียดายที่ซั่งกวนหมิงไม่ไว้หน้านางแม้แต่น้อย นางเพิ่งจะเข้าไปในห้องได้ไม่นาน เจ้าตัวเล็กที่กำลังหลับสนิทก็ตื่นขึ้นมาทันที จากนั้นก็ร้องไห้จ้าละหวั่นออกมา จะห้ามอย่างไรก็ไม่หยุด แม้แต่แม่นมหลอกล่อ ใช้หัวนมอุดปากเขาไว้ ให้เขากินนมก็ไม่ได้ผล เจ้าตัวเล็กคายหัวนมออกมาอย่างไม่ไว้หน้า เอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมหยุด จนกระทั่งทั่วป๋าซู่เยวี่ยทำหน้าดำทะมึนออกไป เจ้าตัวเล็กจึงค่อยหยุดร้องลงมา กระนั้นก็ยังชักดิ้นชักงออย่างน้อยใจ คล้ายกับว่าถูกคนใจร้ายข่มเหงมาก็มิปาน ทำให้ซั่งกวนฮ่าวสองสามีภรรยาที่รักและเอ็นดูหลานชายล้วนหน้าเขียวคล้ำ ซั่งกวนฮ่าวออกคำสั่งกับสาวใช้แม่นมของเรือนมีคู่อย่างตรงๆ หลังจากนี้อย่าได้ให้ฮูหยินใหญ่เข้าใกล้คุณชายน้อยแม้แต่คืบเดียว กระทั่งคนของเรือนหลังก็ไม่อนุญาตให้เข้ามาในเรือนมีคู่อย่างเด็ดขาด
ในวันนั้นทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็ล่วงรู้ถึงคำพูดของซั่งกวนฮ่าว โมโหจนแทบจะเป็นลมล้มลงไป เช้าตรู่วันต่อมาก็พาสาวใช้แม่นม จัดเก็บสิ่งของยิบย่อยออกไป ในที่สุดก็ตัดสินใจจะไปพักอยู่ในบ้านของอวี่ไข่ระยะยาว…เพิ่งเกิดเพียงแค่สองวันก็ขับไล่ตนเช่นนี้เสียแล้ว หากโตขึ้นกว่านี้อีกหน่อย ก็คงไม่ยิ่งชิงชังตนเอง รอจนเดินได้พูดได้ก็ย่อมไม่ไว้หน้านางมากกว่านี้กระมัง? คิดมา ถึงตรงนี้ นางก็ไม่มีความรู้สึกอันใดต่อเหลนที่เพิ่งเกิดคนนี้อีกแล้ว
ซั่งกวนหมิงสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ ก็เป็นเวลาหลังจากเกิดได้ครบสิบวัน ตามที่อินหงหลันพูดก็คือยามนี้เขาสามารถมองเห็นสีสันของวัตถุตรงหน้าได้อย่างรางๆ แล้ว ยังกล่าวว่าเด็กคนนี้ได้รับการดูแลในท้องเป็นอย่างดี ย่อมจะแข็งแรงมากกว่าเด็กทั่วไป ดังนั้นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ตื่นเต้นก็ให้จื่อหลัวไปหาสิ่งของเล็กๆ ที่มีสีสันสดใสเข้ามา ดูว่าเด็กน้อยจะสามารถมอง เห็นหรือไม่
ผลลัพธ์คือลู่หลัวใช้เชือกสีแดงถักเป็นลูกกลมๆ ที่ทำมาจากไหมพรม ก่อนจะนำมาแกว่งไกวอยู่เบื้องหน้าซั่งกวนหมิงเบาๆ ในตอนแรกเจ้าตัวน้อยก็ยังดูเหมือนไม่เห็นอะไร จากนั้นจู่ๆ สายตาก็จับจ้อง มองเห็นสิ่งของตรงหน้าขึ้นมา มุมปากเล็กกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะร้อง ‘อื้อๆ’ ขึ้นมา คล้ายกับว่าสามารถมองเห็นจริงๆ
“ลู่หลัว เจ้าลองแกว่งซ้ายขวาดู” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองปฏิกิริยาของลูกชายอย่างดีใจ นางไม่ได้อุ้มลูกชาย แต่ให้แม่นมเป็นคนอุ้ม ดังนั้นจึงเห็นปฏิกิริยาของลูกได้อย่างชัดเจน
ลู่หลัวได้ยินเช่นนั้น ก็ค่อยๆ แกว่งลูกบอลไหมพรมเล็กๆ ไปทางซ้าย จากนั้นก็ค่อยเคลื่อนไปทางขวา ทุกคนต่างก็มอง เห็นอย่างชัดเจนว่าดวงตาของเจ้าตัวน้อยมองตามลูกไหมพรมที่เคลื่อนไหว สามารถมองเห็นสิ่งของได้แล้วจริงๆ ด้วย
“หมิงเอ๋อร์ฉลาดจริงๆ!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อยิ้มจนตาเป็นขีดเดียว ความสุขที่สุดในทุกวันของนางก็คือการเข้ามาดูหลาน ชาย ให้หลานชายได้คุ้นกับกลิ่นลมหายใจของนาง นางนั้นนับว่าชอบหลานชายคนนี้เป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่เขาใช้เสียงร้องไห้ไล่ต้อนให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยออกไป บางครั้งหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็เรียกเขาว่า ‘เจ้าจิ้งจอกตัวน้อย’ กล่าวว่าเขานั้นฉลาดเป็นกรด คาดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเกิดมา ก็รู้แล้วว่าใครดีกับเขาทั้งใครไม่ชอบเขา
“คุณชายน้อยเก่งจริงๆ! แบบนี้ยังจะสามารถมองเห็นหรือไม่!” ลู่หลัวนั้นรู้สึกสงสัยในตัวเด็กน้อยคนนี้ วันที่สองที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ให้กำเนิด จู่ๆ นางก็อาเจียนออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน อินหงหลันจึงฉวยโอกาสตรวจชีพจรให้นาง ปรากฏว่านางก็ตั้งท้องเช่นกัน น่าจะประมาณสี่สิบถึงห้าสิบวันแล้ว ทำให้เยี่ยนเซียงที่ตามซั่งกวนเจวี๋ยกลับมาตอนเย็นดีใจจนแทบปิดปากไม่มิด
ทันใดนั้นลู่หลัวก็เปลี่ยนวิธีเคลื่อนไหวลูกไหมพรม ไม่แกว่งซ้ายขวาอีกแล้ว แต่เริ่มควบคุมหมุนเป็นวงกลมอย่างระมัดระวัง ซั่งกวนหมิงคล้ายกับชอบการละเล่นเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง ลูกตาก็หมุนตามลูกบอลไหมพรมเป็นวงกลม หมุนครั้งแรก ครั้งที่สอง…ครั้งที่เจ็ด จนเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่สังเกตลูกชายมาตลอดพบว่าผิดปกติ เหตุใดแววตาของเด็กน้อยจึงดูล่องลอยไปอยู่บ้าง คล้ายกับผู้ใหญ่ที่จู่ๆ ก็ตาลายมิปาน นางตกใจจนสั่นไปทั่วร่าง ร้องเรียกออกไปทันที “ลู่หลัว หยุด!”
ลู่หลัวรีบหยุดเรื่องตลกร้ายของตัวเองทันที แต่เจ้าตัวเล็กยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ หลังจากดวงตาหมุนอีกสองรอบจึงพบว่าสิ่งของที่ล่อสายตัวเองนั้นหายไปเสียแล้ว คล้อยหลังก็อดอาเจียนนมออกมาไม่ได้ เบะปากแล้วเบะปากอีก ใบหน้าเต็มไปด้วยท่าทีน้อยใจ…
เยี่ยนมี่เอ๋อร์รับเขามาจากอ้อมอกของแม่นมทันที เจ้าตัวเล็กดูเหมือนจะเชื่องช้าจากวันปกติไปบ้าง ไม่ได้รับรู้ถึงลมหายใจมารดาได้ทันที จนกระทั่งเยี่ยนมี่เอ๋อร์จูบหน้าผากของเขาอย่างกังวล เจ้าตัวเล็กจึงค่อยพบว่าตนเองได้กลับสู่ในอ้อมอกมารดาแล้ว ดังนั้น เด็กตัวน้อยจึงร้องไห้อย่างน้อยใจออกมาทันที ไม่ได้ร้องไห้โฮอย่างสะท้านฟ้าสะเทือนดิน แต่ร้องไห้กระซิกๆ เหมือนเด็กถูกรังแก ทำให้ทุกคน รวมถึงเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เอ็นดูเป็นที่สุดอดหัวเราะออกมาไม่ได้ จื่อหลัวก็หัวเราะไปพลาง อีกด้านก็อดตีลู่หลัวไม่ได้ ต่อว่านางที่หยอกล้อคุณชายตัวน้อย
“ไอหยา…” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกลั้นหัวเราะจนปวดท้อง แต่ไหนแต่ไรก็คาดไม่ถึงว่าเด็กตัวแค่นี้จะมีอารมณ์ที่หลากหลายถึงขนาดนี้ หัวเราะไปพลาง ทั้งก่นว่า ‘เจ้าจิ้งจอกตัวน้อย’ กับ ‘จื่อหลัวที่สมควรจะโดนดี’ ไปพลาง