เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 239 พิงถิงก็หมดห่วงแล้วเช่นกัน

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“พิงถิง เจ้าเข้ามาดูสิ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูเทียบเชิญในมือ นี่เป็นของที่ซั่งกวนเจวี๋ยส่งมาให้นางดู จุดประสงค์ก็เพื่อให้นางตรวจดูดีๆ จากนั้นก็พูดคุยแลกเปลี่ยนความความคิดเห็นและความต้องการของนางกับพิงถิง

“อะไรหรือ?” พิงถิงถามอย่างไร้ชีวิตชีวา งานชมดอกบัวสิ้นสุดลงแล้ว ลูกหลานจากตระกูลต่างๆ ก็ทยอยเดินทางออกจากลี่โจวหมดแล้ว แต่นางกลับไม่ได้หาโอกาสไปพบกับสวีปิ่งฮุยคนนั้นอย่างบังเอิญเลยสักครั้ง ในใจนั้นผิดหวังอย่างถึงที่สุด…นางก็ไม่รู้เช่นกันว่าคนผู้นั้นได้ออกจากลี่โจวแล้ว หรือยังอยู่กันแน่

“ท่านพ่อได้ปล่อยข่าวอย่างลับๆ กับคนพวกหนึ่ง กล่าวว่าเจ้าและจิงอิ๋งกำลังจะเลือกคู่แต่งงาน จิงอิ๋งนั้นไม่ต้องพูดถึง ย่อมจะเลือกซย่าจื่อชิงอยู่แล้ว เทียบเชิญเหล่านี้ล้วนเป็นของคนที่มีประสงค์จะสู่ขอเจ้าทั้งนั้น เจ้าเข้ามาดูสิว่ามีคนที่ถูกใจหรือไม่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แย้มยิ้มเล็กน้อย จิงอิ๋งก็เป็นคนที่ชะตาดีคนหนึ่ง สามารถพบคนที่ครั้งแรกต่างก็ต้องตาต้องใจกัน แต่ว่าพิงถิงก็ไม่เลวเช่นกัน แม้ว่าจะไม่เคยพบพิงถิง ทั้งไม่รู้ว่าพิงถิงคิดกับเขาอย่างไร แต่คนผู้นั้นกลับตัดจิงอิ๋งที่ดูเหมือนจะสูงส่งกว่าออกไปอย่างไม่ลังเล ตัดสินใจที่จะสู่ขอนางแทน นี่ก็เรียกว่าโชคชะตา ทั้งใช่ว่าจะด้อยกว่าจิงอิ๋งเสมอไป…เรื่องที่พิงถิงมีความ รู้สึกต่อสวีปิ่งฮุยเป็นจิงอิ๋งที่เปิดเผยออกมา และด้วยเหตุนี้ ซั่งกวนฮ่าวและซั่งกวนเจวี๋ยจึงได้ปล่อยข่าวอย่างลับๆ ว่าต้องการเลือกลูกเขยให้ลูกสาวทั้งสองจากตระกูลที่ได้รับเชิญมาในงานครั้งนี้

“อื้ม…” พิงถิงจ้องมองเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ที่นอนหลับปุ๋ย และก็มีเพียงเวลานี้เท่านั้นที่เจ้าตัวน้อยจะยอมให้นางแตะเนื้อต้องตัวแต่โดยดี ยามที่ได้ยินเยี่ยนมี่เอ๋อร์พูด ก็ไม่มีกะจิตกะใจเท่าใด แต่ก็ยังคงเคลื่อนฝีเท้ามาเข้าใกล้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างไม่เต็มใจนัก นางรู้สึกว่าคนผู้นั้นนับว่ามีความสามารถโดดเด่นในหมู่ตระกูลต่างๆ อยู่บ้าง หากเขาก็ส่งชื่อมา ก็คงมาสู่ขอด้านจิงอิ๋งเป็นแน่!

“นี่คือ…” พิงถิงมองแวบแรกก็เห็นชื่อของสวีปิ่งฮุย (เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตั้งใจจัดชื่อของเขาไว้เป็นคนแรก) ดวงตาพลันใสแจ๋วขึ้นมา เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดส่ายศีรษะพลางอมยิ้มไม่ไหว “เหนือความคาดหมายใช่หรือไม่?”

“พี่สะใภ้…” พิงถิงใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที ในใจรู้ดีว่าย่อมเป็นจิงอิ๋งที่เอาเรื่องนี้ไปบอกพี่ชายและพี่สะใภ้ รู้สึกเขินอายอยู่บ้าง แต่ก็ซาบซึ้งใจเช่นกัน นางรู้ว่าตัวเองพูดความลับเล็กๆ น้อยๆ นั้นให้จิงอิ๋งฟัง นั่นก็เพราะทั้งสองคนล้วนเผชิญกับสถานการณ์แบบเดียวกัน สามารถแบ่งปันเรื่องราวกันได้ ใครก็คงไม่หัวเราะใคร แต่ย่อมเขินอายที่จะพูดกับพี่ชายและพี่สะใภ้อยู่แล้ว

“สวีปิ่งฮุยเป็นลูกชายคนโตของตระกูลสวี เงื่อนไขทุกด้านล้วนไม่เลวเลย แต่ในยามที่เขาส่งชื่อมานั้น พี่ใหญ่ของเจ้ายังคงกังวลว่าเขาจะส่งมาทางจิงอิ๋งหรือไม่ ยามนี้จึงนับว่าไม่ต้องกังวลแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มบาง พิงถิงนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด ในยามนี้นับวันก็ยิ่งมีคนชอบนางขึ้นเรื่อยๆ ในยามที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเอ่ยถึงนางก็เอาแต่ชมไม่ขาดปาก มักจะพูดว่านางนั้นดีไม่น้อย เรื่องที่รับนางไว้เป็นบุตรในนามก็นับว่าได้ทำถูกแล้ว

“ได้มีคนบอกเป็นนัยอันใดให้เขาทำหรือไม่?” พิงถิงอดถามอย่างขมขื่นขึ้นมาไม่ได้ หากเป็นเช่นนั้น แม้ในใจจะมีความ รู้สึกดีกับคนผู้นี้ แต่นางก็ไม่อยากจะยอมรับ งานแต่งนั้นเป็นเรื่องสำคัญไปชั่วชีวิต แม้นางจะมั่นใจว่าสามารถดึงใจคนผู้นี้มาไว้ที่ตนได้ แต่ก็ไม่อยากจะเริ่มต้นไม่ดีเช่นนี้ หากเป็นเช่นนั้นก็คงจะเหนื่อยเกินไปแล้ว

“ไม่มีใครบอกให้เขาทำอะไรทั้งนั้น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กอดนางเบาๆ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยังจำที่ข้าเคยพูดไว้ได้หรือไม่? คุณหนูทุกคนของตระกูลซั่งกวนล้วนสูงส่งด้วยกันทั้งนั้น พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องวางท่า ยิ่งไม่จำเป็นต้องกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อไว้หน้าแก่ทุกฝ่าย พี่ใหญ่ของเจ้าได้ถามเหตุผลจากเขาอย่างละเอียดแล้ว และคำอธิบายของเขาก็ทำให้พวกเราพอใจเป็นอย่างมาก!”

พิงถิงมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างคาดหวัง และในยามนี้ จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ปิดปากฉับ แสร้งทำเป็นนวดคอตัวเอง คล้ายกับว่าไม่สบายตรงไหนสักแห่ง พิงถิงจึงเผยยิ้มรีบหยัดกายขึ้นไปด้านหลังของนาง บีบนวดให้นางเบาๆ อย่างเอาใจใส่

“เอาล่ะๆ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ จิงอิ๋งและหลิงหลงย่อมไม่ได้หูตาว่องไวเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่หลังจากหวงฝู่เยวี่ยเอ้อได้ใกล้ชิดกับพิงถิงจึงค่อยๆ ได้รับรู้ความเอาอกเอาใจของลูกสาว ทั้งยังพูดออกมาตรงๆ ว่าตนเองเลี้ยงดูลูกสาวสองคนมาเสียเปล่า ทำให้ซั่งกวนฮ่าวนั้นทั้งเคืองโกรธทั้งขำขันไปพร้อมกัน…เริ่มแรกที่จะให้นางรับพิงถิงเป็นลูกสาวในนาม ตอนนั้นจะให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอม

“พี่สะใภ้…” พิงถิงเขย่ามือของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างออดอ้อน คล้ายกับว่าหากนางยังไม่ยอมบอกอีกจะเขย่าให้นางเสียหลักไปเลย ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตีมือนางอย่างขบขันและจนใจ

“ได้ ข้าไม่ปิดเจ้าแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์นับว่ายอมแพ้ กล่าวยิ้มๆ “พี่ใหญ่เจ้าถามเขาว่าเหตุใดจึงไม่สู่ขอจิงอิ๋ง เขาบอกว่านิสัยของคุณหนูทั้งสอง แม้ว่าเขาจะไม่ชัดเจนนัก แต่ก็พอรู้มาบ้าง จิงอิ๋งเป็นลูกภรรยาเอก ถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจจนเติบใหญ่ นิสัยของนางนั้นสดใดมีชีวิตชีวา เป็นนิสัยที่ดีทั้งยังเข้ากับคนง่าย แต่นิสัยของนางนับว่าไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ของตระกูลสวีที่ค่อนข้างซับซ้อน อาจจะไร้ทางที่จะรับมือได้ แต่เจ้ากลับไม่เหมือนกัน แม้ว่าจะเป็นเพียงลูกอนุ แต่ก็สามารถได้รับความโปรดปรานจากมารดาภรรยาเอก มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพี่ชายพี่สาวลูกภรรยาเอก เห็นได้ชัดว่าเป็นคนมีความคิดรอบคอบ คุ้นชินที่จะสังเกตสีหน้าผู้คน ทั้งสามารถรับมือกับแต่ละฝ่ายได้ดี หากสามารถแต่งงานกับเจ้าได้ อย่างน้อยที่สุด ในยามที่เขายุ่งก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องภายในบ้าน เขากล่าวว่าแม้จะไม่เคยพบเจ้า แต่ก็มั่นใจว่าเจ้าจะเป็นหญิงสาวที่ยืนเคียงข้างเขาได้ดีคนหนึ่ง ทั้งย่อมเป็นนายหญิงที่ดีได้เช่นกัน”

ใบหน้าของพิงถิงนั้นแดงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขบขันขึ้นมาในขณะเดียวกัน ตัวเองจึงรู้สึกร้อนฉ่าขึ้นมาจนแทบทนไม่ไหว

“ข้าคิดว่าคนผู้นี้ก่อนที่จะมาลี่โจวก็คงเก็บข้อมูลของเจ้าและจิงอิ๋งก่อนแล้ว เพียงแต่ข้อมูลไม่มากพอเท่านั้น แต่เขาสามารถพิจารณาจากข้อมูลพวกนั้นได้ ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่ละเอียดถี่ถ้วน มากประสบการณ์ หากเจ้ายินดี ก็ทำเหมือนจิงอิ๋งได้เช่นกัน พบหน้ากับเขาสักครั้ง ถึงเวลานั้นรู้สึกว่าไปกันได้ พี่ใหญ่ของเจ้าก็ย่อมบอกเป็นนัยให้เขามาสู่ขอ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกว่า สวีปิ่งฮุยคนนี้ก็นับว่าไม่เลวเช่นกัน ธรรมเนียมของตระกูลสวีก็ค่อนข้างดี แม้จะไม่เหมือนกับตระกูลซย่าที่มีคำสอนจากบรรพบุรุษที่ทำให้ซั่งกวนฮ่าวเลื่อมใสศรัทธา แต่ก็ไม่ได้มีธรรมเนียมที่รับอนุภรรยาเข้ามาเรื่อยเปื่อย ขอแค่พิงถิงแสดงความสามารถของตนเองออกมา ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าสวีปิ่งฮุยจะมีใจคิดอื่นใด

“ไม่จำเป็นต้องพบหน้าหรอก” พิงถิงสั่นศีรษะ นางไม่คิดว่าเจอกันแล้วจะมีอะไรแตกต่างกันตรงไหน สวีปิ่งฮุยสามารถทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยสนใจได้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขานั้นไม่เลวเลย และตนเองก็เคยพบเขาครั้งหนึ่งเช่นกัน ความประทับใจครั้งแรกก็นับว่าใช้ได้ ยามนี้เขาก็คิดว่าตัวเองทั้งสองคนเหมาะสมกัน นั่นก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องยืนยันครั้งที่สามแต่อย่างใด พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ก่อนแต่งงาน แม้แต่โอกาสพบหน้ากันก็ไม่มีสักนิด ทั้งยังไม่เข้าใจเรื่องระหว่างกันเลยแม้แต่น้อย ยามนี้ยังสามารถใช้ชีวิตจนทำให้คนอิจฉาได้เลย ตัวเองก็ย่อมจะสามารถมีความสุขได้อย่างนั้นเช่นกัน

“แน่ใจนะว่าไม่จำเป็น?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกเหนือความคาดหมายเป็นอย่างมาก คาดไม่ถึงว่าพิงถิงจะตัดสินใจเช่นนี้ออกมา หากเริ่มแรกตัวเองมีโอกาส ย่อมต้องพบหน้าเจวี๋ยให้ได้สักครั้ง งานแต่งงานในวันนั้นก็คงไม่ต้องตกใจถึงเพียงนั้น

“แน่ใจ!” พิงถิงกล่าวยืนยัน “ท่านพ่อเสียแรงและกำลังคนมากขนาดนั้น ตรวจสอบข้อมูลของคนที่เหมาะสมออกมาได้อย่างละเอียดชัดเจน ให้พวกเราได้ดูก่อน ทั้งให้พวกเราเลือกตามใจ สำหรับคุณหนูทั่วไปนับว่าเป็นเรื่องที่เลิศเลอแล้ว ข้าไม่ควรร้องขอมากไป อีกอย่าง ไปมาหาสู่กันมากไป ก็ยากจะไม่ให้เกิดเรื่องกระทบกระทั่งกัน ถึงเวลานั้นพอมาเลือกหาใหม่อีกครั้ง ก็เป็นไปได้ว่าจะหาคนที่ดีสู้เขาไม่ได้อีกแล้ว กลับจะยิ่งแย่ไปใหญ่ ยังมิสู้เอาแบบนี้ก็พอแล้ว”

“เจ้าเติบโตขึ้นจริงๆ การไตร่ตรองเรื่องราวก็รอบคอบขึ้นมาก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นเอ็นดูพิงถิงมากอยู่บ้าง นางเป็นเช่นนี้ย่อมใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขแน่นอน

“จะทำตัวเหมือนเป็นเด็กไม่รู้จักโตไปตลอดชีวิตได้อย่างไรเล่า?” พิงถิงขยับเข้าไปใกล้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ หากตัวเองยังเป็นเหมือนเมื่อก่อน เอาแต่พึ่งพิงฮูหยินใหญ่ ยามนี้ตนก็อาจจะทำได้เพียงคิดวางแผนคนไปวันๆ หรือไม่แน่ว่าตอนนี้ยังทำได้เพียงประจบประแจงอยู่เบื้องหน้านางเท่านั้น ทั้งถูกคนมองอย่างรังเกียจ ยิ่งไปกว่านั้นเป็นไปได้ว่ายามที่พูดถึงเรื่องแต่งงาน แม้ว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะไม่ลอบกัดอะไรนาง แต่คนดั่งเช่นสวีปิ่งฮุยก็คงหลีกห่างไม่สนใจอันใดอยู่ดี สามารถได้ความโปรดปรานจากมารดาภรรยาเอกอย่างไรก็ย่อมไม่เหมือนกัน

“เช่นนั้นข้าก็จะบอกกับพวกท่านพ่อให้ตัดสินใจเรื่องงานแต่งของเจ้าตามนี้ ดีหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับไม่รู้ว่านางมีความรู้สึกลึกๆ ภายในใจมากมายเพียงไหน งานแต่งงานของนางก็นับว่าเป็นเรื่องสำคัญของตระกูลซั่งกวน ความต้องการของซั่งกวนฮ่าวและซั่งกวนเจวี๋ยนั้นชัดเจนมาก อยากจะจัดงานแต่งของจิงอิ๋งให้แล้วเสร็จในปลายปีนี้ ส่วนต้นปีหน้าก็จัดงานแต่งของพิงถิงให้เรียบร้อย เช่นนั้นเรื่องงานแต่งของลูกๆ เดิมทีก็สามารถละเว้นไว้ได้ชั่วคราว…ซั่งกวนอิงอายุน้อยเกินไป กว่าจะถึงเวลาแต่งงานก็ยังต้องรออีกสี่ห้าปี

และท่าทีของซั่งกวนฮ่าวก็ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง เขาคิดว่างานแต่งของลูกชายนั้นค่อนข้างจัดการง่ายกว่า อย่างไรก็เป็นการแต่งภรรยาเข้าบ้าน หากต่างก็พึงพอใจ สามีและภรรยารักใคร่กลมเกลียวก็ย่อมดีที่สุด หากไม่พึงพอใจกัน อย่างมากก็เพิ่มคนรู้ใจไม่กี่คนก็เท่านั้น ขอเพียงแค่สามารถให้กำเนิดลูกภรรยาเอกได้ก็เพียงพอแล้ว แต่ลูกสาวกลับไม่เหมือนกัน ย่อมต้องเลือกดูอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่อาจจะให้เกิดผิดพลาดอันใดได้ ลูกสาวของตัวเองไม่อาจจะให้รับความไม่เป็นธรรมใดใดได้เช่นกัน

“อื้ม!” พิงถิงผงกศีรษะ รู้ว่าบิดาย่อมมีวิธีที่จะจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสม ตัวเองคล้ายว่าจะไม่มีความจำเป็นต้องกังวลเรื่องอันใดแล้ว

“แต่ว่าเจ้าไม่อยากจะพบหน้าสวีปิ่งฮุยสักครั้งจริงๆ หรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำเรื่องของตนเองเสร็จแล้ว จึงมีใจอยากถามคิดในใจของพิงถิงเสียหน่อย กล่าวด้วยยิ้มสดใส “เจ้าได้เห็นความสัมพันธ์ของจิงอิ๋งและจื่อชิงที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดแล้วนี่ หรือเจ้าไม่รู้สึกอิจฉาบ้างหรือ?”

ซย่าจื่อชิงได้รับคำเชิญจากซั่งกวนเจวี๋ย ยามนี้พำนักอยู่ที่เรือนใต้ของตระกูลซั่งกวน ใครก็ล้วนรู้ว่าเขากำลังจะกลาย เป็นเขยของตระกูลซั่งกวน จึงเคารพและเกรงใจเขาอย่างมาก ทั้งให้เขาและจิงอิ๋งมีโอกาสพบปะกัน (แน่นอนว่าไม่ใช่การพบปะเพียงลำพัง ปกติก็มักให้พิงถิงไปเป็นเพื่อน และซย่าจื่อชิงก็มีความรู้สึกขัดแย้งในใจกับพิงถิง รู้สึกขอบคุณที่การมีอยู่ของนางทำให้เขาและพิงถิงได้พบกันบ่อยๆ ทั้งก็กลัวว่าที่น้องภรรยาที่มักจะนิสัยเสียปากคอเราะร้ายใส่ตนเช่นกัน) ยามนี้ทั้งสองคนพูดอะไรก็ล้วนรู้ใจกันไปหมด ซั่งกวนฮ่าวเองก็มีท่าทีที่ดีต่อเรื่องนี้ เพียงแต่รอไม่กี่วันให้งานแต่งของพิงถิงถูกกำหนดขึ้นพร้อมกัน ก็จะให้บิดาและผู้อาวุโสของซย่าจื่อชิงเดินทางมาสู่ขอแล้ว

“ไม่แม้แต่น้อย!” พิงถิงนั้นปากแข็งไม่ตรงกับใจอยู่บ้าง คล้อยหลังก็กล่าวด้วยยิ้มเริงร่า “หรือพี่สะใภ้รู้สึกว่าก่อนแต่งงาน ตัวเองไม่มีโอกาสได้สร้างความสัมพันธ์กับพี่ใหญ่ก่อนเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างนั้นหรือ?”

เจ้าเด็บแสบคนนี้นี่! เยี่ยนมี่เอ๋อร์จัดการนางไปที ฝีปากของนางนั้นร้ายกาจกว่าจิงอิ๋งอยู่มาก เพียงแต่เช่นนี้ก็ดี ย่อมไม่เสียเปรียบอย่างง่ายๆ แน่นอน ตระกูลสวีไม่ได้เรียบง่ายเหมือนตระกูลซย่า โดยเฉพาะตระกูลของลุงสวีปิ่งฮุยที่ยังมีลูกพี่ลูกน้องที่เก่งกาจอยู่หลายคน แม้จะมองไม่ออกว่าพวกเขามีใจทะเยอทะยานอยากจะเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปหรือไม่ แต่สวีปิ่งฮุยดูเหมือนจะมีความกังวลเช่นนี้ และก็เผยความกังวลนี้ออกมาอย่างไม่คิดปิดบังแม้แต่น้อย

“เอาล่ะ ข้าจะไปเป็นก้างขวางคอให้จิงอิ๋งแล้ว รอทำหน้าที่เป็นคนเลวเสร็จแล้วจะกลับมาเป็นเพื่อนคุยกับพี่สะใภ้แล้วกัน!” เรื่องที่พิงถิงกังวลในใจมากที่สุดก็ได้หมดห่วงแล้ว ตัดสินใจว่าวันนี้จะผ่อนปรนให้ซย่าจื่อชิงชั่วคราว ไม่สร้างความลำบากใจให้เขาแล้วกัน…

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

Status: Ongoing
จากแผนการล่มงานวิวาห์คลุมถุงชนกลับต้องเปลี่ยนเป็นแผนการมัดใจว่าที่สามี เมื่อเขาคนนี้กับชายในฝันของนางคือคนเดียวกัน... 'ถึงเขาจะเจ้าชู้ที่สุดในใต้หล้า แต่เจ้าสาวอย่างข้าจะปราบให้ดู!'

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท