แสงแดดยามบ่ายนั้นส่องทิ่มแทงสายตาเป็นพิเศษ กระนั้นกลับยังสามารถทำให้คนง่วงเหงาหาวนอนได้ เดิมทีเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็คุ้นชินที่จะนอนกลางวัน ทั้งเมื่อครู่ดื่มสุราไปเล็กน้อย ความคิดที่อยากจะนอนนั้นจึงมีมาก นางคลายบังเหียน ปล่อยให้ม้าที่แสนเชื่องพาตัวเองไปตามทางอย่างช้าๆ ส่วนนางก็หรี่ตาอยู่ในท่าทีกึ่งหลับกึ่งตื่น
“คุณหนูระวัง!” เสียงที่คุ้นหูทำให้นางตื่นตัว คืนสติขึ้นมา ในยามที่ลืมตาดู กลับพบซั่งกวนเจวี๋ยที่กำบังเหียนม้าในมือแน่น และม้าที่เขาควบอยู่นั้นก็ดูกระสับกระส่ายไม่น้อย
“คุณหนู ยามที่ขี่ม้าก็ระวังหน่อยเถิด หากทำให้ตัวเองหรือคนอื่นบาดเจ็บเข้าก็ย่อมไม่ดีทั้งนั้น!” ซั่งกวนเจวี๋ยขมวดคิ้วมองหญิงสาวที่หน้าตางดงาม ทั้งยังคุ้นตาอยู่บ้าง เห็นดวงตาที่สะลืมสะลือของนางก็รู้ว่าคนผู้นี้หากไม่ได้ตกใจจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก็คงต่อสู้กับเทพโจวกง[1]อยู่ในความฝัน และไม่ว่าจะเป็นอย่างใดล้วนทำให้เขาไม่พอใจทั้งนั้น
“เจ้ามาแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี สถานที่ที่ทั้งสองคนพบกันคือทางผ่านไปยังอารามสัตตบุษย์ ทั้งยังเป็นทางผ่านไปยังโรงสุรารินกลิ่นปทุมด้วยเช่นกัน แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์คิดไปแล้วว่าเขานั้นมาตามนัด
“หา?” ซั่งกวนเจวี๋ยมองหญิงสาวตรงหน้านี้อย่างแปลกประหลาดอยู่บ้าง…ครั้งนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เพียงแปลงโฉมอย่างง่ายๆ หน้ากากผีเสื้อที่เป็นเอกลักษณ์นั้นไม่ได้สวมอยู่บนหน้า ดังนั้นช่วงเวลาสั้นๆ เดิมทีซั่งกวนเจวี๋ยก็จำไม่ได้ว่าหญิงสาวตรงหน้านี้คือคุณหนูสุรา
“หาอะไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลอกตา(รู้สึกดีจริงๆ เพราะในยามที่เป็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นไม่อาจจะทำพฤติกรรมที่เสียมารยาทเช่นนี้ได้) จากนั้นก็มองที่ซั่งกวนเจวี๋ยพลางกล่าวอย่างไม่พอใจ “นัดไว้ยามอู่สามเค่อเสียดิบดี แต่ตอนนี้มันกี่ยามแล้ว? เพิ่งจะไปตามนัด ไม่ตรงต่อเวลาเกินไปแล้วจริงๆ!”
“เจ้าคือคุณหนูสุรา?” ยามนี้ซั่งกวนเจวี๋ยจึงค่อยเปรียบเทียบหญิงสาวตรงหน้ากับคุณหนูสุราเข้าด้วยกัน พินิจนางอย่างตกใจไม่น้อย แววตานางในความทรงจำนั้นเต็มไปด้วยความสดใสและปราดเปรื่อง เขาลอบขมวดคิ้วเล็กน้อย หรือหญิงสาวที่ฉลาดทุกคนย่อมมีแววตาเช่นนี้ เหตุใดชั่วพริบตาสั้นๆ เขาจึงรู้สึกว่ากำลังมองเห็นแววตาของมี่เอ๋อร์อยู่? แต่ว่าหางตาคู่นี้กลับโฉบเฉี่ยว ส่วนมี่เอ๋อร์นั้นหางตาตก มีเพียงในยามที่ไม่ตั้งใจก็จะเผยเสน่ห์ยั่วยวนออกมาจากแววตา ท่าทีสบายๆ มุมปากที่แฝงรอยยิ้ม ทั้งกลิ่นหอมดอกกุ้ยฮวาที่ลอยฟุ้งมาอย่างเลือนราง ทว่านี่แตกต่างกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์โดยสิ้นเชิง แต่ไหนแต่ไรมี่เอ๋อร์ก็ไม่ชอบใช้เครื่องหอม บนร่างก็เป็นกลิ่นดอกถานฮวาที่บางครั้งก็เหมือนจะมีหรือไม่มี และที่ลอยฟุ้งมากับกลิ่นหอมของดอกไม้ยังมีกลิ่นอ่อนๆ ของสุราอีกด้วย แน่นอนว่านางดื่มสุรา นี่คล้ายกับเป็นเรื่องที่ไม่เหนือความคาดหมาย ทุกครั้งที่พบกัน บนร่างของนางมักแฝงมาด้วยกลิ่นสุรา และความสามารถในการดื่มสุราของนางนั้นได้ประจักษ์แก่สายตามาแล้ว แต่กระนั้นบนร่างของคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้มีสิ่งที่ดูคุ้นเคยทั้งแปลกใหม่รวมอยู่ด้วยกัน ทำให้เขาสับสนอยู่บ้าง
“มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เลิกคิ้วถามอย่างไม่พอใจเท่าใด “หรือเจ้าไม่ได้เข้ามาหาข้า?”
“ไม่ใช่!” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่ได้คล้อยตามบทสนทนาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรทำให้คลุมเครือ ใช่ก็คือใช่ ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ บางครั้งก็ไม่ควรใจอ่อน หากใจอ่อนก็จะสร้างความหงุดหงิดที่ไม่จบไม่สิ้น
“ไม่ใช่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แปลกใจอยู่บ้าง หากไม่ใช่แล้วเขามาปรากฏตัวที่นี่ทำไม คงไม่ใช่ว่า…จู่ๆ นางก็เหมือนจะเห็นท่าไม่ดีเท่าไร เจวี่ยคงไม่ได้มารับตนที่อารามสัตตบุษย์หรอกกระมัง?
“ข้าจะไปรับภรรยา!” คำพูดของซั่งกวนเจวี๋ยทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกอิ่มเอมใจทั้งลนลานอยู่บ้างเช่นกัน หากให้เขาไปอารามสัตตบุษย์ ตงอวี่ย่อมไร้ทางที่จะรับมือกับเขาแน่ เช่นนั้นยามนี้เปิดเผยความลับออกไปหรือจะจงใจเผยความผิดปกติให้เขาเป็นฝ่ายจับได้ดี? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตัดสินใจไม่ถูกอยู่บ้าง…
“ไม่อาจคุยเล่นเป็นเพื่อนข้าสักครู่ได้เลยหรือ?” จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็มองซั่งกวนเจวี๋ยอย่างตัดพ้ออยู่บ้าง “พริบตาเดียวก็ผ่านไปสองปีแล้ว สองปีมานี้ข้าเอาแต่พยายามลืมเจ้า กระนั้นกลับลืมไม่ลง หรือเจ้าจะให้เวลาคุยเล่นเป็นเพื่อนข้าสักนิดก็ไม่ได้เชียว?”
“คุณหนูสุรา…” มอง ‘คุณหนูสุรา’ ที่ไม่ได้สวมหน้ากาก ซั่งกวนเจวี๋ยก็เผยยิ้มขมขื่น “ข้านั้นมีภรรยาแล้ว ไม่เหมาะที่จะวางตัวแบบเมื่อก่อนกับคุณหนู…”
“ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าทำเหมือนเมื่อก่อนเสียหน่อย ข้าเพียงแค่อยากคุยกับเจ้า ให้ตัวเองตายต่อความเพ้อฝันที่มีต่อเจ้าเท่านั้น!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แสร้งหลับตาลง ปิดบังความปรารถนาภายในที่อยากหัวเราะออกมา กล่าวอย่างน้อยใจ “ตั้งแต่ครั้งก่อนที่พบเจ้า ข้าก็อดกลั้นความรู้สึกที่มีต่อเจ้าเรื่อยมา อยากจะออกไปให้ไกลๆ หาความสุขที่เป็นของตัวเอง แต่ข้ากลับพบว่าสิ่งที่พอจะทำให้ข้ามีความสุขได้มีเพียงการได้อยู่ข้างกายเจ้าเท่านั้น…”
ซั่งกวนเจวี๋ยเห็นท่าทีตัดพ้อของคุณหนูสุราก็ถอนหายใจ “สองปีมานี้ปั๋วอวี่เอาแต่ตามหาร่องรอยของคุณหนูไปทั่วสารทิศ ไม่ว่าจะด้านใด เขาล้วนดีกว่าข้าทั้งนั้น อีกทั้งเขายังไม่มีคู่ที่เหมาะสม คุณหนูควรจะ…หากคุณหนูยินดีให้โอกาสเขาละก็ ข้าว่าเจ้าย่อมจะมีความสุขอย่างแน่นอน”
“แต่ข้าไม่ชอบเขาแม้แต่น้อย รู้สึกว่าเขาน่ารำคาญเป็นอย่างยิ่ง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แสดงนิสัยพูดจาขวานผ่าซากของคุณหนูสุราออกไป กล่าวอย่างหงุดหงิดใจอยู่บ้าง “เขาเอาแต่ยุ่มย่ามอย่างหน้าไม่อายเช่นนั้น รังแต่จะทำให้ข้ารู้สึกรำคาญเท่านั้น!”
“แต่คุณหนูยุ่มย่ามคุณชายของพวกเราเช่นนี้ก็ทำให้คุณชายพวกเรารู้สึกรำคาญมากเช่นกัน!” โม่เซียงอดที่จะสอดปากไม่ได้ เขารู้สึกว่าหญิงสาวตรงหน้านี้ไม่มีข้อดีอันใดแม้แต่น้อย ห่างไกลกว่าสะใภ้ใหญ่อยู่มาก ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณชายจึงมีความอดทน อยู่คุยเล่นกับนางถึงเพียงนี้
“เป็นเช่นนั้นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยท่าทีเจ็บปวดออกมา ถอนหายใจเบาๆ “ที่แท้ในสายตาของคุณชายขลุ่ย ข้าก็เป็นเพียงคนที่คอยยุ่มย่ามหน้าไม่อายคนหนึ่ง มิน่าเล่ารอนานเท่าใดก็ไม่เป็นผล”
“โม่เซียง ข้าจะพูดกับคุณหนูท่านนี้เพียงลำพัง เจ้าไปรออยู่ด้านข้างก่อนเถิด” ท้ายที่สุด ซั่งกวนเจวี๋ยยังมิอาจทนเห็นคุณหนูสุราเสียใจได้ นางเป็นคนแรกที่ทำให้เขาใจสั่น เคยอยู่ในตำแหน่งสำคัญในใจของตัวเองมากกว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ทั้งเคยคิดว่า หากสามารถแต่งกับนาง กลายเป็นสามีภรรยากันได้คงจะเป็นเรื่องที่มีความสุขที่สุด เพียงแต่เขาในอดีตไม่กล้าจะทำเช่นนั้น กลัวว่าจะทำร้ายหญิงสาวทั้งสองคนในเวลาเดียวกัน
จำได้ว่าปู่เถาเคยพูดหนึ่งประโยค เสือสองตัวไม่อาจจะอยู่ถ้ำเดียวกัน เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นตัวผู้หนึ่งตัว ตัวเมียหนึ่งตัว ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธนางอย่างเด็ดขาดในยามที่ตัวเองยังมีความรักต่อนางอย่างเต็มเปี่ยม แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน นับวันเขาก็ยิ่งชอบเยี่ยนมี่เอ๋อร์มากขึ้น นับวันก็ยิ่งดีใจที่ท่านแม่พยายามยึดมั่นในความคิด ยืนกรานตัดสินใจให้ตัวเองแต่งกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ คุณหนูสุราเป็นเพียงความฝันที่ดีที่สุดในช่วงเวลาวัยเยาว์เท่านั้น แม้จะสามารถมีหญิงสาวที่ฉลาดแพรวพราว มองเรื่องราวต่างๆ อย่างทะลุปรุโปร่ง และมีวรยุทธเป็นคู่ครอง อยู่ในบ้านก็จะเป็นสามีภรรยาที่น่าอิจฉาของผู้คน ออกจากประตูก็จะเป็นคู่รักเจ้ายุทธ์ที่ร่วมบุกฝ่าอันตรายไปด้วยกัน แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เป็นที่พักพิงชั่วชีวิตของตัวเองแล้วจริงๆ บางทีอาจจะไม่สามารถร่วมเดินเส้นทางยุทธภพด้วยกันได้ แต่พวกเขาย่อมสามารถประคับประคองใช้ชีวิตไปด้วยกันได้แน่ มีภรรยาเช่นนี้แล้ว สามียังจะต้องการอะไรอีก? เขาควรรักเดียวใจเดียวกับมี่เอ๋อร์ ไม่อาจจะคิดเลอะเทอะมีทั้งภรรยาทั้งอนุ นั่นเพียงรังแต่จะทำให้ชีวิตของเขายุ่งวุ่นวายก็เท่านั้น
“ขอรับ!” โม่เซียงรับคำสั่งอย่างไม่เต็มใจ เยี่ยนมี่เอ๋อร์บังคับม้าไปใกล้กับริมสระบัว คล้อยหลังก็กระโดดลงจากหลังม้า ผูกม้าไว้กับต้นหลิวริมทะเลสาบอย่างคล่องแคล่ว ซั่งกวนเจวี๋ยถอนหายใจ ก่อนจะทำเหมือนนางเช่นกัน มัดม้าไว้กับต้นไม้ ทิ้งไว้ให้โม่เซียงที่เต็มไปด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์เฝ้าดู
“คุณหนูรู้ว่าปั๋วอวี่เสาะหาเจ้าไปทั่วอย่างนั้นหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคุณหนูสุรา ก็มีความรู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก (ทุกวันนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างอยู่เป็นประจำ ไม่คุ้นก็แปลกแล้ว) พูดคุยเรื่องเมื่อครู่ต่อ
“รู้สิ ดังนั้นวันนี้ข้าจึงไม่ได้สวมหน้ากาก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวตรงๆ “หากสวมหน้ากาก คาดว่าหลังจากนี้อีกสามสี่วัน เขาก็คงตามมาที่ลี่โจวแน่ หากเป็นเช่นนั้นข้าก็คงหงุดหงิดตาย!”
“คุณหนูพำนักในลี่โจว?” ซั่งกวนเจวี๋ยนั้นหลักแหลม เพียงจากคำพูดของนางก็ได้ข้อสรุปออกมาเช่นนี้ อย่างนั้นแล้ว เหตุใดในยามที่พบกันครั้งแรกนางจึงไม่รู้ฐานะของตน
“ยามนี้อยู่ที่ลี่โจว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ “ครั้งที่แล้วข้าเห็นพวกเจ้าย้ายมาที่ลี่โจว และก่อนที่ท่านป้าจะตายก็มีบ้านและกิจการที่ลี่โจวอยู่บ้าง แต่ข้าเข้ามาด้วยเหตุผลบางอย่าง”
“ท่านป้าของเจ้า…” ซั่งกวนเจวี๋ยชะงักเล็กน้อย ก่อนตาย? หญิงสาวคนที่มู่หรงปั๋วอวี่พรรณนาว่าเข้าออกงานประลองยุทธ์ด้วยกันกับนางคนนั้นจะไม่อยู่แล้ว?
“ท่านป้าล่วงลับไปแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ “เดือนหกปีนั้น ท่านป้าอาการไม่ค่อยดี เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ อยู่ตลอด ข้าก็เอาแต่รั้งอยู่ข้างกายนางไม่กล้าห่างไปไหน ดังนั้นจึงไม่ได้ไปงานประลองยุทธ์ ทั้งพลาดโอกาสครั้งที่สามที่จะได้เจอกับเจ้า เดิมทีข้าอยากถามเจ้าว่า ยินดีที่จะยอมรับผู้หญิงที่หนีการแต่งงานหรือไม่ แต่ว่า…ทำได้เพียงกล่าวว่าลิขิตสวรรค์ก็เป็นเช่นนี้กระมัง!”
“หนีการแต่งงาน?” ซั่งกวนเจวี๋ยเวียนหัวอยู่บ้าง แต่เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป เสียดายหรือว่าดีใจ? ไม่ว่าจะแสดงท่าทีอย่างไหนก็มีแต่จะทำให้คนเสียใจ
“ใช่แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก่อนที่มารดาของข้าจะล่วงลับไปก็ได้เตรียมงานแต่งให้กับข้าแล้ว เป็นลูกชายคนโตของสหายนาง และคนที่สหายผู้นั้นของนางแต่งด้วยกลับเป็นคนที่ท่านป้าเกลียดชังอย่างมาก ดังนั้นหลังจากข้ารู้เรื่องนี้จึงคิดที่จะหนีการแต่งงาน แต่คาดไม่ถึงว่า ในยามที่ข้าตัดสินใจจะหนีการแต่งงาน ทั้งเตรียมลู่ทางถอยไว้ดีแล้ว เจ้ากลับ…”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์นึกขึ้นมาก็ยังคงรู้สึกราวกับปาฏิหาริย์ ยามที่ตัวเองเตรียมพร้อมแล้วนั้นกลับพบว่าเจ้าบ่าวคือคนที่ตัวเองคิดคะนึงหามาโดยตลอดผู้นั้น เสี้ยวเวลานั้นนางตกตะลึงจริงๆ
จู่ๆ ซั่งกวนเจวี๋ยก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง ทั้งละอายใจ เขายังคงรักษาระยะห่างอย่างพอดีกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ มองแผ่นหลังของนางก็อดจะเทียบกับภรรยาไม่ได้ คล้ายกับว่า…ค่อนข้างที่จะ…เหมือนว่าแผ่นหลังของหญิงสาวทั่วทั้งใต้หล้าคงจะมีลักษณะคล้ายเหมือนกันหมดกระมัง!
“เจ้ารู้หรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หมุนกายเผยยิ้มขึ้นมาโดยพลัน “จู่ๆ ข้าก็พบว่านับวันตัวเองก็ยิ่งชอบเจ้าขึ้นเรื่อยๆ!”
“คือว่า…” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่รู้ว่าตัวเองควรจะตอบอย่างไร หากเป็นผู้หญิงคนอื่นเขาย่อมปฏิเสธได้ ถึงกระทั่งมองข้ามหรือตอบกลับอย่างประชดประชัน แต่หญิงสาวตรงหน้าคนนี้เป็นผู้ที่เขาเคยรู้สึกอย่างลึกซึ้งมาก่อน เคยเป็นคนที่เขาคิดว่าชั่วชีวิตจะรักนางจนผนึกไว้ในใจไม่อาจลืม แม้ยามนี้ตำแหน่งของนางที่อยู่ในใจจะเทียบไม่ได้กับมี่เอ๋อร์แล้ว แต่การทำลายน้ำใจนาง เขายังคงไม่อาจทำได้
เจ้าทึ่มคนนี้? เยี่ยนมี่เอ๋อร์โมโหอยู่บ้าง หรือเขายังมองไม่ออกว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้คือตัวเอง? นอกจากหน้ากากหนังมนุษย์และกลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวา นางก็ไม่ได้ปกปิดอย่างอื่นมากมาย หากเขายังจำไม่ได้ ก็นับว่าทำให้คนโมโหและผิดหวังแล้วจริงๆ…
“เหตุใดเจ้าจึงไม่ตอบ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์โกรธเคืองในใจ น้ำเสียงก็ไม่ดีเท่าใดนัก
“คุณหนูคิดว่าข้าควรจะตอบอย่างไรเล่า?” ซั่งกวนเจวี๋ยโยนคำถามกลับไป
“หากเจ้ายินดีที่จะยอมรับข้า ก็ตอบด้วยคำพูดที่คล้อยตาม หากไม่ยินดีก็…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจ “เจ้าสามารถพูดว่า เฮ้อ เหตุใดข้าจึงพบว่าคนที่ชอบข้านับวันก็มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ!”
ซั่งกวนเจวี๋ยหลุดขำ คุณหนูสุรายังคงตลกขบขันเหมือนเมื่อก่อนไม่เปลี่ยน และเมื่อเห็นนางเข้ามาใกล้ตัวเอง ก็ถูกเยี่ยนมี่เอ๋อร์สาดยาสลบเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัวจนหมดสติไป…
“เฮ้ย…เจ้าคิดจะทำอะไร?” โม่เซียงถลาเข้ามาอย่างตกใจยกใหญ่ พยุงซั่งกวนเจวี๋ยที่อ่อนยวบไปกับพื้น มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเตรียมพร้อมรับมือ
“ไม่ได้คิดจะทำอันใด แค่ทำให้เขาพักผ่อนชั่วครู่เท่านั้น! เจ้าอยากช่วยเขา แค่ใช้น้ำสาดก็ฟื้นแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์โมโหในใจ พูดมาจนค่อนวันก็ยังจำตัวเองไม่ได้ ควรจะโดนสาดน้ำเย็นสักครั้ง ให้สติเข้าที่เข้าทางบ้าง จากนั้นก็ปลดบังเหียนอาชาสีแดงเพลิง ถลาขึ้นไป ก่อนจะกลับไปยังอารามสัตตบุษย์เพื่อสลับฐานะกับตงอวี่อย่างเร่งด่วน…
———————————-
[1] โจวกง เป็นรัฐบุรุษในราชวงศ์โจว ทั้งยังเป็นผู้ที่ขงจื่อชื่นชมและยกย่อง ตามเรื่องเล่า ขงจื่อมักจะกล่าวว่า เขาฝันถึงโจวกงบ่อยๆ ซึ่งยามนั้นเป็นช่วงที่ลัทธิขงจื่อกำลังเจริญรุ่งเรือง เมื่อเรื่องถูกเผยแพร่ออกไป จึงทำให้ชาวจีนถือเอาโจวกงเป็นเหมือนเทพแห่งความฝัน