“ท่านแม่คุยอะไรกับเจ้า? คุยกันเกือบทั้งวัน หมิงเอ๋อร์เอาแต่ตามหาเจ้า” ซั่งกวนเจวี๋ยส่งเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ เสี่ยวหมิงเอ๋อร์ที่วันปกติ เมื่อเห็นซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่เอาใครทั้งนั้น ครั้งนี้กลับรู้สึกสนิทสนมกับมารดามากกว่า ยื่นมือออกไปก็จับผมของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่เจ้าตัวเล็กเรียนรู้ที่ดึงผมผู้ใหญ่เพื่อใช้ข่มขู่และระบายโทสะ
เยี่ยนมี่เอ๋อร์หลบหลีกจากการจับกุมน้อยๆ อย่างระมัดระวัง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่ต้องถามท่านแล้ว ก็ไม่รู้ว่าท่านและท่านแม่คุยอะไรกัน ทำให้ท่านแม่เอาแต่กังวลว่าท่านมีอะไรเกี่ยวข้องกับหญิงสาวที่มีที่มาไม่ชัดเจนคนหนึ่ง ดังนั้นจึงเรียกข้าไป ให้ข้าจับตาดูท่าน! เจวี๋ย หรือช่วงนี้ท่านเจอหญิงสาวที่ทำให้ท่านหลงใหลแล้วจริงๆ?”
“ก็พบทุกวัน!” ซั่งกวนเจวี๋ยมองภรรยาอย่างยิ้มๆ “ผู้ที่สามารถทำให้ข้าหลงใหลได้ก็มีแต่เจ้าไม่ใช่หรือ?”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลอกตาใส่เขาอย่างกระเง้ากระงอด ในใจนั้นรู้สึกหวานซึ้ง หัวเราะเบาๆ “คารมคมคายนัก!”
“ข้าพูดเรื่องจริง!” ซั่งกวนเจวี๋ยแสดงท่าทีราวกับกล่าวคำสาบาน กล่าวยิ้มๆ “ข้ารักเจ้าตั้งแต่แรกพบจริงๆ หลังจากพบเจ้าแล้วก็ไร้ทางที่จะถอนตัว!”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใจเต้นเล็กน้อย หรือเขาพบอะไรเข้าแล้วจริงๆ? ใบหน้าของนางอดเผยรอยยิ้มดีใจไม่ได้ คอยซั่งกวนเจวี๋ยพูดต่อไป แต่ซั่งกวนเจวี๋ยกลับคล้ายว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ยังพูดอะไรอีก?”
“ท่านแม่บอกว่าหญิงสาวคนนั้นก็คือคุณหนูสุราผู้ที่มู่หรงปั๋วอวี่ชอบ กล่าวว่าท่านก็คล้ายกับจะมีความรู้สึกไม่ธรรมดากับนาง กังวลเป็นอย่างมากว่าท่านจะเลี้ยงดูภรรยานอกสมรส” ยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดคำนี้ก็จับตามองใบหน้าของซั่งกวนเจวี๋ย คิดอยากจะจับผิดอะไรจากท่าทีของเขา
“มี่เอ๋อร์ ที่จริงช่วงนี้ข้าพบคุณหนูสุรามาจริงๆ” สีหน้าของซั่งกวนเจวี๋ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถอนหายใจกล่าว “เพียงแต่ข้าไม่อยากให้เจ้าเข้าใจผิดอะไร ดังนั้นจึงไม่ได้บอกเจ้าเท่านั้น เจ้าคงไม่โกรธกระมัง?”
“ข้าจะโกรธได้อย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะเบาๆ “ท่านสามารถบอกกับข้าอย่างตรงไปตรงมาก็พิสูจน์ได้แล้วว่าท่านไม่ได้มีอะไรแฝงในใจ…แต่ว่า หลังจากท่านเจอนางแล้วมีความรู้สึกอย่างไร?”
พูดสิ พูดว่านางและข้าเหมือนกันเป็นอย่างมาก ท่านรู้สึกว่าพวกเราทั้งสองคนเหมือนเป็นคนเดียวกัน เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองเขาอย่างคาดหวัง ขอเพียงแต่ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวว่าทั้งสองคนคล้ายกัน นางถึงสามารถผลักเรือตามน้ำ กล่าวอย่างตรงไปตรงมาได้แล้วว่านั่นก็คือตัวเอง
“เพียงรู้สึกรำคาญมากเท่านั้น” ซั่งกวนเจวี๋ยเห็นแววตาที่คาดหวังของเยี่ยนมี่เอ๋อ์อย่างชัดเจน จึงจงใจสั่นศีรษะ “ในยามที่พวกเราพบกันแรกๆ ก็รู้สึกมาโดยตลอดว่านางเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์ ฉลาดหลักแหลมและน่ารักผู้หนึ่ง รู้จักวางตัวอย่างเหมาะสม ปฏิบัติตัวกับคนหรือจัดการกับเรื่องราวก็เผยความเจ้าเล่ห์อย่างเป็นธรรมชาติอย่างบอกไม่ถูก แต่ว่า…ยามนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเท่าใดแล้ว!”
หา? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ราวกับถูกน้ำเย็นสาด แววตาที่คาดหวังยังไม่ทันได้หายไป ก็นิ่งงันอย่างตกตะลึงอยู่เช่นนั้น พาให้ซั่งกวนเจวี๋ยแอบขำอยู่ในใจ ดูซิว่าเจ้าจะกล้าแต่งเป็นคุณหนูสุราออกมาหลอกคนอีกหรือไม่!
“อะไรคือไม่ค่อยเท่าใดแล้ว?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าตนเองในยามนี้ต้องฝืนยิ้มออกมาแน่ แต่นางไม่อาจจะยิ้มได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีความสุขจริงๆ
“ยามที่เห็นนางครั้งแรก รู้สึกว่านางเหมือนภูตวิญญาณที่มาจุติยังโลกมนุษย์อย่างผิดพลาด แต่ยามนี้กลับดูเหมือนเป็นหญิงสาวธรรมดาที่ยากจะหยั่งเดาความคิด สิ่งที่แตกต่างคือนางแสดงละครเก่งเป็นอย่างมากเท่านั้น!” ซั่งกวนเจวี๋ยโจมตี ‘คุณหนูสุรา’ อย่างไม่หยุดยั้ง กล่าวเสียงเย็น “นางเคยวางตัวอย่างอิสระ ภาคภูมิใจในตัวเอง ไม่รับการผูกมัดจากกฎเกณฑ์ใดใดในโลกมนุษย์ พวกเราล้วนคิดว่าหญิงสาวคนนี้ได้แยกตัวออกจากทุกสิ่งแล้ว แต่ว่า…มี่เอ๋อร์อาจจะไม่รู้ สองปีก่อน ตอนงานประลองยุทธ์ที่ลี่โจวข้าได้เจอนางครั้งหนึ่ง เป็นพวกปั๋วอวี่ที่พบนางระหว่างทาง จากนั้นก็เชิญนางมาที่ลี่หูชุน เวลานั้นนางบอกว่านางชอบข้า ในยามที่ข้าบอกว่าข้ามีเจ้าแล้ว คาดไม่ถึงว่านางกลับพูดว่าจะยอมเป็นอนุด้วยท่าทีที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง พูดตามตรง ยามนั้นข้าซึ้งใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังคงยืนกรานที่จะปฏิเสธนาง เพราะข้าไม่อยากทำให้เจ้าเสียใจ เวลานั้นนางก็จากไปอย่างเงียบๆ และข้าก็ยังคงรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก!”
“เช่นนั้นเหตุใดยามนี้…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เข้าใจว่าเหตุใดซั่งกวนเจวี๋ยจึงมีท่าทีเปลี่ยนไปกับ ‘คุณหนูสุรา’ เช่นนี้
“เจ้าจำวันที่ข้าไปรับเจ้าที่อารามสัตตบุษย์ได้หรือไม่?” ซั่งกวนเจวี๋ยเชื่อว่ามี่เอ๋อร์ย่อมจำได้ขึ้นใจ ถอนหายใจกล่าว “ที่จริงแล้ว ก่อนวันนั้นนางส่งจดหมายฉบับหนึ่งมาให้ข้า ต้องการให้ข้าไปพบนางที่ริมสระบัวของโรงสุรารินกลิ่นปทุม…เหอะ นางคิดว่านางเป็นใคร แค่จดหมายฉบับเดียวก็จะบงการข้าได้แล้วอย่างนั้นหรือ?”
“ท่านไม่ได้ไปหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยากจะแสดงท่าทีชอบใจออกไปจริงๆ แค่ยามนี้ในใจมีแต่ความหงุดหงิด ที่ไม่ร้องไห้ก็เพราะพยายามควบคุมอยู่ ไหนเลยจะสามารถยิ้มออกมาได้
“ข้าไหนเลยจะมีใจสนใจนาง!” ซั่งกวนเจวี๋ยเห็นใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ทว่าแววตากลับเต็มไปด้วยความผิดหวังและเสียใจ กระทั่งเสี่ยวหมิงเอ๋อร์จับผมนางก็ยังไม่รู้ตัว จงใจกล่าว “ข้านั้นมีครอบครัวแล้ว ไฉนจะยุ่งเกี่ยวกับหญิงสาวที่มีที่มาไม่ชัดเจนเช่นนั้นได้? หากเป็นอย่างนั้นก็ไม่เพียงแต่ทำผิดต่อเจ้า แต่ยังทำผิดต่อหมิงเอ๋อร์อีก”
“ใช่แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฝืนยิ้มออกมา น่าเกลียดเสียยิ่งกว่ากระไร
“ผลลัพธ์คือ…” ซั่งกวนเจวี๋ยสั่นศีรษะทั้งถอนหายใจ “ก็ไม่รู้ว่าข้าโชคร้ายจริงๆ หรืออย่างไร คาดไม่ถึงว่าระหว่างทางที่ไปรับเจ้ากลับพบนางเข้า และนางกลับตามตอแยข้าอย่างหน้าไม่อาย ทั้งยังคิดที่จะกระโจนสู่อ้อมกอด หลังจากถูกข้าปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ก็โมโหขึ้นมา ฉวยโอกาสในยามที่ข้าไม่ทันระวังใช้ยาสลบกับข้า คิดอยากจะลักพาตัวข้าที่ไม่ได้สติไป เป็นโม่เซียงที่เห็นท่าไม่ดี ขัดขวางนางไว้ จึงทำให้แผนร้ายของนางไม่ประสบผลสำเร็จ!”
ตอแย? กระโจนสู่อ้อมกอด? วางยาสลบแล้วลักพาตัว? เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองซั่งกวนเจวี๋ยด้วยดวงตาที่มีเปลวไฟลุกโชน นางไปทำเรื่องเช่นนั้นเมื่อใดกัน?
“มี่เอ๋อร์คงโกรธมากกระมัง!” ซั่งกวนเจวี๋ยมองภรรยาที่เพลิงโทสะลุกโชนในดวงตา รู้สึกว่าโกรธมากแล้ว จึงกล่าวยิ้มๆ “ที่จริงเจ้าไม่จำเป็นต้องโกรธขนาดนี้ ข้าก็อยู่ข้างกายเจ้าอย่างสงบสุขเช่นนี้แล้วไม่ใช่หรือ? ไม่ว่านางจะใช้วิธีอะไรมาหลอกล่อ ข้าก็ย่อมไม่สนใจนาง”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าตัวเองเสียอาการ ทั้งเตรียมที่จะบอกความจริงตรงๆ แล้ว แต่ถูกซั่งกวนเจวี๋ยตอกกลับเช่นนี้ ก็ทำได้เพียงยิ้มอย่างลำบากใจเท่านั้น “ไม่โกรธได้หรือ? คาดไม่ถึงว่านางจะกล้าทำเช่นนั้นกับท่านต่อหน้าผู้คนมากมาย”
“ที่จริงก็คงต้องโทษข้า!” ซั่งกวนเจวี๋ยถอนหายใจ “หากไม่ใช่เพราะข้ามีความรู้สึกดีต่อนาง ทั้งบอกฐานะให้นางรู้ นางก็คงจะไม่ตอแยอย่างไม่เลิกราเช่นนี้หรอก…ก็เหมือนกับพวกหวงเซียวเซียง สิ่งที่นางถูกใจไม่ใช่ตัวข้า แต่เป็นตำแหน่งลูกชายภรรยาเอกคนโตของตระกูลซั่งกวน หากข้าไม่ได้เป็นลูกชายภรรยาเอกคนโตของตระกูลซั่งกวน นางก็คงไม่ตอแยอย่างไม่เลิกรากับข้าเช่นนี้หรอก!”
อะ อะไรนะ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์แทบจะสำลักตายเพราะหายใจไม่ทัน คาดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าพูดเช่นนี้? ตัวเองไปทำเรื่องพวกนั้นเพราะเกี่ยวกับฐานะของเขาตั้งแต่เมื่อใดกัน?
“ข้าคิดมาโดยตลอดว่านางไม่เหมือนกับหญิงสาวพื้นๆ พวกนั้น” ซั่งกวนเจวี๋ยเห็นท่าทีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ก็แทบอยากจะหัวเราะออกมา รอหลังจากเขาต่อว่าแล้ว หากมี่เอ๋อร์กล่าวมาตามตรง ตัวเองย่อมไม่อาจให้อภัยนางอย่างง่ายๆ เวลาที่ควรเล่นตัวก็ควรจะเล่นตัว ให้นางได้พูดคำดีๆ กล่าวขอโทษด้วยเสียงหวานจึงจะพอใจ
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ในยามนี้โมโหจนไม่อาจโมโหได้มากกว่านี้อีกแล้ว แต่นางก็สงบลงมา ฉวยเส้นผมออกมาจากมือของเสี่ยวหมิงเอ๋อร์อย่างระมัดระวัง ยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติอยู่มาก “ผลลัพธ์กลับยังคงเป็นเหมือนกันกระมัง!”
“ใช่แล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยถอนหายใจ “สิ่งที่แตกต่างคือนางแสดงละครเก่งกว่าเท่านั้น! โชคดีที่ข้ามีภรรยาที่ดีเช่นเจ้าแล้ว มิเช่นนั้นก็อาจจะถูกน่าหลอกล่อไปจริงๆ แล้ว แต่ว่า มี่เอ๋อร์อาจจะไม่รู้ เมื่อก่อนนางสวมหน้ากากผีเสื้ออยู่ตลอด ดูแล้วให้ความรู้สึกที่ลึกลับและมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก แต่วันนั้นนางได้ถอดหน้ากากออก เหอะ…ข้าจึงเพิ่งเข้าใจ ที่แท้นางสวมหน้ากากไม่ใช่เพื่อว่าปิดบังความงามของตัวเอง แต่เพราะปิดบังความขี้เหร่ต่างหาก อย่าพูดถึงปั๋วอวี่ที่ยามนี้ก็ยังเอาแต่พลิกฟ้าตามหานางเลย หากให้ปั๋วอวี่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนาง ย่อมต้องตกใจจนหันหลังกลับแทบไม่ทันแน่ ชั่วชีวิตนี้คงไม่กล้าจะปรากฏกายต่อหน้านางอีกแล้ว ดังนั้น มี่เอ๋อร์ ท่านแม่เพียงกังวลเกินกว่าเหตุเท่านั้น เจ้าอย่าได้กังวลว่าข้าจะชมชอบหญิงสาวคนนั้นเลย!”
ปิดบังความขี้เหร่? เยี่ยนมี่เอ๋อร์กัดฟังดัง ‘กรอดๆ’ นางยอมรับว่าหน้ากากของคุณหนูสุราไม่ได้สะสวยเหมือนกับใบหน้านี้ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แต่ก็ยังคงเป็นคนงามที่นับว่ายากจะได้พบคนหนึ่ง ไหนเลยจะดูไม่ได้อย่างที่เขาพูดถึงขนาดนั้น?
“เหนียง…เหนียง…[1]” เสี่ยวหมิงเอ๋อร์รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นอะไร ท่านพ่อและท่านแม่ล้วนไม่สนใจเขา ไม่ได้ห้อมล้อมเขา หยอกล้อเขา ดังนั้นเขาที่ยากจะเปิดปากจึงเปล่งสองคำนี้ออกมา
“มาหาพ่อมา” ซั่งกวนเจวี๋ยได้ยินเสียงกัดฟันของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ก็สั่นสะท้านในใจเล็กน้อย ยื่นมือไปรับลูกชายจากมือของนาง เตรียมว่าหากเห็นท่าไม่ดีก็จะพาลูกหนีไปก่อน…เกรงว่าเสียงตะคอกของภรรยาจะทำลูกชายตกใจเอา!
“ความหมายของสามีก็คือหญิงสาวผู้นั้นเพียงแต่งหน้าแต่งกายให้งามแต่เพียงภายนอกเท่านั้น ท่านย่อมไม่อาจสนใจนาง ให้ข้าอย่าได้กังวลใจ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้โมโห ไม่ได้โกรธเคือง แต่เผยยิ้มหวานเป็นอย่างยิ่ง หลังจากส่งลูกชายให้ซั่งกวนเจวี๋ยแล้ว ก็กล่าวทั้งคลี่ยิ้ม “ได้ยินสามีพูดถึงขนาดนี้ ข้าก็วางใจ เฮ้อ ข้าถูกท่านแม่พูดจนกระวนกระวายไปหมด กังวลว่าสามีจะไม่สนใจข้าและหมิงเอ๋อร์เพราะนาง หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรอีก!”
ไม่โมโห? ซั่งกวนเจวี๋ยคิดว่าเขาเห็นภาพหลอน พูดถึงขนาดนี้นางยังไม่โมโหอีก หรือว่าโมโหจนถึงขีดสุดแล้ว ดังนั้นจึงแสดงท่าทีตรงกันข้าม? เขาเหมือนจะแหย่เล่นโดยไม่คิดอะไรมาก แต่จริงๆ แล้วกลับพินิจเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างจริงจัง แววตาที่แฝงไปด้วยเพลิงโทสะของนางทำให้เขาแทบจะตกใจ คล้ายกับว่าได้ถูกจุดไฟขึ้นจริงๆ
“มา หมิงเอ๋อร์ให้พ่ออุ้ม!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่งเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ให้ซั่งกวนเจวี๋ย แต่ว่าวิธีที่นางส่งนั้นแตกต่างจากวันปกติโดยสิ้นเชิง เสี่ยวหมิงเอ๋อร์คว้าเบาๆ ก็จับผมของซั่งกวนเจวี๋ยไว้ในมือได้แล้วและในยามนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ถือโอกาสดึงตัวลูกห่างออกมาเล็กน้อย ซั่งกวนเจวี๋ยจึงถูกทึ้งจนเจ็บหนังศีรษะ กลับไม่กล้าจะมีปฏิกิริยาอันใด…พลังกำลังของเขามีมาก หากไปทำให้ลูกชายบาดเจ็บ ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว!
“เช่นนั้นเจวี๋ยก็จะไม่เจอนางอีกตลอดไป?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คล้ายกับไม่รู้ไม่ชี้เรื่องที่ลูกชายกำลังดึงผมของซั่งกวนเจวี๋ย วางเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ไว้ในอ้อมกอดของซั่งกวนเจวี๋ยอย่างเรียบนิ่ง “หากนางส่งจดหมายอะไรมานัดให้ท่านไปพบอีกล่ะ?”
“ข้าจะไม่พบนางอีกแล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวด้วยความหนักแน่นเป็นอย่างมาก คล้อยหลังก็พูดอย่างกังวลอยู่บ้าง “เพียงแต่ข้ายังกังวลว่านางจะหาโอกาสเข้าใกล้ข้า ยั่วยวนข้าหรือกระทั่ง…ข้าคิดว่า หากสบโอกาส นางอาจจะวางยาข้า คิดทำเรื่องที่เลยเถิดจนไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกก็เป็นไปได้ แต่ว่ามี่เอ๋อร์วางใจเถิด ข้าย่อมจะดูแลรักษาตัวเองให้ดี!”
“เช่นนั้นข้าย่อมเชื่อใจท่าน!” ในยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวประโยคนี้ก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน โมโหอยู่ในใจ เจ้าคอยดูข้าเถิด!
ยังไม่ยอมรับตรงๆ อีกหรือ? ซั่งกวนเจวี๋ยเห็นสีหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ จู่ๆ ก็ร้อนใจอยู่บ้าง ความคิดที่อยากเป็นฝ่ายเปิดเผยเรื่องราวสลายหายไปทันที…เวลานี้หากให้มี่เอ๋อร์รู้ว่าตัวเองทราบความจริงแล้ว แต่ไล่ต้อนนางอยู่ ผลลัพธ์ย่อมเลวร้ายจนคาดไม่ถึงแน่ อย่างไรรอนางคลายโทสะแล้วค่อยว่ากันใหม่เถิด!
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่จัดการกับความโกรธไม่ได้สังเกตเห็นว่าซั่งกวนเจวี๋ยอุ้มเสี่ยวหมิงเอ๋ฮร์จากไปด้วยความลุกลี้ลุกลนอยู่บ้าง นางเอาแต่คิดวางแผนอยู่ในใจว่าจะทำอย่างไรให้เขาได้รับบทเรียนอย่างดีๆ…
——————————————
[1] 娘 อ่านว่า เหนียง เป็นคำใช้แทนเรียกแม่